مقالات
ตำราอ้างอิงบางเล่มรายงานฮะดีษที่ระบุว่า ญินและมะลาอิกะฮ์ต่างก็เสนอตัวเพื่อช่วยเหลือท่านอิมามฮุเซน(อ.) อย่างไรก็ดี พระองค์เคยส่งมะลาอิกะฮ์หรือญินมาช่วยเหลือบรรดานบี(อ.)ครั้ง แล้วครั้งเล่า กุรอานกล่าวว่า "(จงรำลึกเถิด)เมื่อสูเจ้าวอนขอการช่วยเหลือจากพระองค์
การถือกำเนิดของอิมามฮุเซน(อ.) หกเดือนหลังจากอิมามฮะซัน(อ.) ถือกำเนิด ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) ได้ตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง แต่ท่านศาสดา(ศ.) ได้รับการแจ้งล่วงหน้าแล้วในเรื่องการถือกำเนิดของอิมามฮุเซน(อ.) ในวันที่ 3 ของเดือนชะอฺบานอันจำเริญ ปีฮิจเราะฮ์ที่ 4
ความรุนแรงของการให้ความหมายคำว่า รอฟิเฎาะฮ์ ส่งผลให้เกิดมุมมองว่า พวกเขาเป็นผู้หลงทาง เพราะมอบความรักให้ลูกหลานนบี (ศ) ยุคสมัยนั้น การแสดงความรักต่อลูกหลานศาสดามูฮัมมัด (ศ) จึงถูกถือเป็นข้อห้าม และจะถูกมองว่า ออกจากศาสนา มูฮัมมัด บิน อิดริส ชาฟีอีย์
ขบวนการของท่านอิมามฮุเซน (อ) เริ่มต้นที่เมืองมักกะฮฺและมุ่งสู่กูฟะฮฺ ขบวนการปฏิวัติของท่านอิมามมะฮฺดี (อ) ก็จะเริ่มที่มักกะฮฺและจะมุ่งสู่กูฟะฮฺเช่นกัน
เริ่มตั้งแต่ การกิยามครั้งที่หนึ่งของ ‘กลุ่มเตาวาบีน’ ได้สังหารฆาตกรที่เป็นตัวสำคัญตายไปจำนวนหนึ่ง หลังจากขบวนการของเตาวาบีนถูกทำให้แพ้ลง การกิยามครั้งที่สอง เป็นการกิยามที่ยิ่งใหญ่กว่า ‘เตาวาบีน’ ก็คือ การกิยามของท่านมุคตาร อัซซะกอฟี
ค่ำคืนอาชูรอ คือ ค่ำคืนที่เราจะต้องสรุปเป้าหมายให้ได้ ว่า ทำไมวีรกรรมนี้ถูกกำหนดขึ้นมา? ทำไมพระองค์จึงได้อนุมัติการพลีนี้ให้เกิดขึ้น และอัลลอฮฺ (ซบ.)นั้น มีเป้าหมายสูงสุดคือสิ่งใด? ปราศจากการทำความเข้าใจ ,การรำลึก, การไว้ทุกข์, การร้องไห้ และการหลั่งน้ำตา
และพวกเขาได้ให้อาหารแก่คนยากจน เด็กกำพร้าและเชลยศึก ทั้งที่มีความปรารถนาต่อมัน (พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮ์ เรามิได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด
การซุญูด (ของมะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ต่ออาดัม) ไม่ใช่เป็นการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) ต่ออาดัม เนื่องจากการอิบาดะฮ์ (เคารพภักดี) สิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้านั้นไม่เป็นที่อนุญาต แต่ทว่ามะลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ได้ทำการซุญูดต่ออาดัมโดยคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า
มุบาฮะละฮ์และอาชูรอคือสองเหตุการณ์ในสองห้วงกาลเวลาในประวัติศาสตร์ที่แตกต่าง เหตุการณ์มุบาฮะละฮ์นั้นเกิดขึ้นในวันที่ 23 ซุลฮิจญะฮ์ ปีฮศ. 8 ส่วนเหตุการณ์กัรบะลานั้นเกิดขึ้นในวันที่สิบ เดือนมุฮัรรอม ปีฮศ. 61 แต่ในความแตกต่างทางกาลเวลาและสถานที่นั้น
วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 10 มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “มุบาฮะละฮ์” อันเป็นที่มาของการประทานโองการอัลกุรอาน โองการที่ 61 จากบทอาลิอิมรอน มุบาฮะละฮ์ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง
ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา
วันที่ 18 ของเดือนซุลฮิจญะฮ์ คือวันอีดฆอดีร และถือเป็นวัน "อีดุลลอฮิ้ลอักบัร" เป็นวันอีดของพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ) พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเป็นวันอีดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ)อันบริสุทธิ์
วันแห่งฆอดีรคุมคือวันแห่งตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า หลังจากยุคแห่งศาสดานั้นจะต้องสิ้นสุดลง แล้วเหตุการณ์นั้นถูกสานต่อจากระบบวิลายัตของบรรดาอะอิมมะฮฺ (อ)เข้ามาสู่ระบบของ วิลายะตุ้ลฟะกีฮฺ
ทำไมจะต้องเป็นอำนาจที่มาจากพระเจ้า ?? นี่คือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องศึกษา เราจะต้องทำความเข้าใจ คือเราจะต้องรู้จักศาสนาของเราก่อน
อีดที่ถูกขนานนามว่า เป็นอีดแห่ง “อาลีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)” อีดที่ยิ่งใหญ่จากทุกๆอีดที่มีมาในอิสลาม นั่นก็คืออีดแห่งวันที่ศาสนาของอัลลอฮฺ(ซบ)สมบูรณ์ เพราะในวันนี้ในอดีตนั้น เป็นวันที่อัลลอฮฺ (ซบ)ได้ประทับตรารับรองอิสลามฉบับสมบูรณ์ ให้เป็นศาสนาแก่มวลมนุษยชาติ
อิมามอะลี อัลฮาดีย์ สมญานามของท่าน คือ อะบุลฮะซัน ฉายานาม คือ อัลนะกียฺ และอัลฮาดีย์ (อ) ท่านเป็นอิมาม (ผู้นำ) ท่านที่ 10 จากวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ของบรรดาชีอะฮ์อิมามียะฮ์ ท่านอิมามอะลี ฮาดีย์ (อ) ถือกำเนิดในวันที่ 15 ซุลฮิจญะฮ์
รายงานจาก อิมาเราะฮ์ บิน ญูวัยน์ อบีฮารูน อัลอับดีย์ กล่าวว่า ฉันได้เข้าหาท่านอบีอับดิลลาฮ์ (อิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก (อ) ในวันที่ 18 เดือน ซุลฮิจญะฮ์ ขณะที่ท่านอิมามอยู่ในสภาพที่ถือศีลอด ได้กล่าวว่า แท้จริงวันนี้ คือวันที่ อัลลอฮทรงทำให้มีความยิ่งใหญ่
วันนี้บรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังในศาสนาของสูเจ้า ดังนั้น สูเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวฉัน วันนี้ฉันได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าสมบูรณ์แล้วสำหรับสูเจ้า และฉันได้ประทานความโปรดปรานของฉันอย่างครบถ้วนแก่สูเจ้า และฉันได้เลือกอิสลามเป็นศาสนา
“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นเมาลา (ผู้คุ้มครอง) ของฉัน และฉันเป็นวะลี (ผู้ปกครอง) ของผู้ศรัทธาทุกคน จากนั้นท่านศาสดาได้จับมือท่านอาลี (ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นวะลีของเขา ดังนั้นอาลีก็เป็นวะลีของเขา
บทบาทที่โดดเด่นของท่านอิมามบากิร (อ) ในยุคที่ท่านอยู่ในฐานะของผู้นำแห่งประชาชาติมุสลิมคือ การวางรากฐานทางวิชาการให้แก่โลกอิสลาม โดยท่านมองว่าสิ่งดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ในยุคสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้นำอยู่นั้น เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงจากผู้ปกครอง