บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและแขกผู้เข้าสัมมนา เอกภาพอิสลาม เข้าพบผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ
ในการเข้าพบของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐและแขกผู้เข้าร่วมสัมมนา “เอกภาพอิสลาม” ครั้งที่ 30 ซึ่งมีบรรดาทูตานุทูตของประเทศอิสลาม และประชาชนทุกภาคส่วน เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ (17 พฤศจิกายน 2559 ) อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านได้เน้นย้ำว่า ในวันนี้มีสองความปรารถนาที่ขัดแย้งกัน "ความปรารถนาแห่งเอกภาพและสามัคคี" และ "ความปรารถนาแห่งความแตกแยก"และในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ "ต้องอาศัยการพึ่งพาอัลกุรอานและคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้าของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ (ซ็อลฯ) ในฐานะยาที่รักษาเอกภาพในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากต่างๆของโลกมุสลิม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวาระคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)และวันคล้ายวันประสูติของท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก(อ) โดยเสริมว่า ความสำคัญของการมีอยู่ของท่านศาสดาของอิสลามนั้น ถึงขั้นที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเกียรติทรงอ้างถึงพระคุณเหนือมนุษยชาติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากการประทานความโปรดปรานที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้นี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงประโยคของอัลกุรอาน “ความเมตตาสำหรับสากลจักรวาล” ว่า หลักคำสอนของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือแนวทางแห่งความรอดพ้นสำหรับมวลมนุษยชาติและกล่าวว่า บรรดาศัตรูของมนุษยชาติและบรรดาพวกมั่งคั่งและพวกอหังการจะต่อต้านคำสอนที่จะทำให้เกิดความผาสุกนี้ ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงบัญชาต่อท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ว่า นอกจากการยับยั้งตนจากการปฏิบัติตามและประนีประนอมกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร) และบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิกีน) แล้ว ยังจะต้องต่อสู้และแสดงความแข็งกร้าวกับพวกเขา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า การต่อสู้ (ญิฮาด) กับบรรดาศัตรูของอิสลามและของมนุษยชาติ ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมนั้น บางครั้ง (เป็นการต่อสู้) ในทางการทหาร บางครั้งในทางการเมืองและในบางสภาพเงื่อนไข (เป็นการต่อสู้) ในทางวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งในทางวิทยาการ ประชาชาติมุสลิมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เผยแพร่ศาสนาและบรรดาเยาวชน จะต้องใช้ประโยชน์จากคำสอนและการใช้ชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยการศึกษาค้นคว้าและทำความเข้าใจต่อคำสอนทั้งหมดเหล่านั้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติได้ชี้ถึงความพยายามที่ไม่หยุดยั้งของมหาอำนาจและนักล่าอาณานิคม ในการสร้างความแตกแยกและความอ่อนแอแก่บรรดามุสลิม พร้อมกับเสริมว่า : โลกอิสลามวันนี้กำลังเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากมากมาย โดยที่เอกภาพ การทำงานร่วมกัน ความร่วมมือและการข้ามผ่านความแตกต่างทางด้านนิกาย (มัซฮับ) และความคิด ภายใต้ร่มเงาของสิ่งต่างๆ ที่เหมือนกันในอิสลาม จะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาและความทุกข์ยากเหล่านี้ได้
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า หากประชาชนและรัฐบาลอิสลามทั้งหลายมีความเป็นเอกภาพแล้ว สหรัฐอเมริกาและไซออนิสต์ก็จะสูญเสียอำนาจในการบีบบังคับความต้องการต่างๆ ของตนเหนือบรรดามุสลิม และแผนสมคบคิดที่จะทำให้ลืมประเด็นของปาเลสไตน์ก็จะล้มเหลวหากประชาชนและรัฐบาลอิสลามทั้งหลายมีความเป็นเอกภาพแล้ว สหรัฐอเมริกาและไซออนิสต์ก็จะสูญเสียอำนาจในการบีบบังคับความต้องการต่างๆ ของตนเหนือบรรดามุสลิม และแผนสมคบคิดที่จะทำให้ลืมประเด็นของปาเลสไตน์ก็จะล้มเหลว
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การโจมตีและการเข่นฆ่าชาวมุสลิมเริ่มจากประเทศเมียนม่าในตะวันออกของเอเชีย ไปจนถึงประเทศไนจีเรียในตะวันตกของแอฟริกา และการเผชิญหน้ากันของชาวมุสลิมในภูมิภาคที่สำคัญมากในตะวันตกของเอเชียนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากผลของแผนสมคบคิดต่างๆ ในการสร้างความแตกแยกของบรรดามหาอำนาจ และได้กล่าวเสริมว่า : ในสถานการณ์และสภาพการณ์เช่นนี้ ชีอะฮ์ที่ถูกสร้างโดยอังกฤษ (British Shia) และซุนนีที่ถูกสร้างโดยอเมริกา (American Sunnis) นั้น เป็นเหมือนสองปากของกรรไกรที่กำลังทำงานเพื่อจุดไฟและสร้างความขัดแย้ง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างความต้องการของมาร (ชัยฏอน) ในการ “สร้างความแตกแยก” กับความต้องการที่จะก่อให้เกิดเกียรติศักดิ์ศรีของการสร้าง “เอกภาพ” โดยกล่าวว่า: นโยบายเดิมๆ ของอังกฤษบนพื้นฐานของการแบ่งแยกแล้วปกครอง ได้กลายเป็นวาระการปฏิบัติที่จริงจังของบรรดาศัตรูของอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงนโยบายและการดำเนินการต่างๆ ของอังกฤษในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาว่าเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายและความทุกข์ยากของประเทศทั้งหลายในภูมิภาค และกล่าวว่า : ในช่วงล่าสุดนี้ รัฐบาลอังกฤษได้เรียกอิหร่านที่ถูกกดขี่และมีเกียรติอย่างไร้ยางอายที่สุดว่า เป็นภัยคุกคามของภูมิภาค แต่ทุกคนทราบดีว่าตรงข้ามกับคำกล่าวหาเหล่านี้ รัฐบาลอังกฤษนี้เองที่เป็นบ่อเกิดและแหล่งที่มาของภัยคุกคาม ความชั่วร้าย อันตรายและความทุกข์ยากเสมอมา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การที่บรรดามหาอำนาจได้เพิ่มการเคลื่อนไหวต่างๆ ในการต่อต้านอิสลามหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามนั้น เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความหวั่นกลัวของพวกเขาต่อความมั่นคงและการดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของระบอบอิสลามที่แข็งแกร่ง ก้าวหน้าและเป็นแบบอย่าง และกล่าวเสริมว่า : บรรดาศัตรูแม้ว่าพวกเขาจะมีการกล่าวอ้างการประนีประนอมและการเสริมสร้างภาพลักษณ์ภายนอกก็ตาม แต่ด้านในนั้นพวกเขามีความป่าเถื่อนและหยาบช้าอย่างสมบูรณ์แบบ ประเทศทั้งหลายจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไร้ศีลธรรม ไร้ศาสนา และไร้ความยุติธรรมนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า “เอกภาพ” คือการเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดที่เป็นความจำเป็นของโลกอิสลาม และกล่าวเสริมว่า: ทุกกลุ่มนิกายของอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นชีอะฮ์หรือซุนนี จะต้องระมัดระวังจากการสร้างความแตกแยก และจะต้องยึดเอาท่านศาสดา (ซ็อลฯ) คัมภีร์อัลกุรอานและกะอ์บะฮ์อันทรงเกียรติ เป็นแกนกลางของเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เรียกร้องให้ประชาชนและรัฐบาลทั้งหลายตระหนักและระแวดระวังต่อแผนการร้ายต่างๆ ของบรรดาประเทศที่แสวงหาอิทธิพลและการครอบงำ และกล่าวเสริมว่า : ทำไมประเทศทั้งหลายที่เป็นอิสลามจึงเชื่อคำพูดของบรรดาศัตรูเกี่ยวกับภัยคุกคามต่างๆ และความเป็นศัตรูภายในของโลกอิสลามเองและดำเนินตามนโยบายต่างๆ ของพวกเขาอย่างเปิดเผย
ในช่วงท้ายท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวกับประชาชาติอหร่านที่กำลังถูกทดสอบว่า "การดำเนินตามแนวทางที่น่าภาคภูมิใจของท่านอิมาม (โคมัยนี) และการปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง การยืนหยัดเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรู และการปกป้องสัจธรรมความจริงโดยไม่หวั่นกลัวใดๆ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะนำมาซึ่งเกียรติศักดิ์ศรีและความผาสุกทั้งในโลกนี้และปรโลก
ที่มาเว็บไซต์สำนักผู้นำสูงสุด
แสดงความเห็น