วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๘


วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๘

 

อาจจะมีบางท่านตั้งข้อสงสัยถึง สาเหตุของการล่าช้าในการบันทึกพินัยกรรมของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จนทำให้บางคน (ตามคำพูดของพวกเขา) ได้พูดว่า: ท่านนั้นได้หลงเสียแล้ว และมาตรแม้นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ทำพินัยกรรมก่อนหน้านี้แล้ว ความขัดแย้ง และความวุ่นวายอลหม่านก็คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันบุคลกลุ่มนี้ลืมนึกถึงความสำคัญ และเงื่อนไขบางประการในการทำพินัยกรรม ไปอย่างสิ้นเชิงอาทิเช่น


๑. ไม่เป็นเงื่อนไขในการทำพินัยกรรมที่จะต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แค่มีพยานรู้เป็นก็เพียงพอแล้ว ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวถึง ซึ่งจะกล่าวอธิบายในโอกาสต่อไป

๒. สิ่งที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ปรารถนาที่จะบันทึกในขณะที่ท่านป่วย อันเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตอันจำเริญของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวเน้นย้ำไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าในโอกาสต่าง ๆ

๓. เจ้าของพินัยกรรมจำเป็นต้องบันทึกพินัยกรรม หากเขารู้ลึกว่าภายหลังจากเขาได้จากไปแล้วอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้น และสิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ปรารถนาที่จะกระทำ ซึ่งอัล-กรุอานได้กล่าวเน้นย้ำไว้เช่นกันและกล่าวว่า การทำพินัยกรรมไม่จำเป็นต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่สิ่งจำเป็นคือต้องทำพินัยการรมก่อนเสียชีวิต  อัล-กุรอานกล่าวไว้ว่า


اَمْ كُنتُمْ شُهَدَاءَ اِذْحَضَرَ يَعْقُوْبَ الْمَوْتُ اِذْ قَالَ لِبَنِيْهِ مَاتَعْبُدُوْنَ مِنْ بَعْدِى قَالُوْا نَعْبُدُ اِلَهَكَ وَاِلَهَ آبَائِكَ اِبْرَاهِيْمَ وَاِسْمَاعِيْلَ وَاِسحَاقَ اِلَهًا وَاحِدًا وَنَحْنُ لَهَ مُسْلِمُونَ

 หรือสูเจ้าอยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายมาสู่ยะอฺกูบและเขากล่าวแก่ลูก ๆ ของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพภักดีสิ่งใดหลังจากฉัน พวกเขากล่าวว่า พวกเราจะเคารพภักดีพระเจ้าของท่านและพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน คือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และอิสหาก พระเจ้าพระองค์เดียวและพวกเราเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์

   

يَاأيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوْا شَهَادَةُ بَيْنَكُمْ اِذَا حَضَرَ أحَدَكُمُ المَوْتُ حِيْنَ الْوَصِيَّةِ اِثْنَانِ ذَوَا عَدْلٍ مِنْكُمْ اَوْ آخَرَانِ مِنْ غَيْرِكُمْ

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา การเป็นพยานระหว่างสูเจ้าเมื่อความตายปรากฏต่อคนหนึ่งคนใดในหมู่สูเจ้า ขณะทำพินัยกรรม คือ ผู้เทียงธรรมสองคนจากหมู่สูเจ้า หรือสองคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเจ้า (อัล-มาอิดะฮฺ: ๑๐๖)


หากเราได้พิจารณาถึงความหมายของโองการต่าง ๆ เหล่านี้แล้วจะพบว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ทำพินัยกรรมด้วยวาจาหลายต่อหลายครั้งก่อนที่ท่านจะจากไป ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างไร



ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กับความเหน็ดเหนื่อย


เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เป็นผู้มีจิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ มีความหนักแน่น ท่านยังมีความกลัวว่า การประกาศสาสน์ของท่านจะจบสิ้นไปพร้อมกับการจากไปของท่าน เพราะท่านเคยได้ยินท่านญิบรออีล (อ.) ได้กล่าวโองการหนึ่งว่า


وَمَا مُحَمَّدُ اِلاَّ رَسُول قَدْ خَلَتْ مِنْ قَبْلِهِ الرُّسُلُ أفَاِنْ مَاتَ اَوْقُتِلَ إنْقَلَبْتُمْ عَلَى أَعْقَابِكُمْ

และมุฮัมมัดนั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นเราะซูลคนหนึ่ง แน่นอน บรรดาเาะอซูลก่อนหน้าเขาได้ล่วงลับไปแล้ว หากเขาตาย หรือถูกฆ่า สูเจ้าจะหันส้นเท้าของสูเจ้ากลับกระนั้นหรือ (อาลิอิมรอน : ๑๔๔)


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หวั่นกรงว่าความเหน็ดเหนื่อยของท่าน (ซ็อล ฯ) จะสูญเปล่าไปซึ่งสามารถพบได้จากคำพูดของท่าน ที่กล่าวว่า..


مَا أُذي أحد مثل ما أوذيت فى الله

ไม่มีผู้ใดถูกลั่นแกล้งเหมือนกับฉันที่ได้ถูกกลั่นแกล้ง บนหนทางของอัลลอฮฺ

(จากหนังสือ : กันซุลอุมมาล: อัล-มุตะกีย์ฮินดี ๓/๑๓๐ ฮะดีซที่ ๕๘๑๘ สำนักพิมพ์ ริซาละฮฺ ปี ฮ.ศ. ๑๔๐๙, ฮิลลียะตุ้ลเอาลิยาอฺ อบูนะอีม: ๖: ๓๓๓)


ด้วยสาเหตุนี้เองท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงปรารถนาที่จะบันทึกพินัยกรรมให้แก่ประชาชาติของท่านเพื่อเป็นหลักประกันการหลงภายทางหลังจากท่าน ซึ่งความหวังดีของท่านเป็นอันตราย หรือก่อให้เกิดโทษแก่ใครหรือหรือว่าท่านปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม และไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ขณะที่ท่านรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งต่อการหลงทางของประชาชาติของท่านซึ่งจะมีขึ้นภายหลัง จนกระทั่งว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ตรัสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า.

اِنَّكَ لاَ تَهْدِي مَنْ أَحْبَبْتَ وَلَكِنَّ اللّهَ يَهْدِي مَنْ يَشَاء

แท้จริง เจ้าไม่อาจชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เจ้ารักได้ แต่ทว่าอัลลอฮฺทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ (อัล-กอศ็อด: ๕๖)


فَلاَ تَذْهَبْ نَفْسُكَ عَلَيْهِمْ حَسَراَتٍ اِنَّ اللّهَ عَليْمٌ بِمَا يَصْنَعُونَ

ดังนั้น เจ้าอย่าทำให้จิตใจของเจ้าต้องระทมทุกข์ เนื่องเพราะพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ    (ฟาฎิร:๘)


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ผู้มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง พึงปรารถนานำทางประชาชาติ ไปสู่สัจธรรมความจริง และปรารถนาที่จะสร้างหลักประกันอันต่อเนื่องให้แก่หนทางเที่ยงตรงนี้ตลอดไป แต่เนื่องจากที่พินัยกรรมนั้น มิได้ถูกบันทึก จึงทำให้บรรดามุสลิมได้รับความเสียหายมากมาย อันเป็นความเสียหาที่ไม่อาจทดแทนได้ตราบจนถึงทุกวันนี้.

บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจะต้องทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาในขณะที่ เรามีคัมภีร์อัล-กุรอานอยู่แล้ว และยังจะมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าคัมภีร์อัล-กรุอานอีกหรือ ?  อัล-กุรอานกล่าวว่า


لاَيَأْتِيْهِ البَاطِلُ مِنْ بَيْنِ يَدَيْهِ وَلاَمِنْ خَلْفِهِ

สิ่งโมฆะจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่คืบคลานเข้าไปสู่อัล-กุรอาน   (ฟุซซิลัต :๔๒)

คัมภีร์อัล-กรุอานเป็นธรรมนูญสูงสุดที่ไม่สามารถบิดเบือนแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ และสิ่งนี้หมายความว่า เรากำลังทำให้คำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่ได้กล่าวไว้ว่า لَنْ تَضِلُّوابَعْدِي เจ้าจะไม่หลงทางตลอดไป

จะไม่มีวันหลงทางอย่างเด็ดขาดภายหลังจากฉัน ถือเป็นสิ่งไร้สาระและเป็นการโกหกใส่คำพูดของท่าน  ซึ่งยิ่งหน้าแปลกไปกว่านั้นที่ว่าในหมู่ประชาชาติมุสลิม ปัจจุบันนี้พวกเขากำลังเลือกระหว่างการเชื่อฟังท่านศาสดา(ซ็อล ฯ) กับ การไม่ยอมรับฟังคำสั่งของท่านทั้งที่อัล-กุรอานนั้นกล่าวว่า


اَطِيعُوا اللّه وَاطِيعُوا الرَسُول

จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ  และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามรอซูล   (มาอิดะฮฺ:๙๒)


مَاآتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوه

และสิ่งใดก็ตามที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้นำมาแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงรับมันไว้เถิด


ข้าพเจ้ามิอาจคิดว่าในหมู่ประชาชาติมุสลิมนี้ จะมีใครบ้างคนที่เขาได้ยกบรรดาเซาะฮาบะฮฺ (ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น) ให้พ้นจากความผิดโดยที่พวกเขาไม่เชื่อฟังท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว นั่นก็หมายความว่า  เขาผู้นั้นมิใช่มุสลิมที่แท้จริง ดังโองการที่ว่า


فَعَصَوْا رَسُوْلَ رَبّهِمْ فَأَخَذَ هُمْ أَخْذَةً رَّابِيَة

พวกเขาได้ฝ่าฝืนต่อเราะซูลแห่งองค์พระผู้อภิบาลของพวกเขา ดังนั้น พระองค์จึงทรงลงโทษพวกเขาอย่างหนัก (อัล-หากเกาะฮฺ :๑๐)


แสดงความเห็น