เมดิลีน อัลไบรท์ ยันข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านคือสิ่งถูกต้อง
เมดิลีน อัลไบรท์ ยันข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านคือสิ่งถูกต้อง
นางเมดิลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ ผ่าน“ซีเอ็นเอ็น” โดยระบุ การบรรลุข้อตกลงในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับรัฐบาลอิหร่านถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา
อัลไบรท์ซึ่งเคยรับหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบิล คลินตัน เผยผ่านรายการ “นิว เดย์” ของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นระบุว่า การที่รัฐบาลโอบามาสามารถบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่านได้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว โดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ ชี้ว่า การบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ดังกล่าว ถือเป็นการเปิด “ประตูแห่งโอกาส” ให้รัฐบาลสหรัฐฯสามารถใช้ช่องทางทางการทูตในการแก้ไขข้อพิพาทในเรื่องอื่นๆ กับอิหร่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จึงยังมีนักการเมืองบางส่วนในสภาคองเกรสส์ ที่แสดงจุดยืนคัดค้านข้อตกลงกับอิหร่านอย่างหัวชนฝา ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยอ่านเนื้อหาในข้อตกลงฉบับนี้อย่างจริงจังมาก่อน ทั้งๆที่ข้อตกลงฉบับนี้สามารถการันตีได้ว่า อิหร่านจะไม่มีทางมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองได้เลยไม่ว่าจะในช่องทางใด ดิฉันขอย้ำว่า ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่ดีและจำเป็นได้รับการสนับสนุน”
ท่าทีล่าสุดของนางเมดิลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลอิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อ14 ก.ค. ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
ขณะที่ประธานาธิบดีฮาซัน รูฮอนี ผู้นำของอิหร่าน แถลงว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ได้ผลดียิ่ง และว่าหากการเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูระหว่างวอชิงตันและเตหะรานยังดำเนินอยู่ต่อไป ก็คงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยที่ข้อตกลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของทางสหรัฐฯและโลกตะวันตกให้กับอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป(อียู)และองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะรานยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่า มีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้ จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่าน จะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่าน จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ว่ากันว่าผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้ อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่า อิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะต์ ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่น้ำมันจากอิหร่านจะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดโลกได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ก็ตาม
แสดงความเห็น