ประวัติศาสตร์การเมืองอิหร่าน ก่อนและหลังการปฏิวัติอิสลาม
ประวัติศาสตร์การเมืองอิหร่าน ก่อนและหลังการปฏิวัติอิสลาม
หลังจากสิ้นสุดอำนาจการปกครองของริซา ชาฮ์ ปาลาวี ในวันที่ 26 ชะฮ์รีวัร 1320 (เดือนและปีตามปฏิทินอิหร่าน) มูฮัมมัด ริซา ปาลาวี ได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อด้วยการสนับสนุนของอังกฤษ เขามีอำนาจการปกครองถึง 37 ปี และในช่วงการปกครองของเขานั้นได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐโดยตรง หนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆที่ยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าเป็นตัวก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของประชาชนเหนือการปกครองของมูฮัมมัด ริซา ชาฮ์ คือ ขบวนการเคลื่อนไหวในปื 1329 โดยการนำของ ดร.มูศอดดิก และ อยาตุลลอฮ์ กาชานี
ในเดือน ตีร 1331 ประชาชนด้วยการสนับสนุนของ ดร.มุศออดดิก ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้โดยแสดงถึงความไม่เห็นด้วยและก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่มีต่อกษัตริย์ ซึ่งการลุกขึ้นมาในครั้งนั้นถูกรู้จักในนาม “การลุกขึ้นต่อสู้30ตีร” หนึ่งปีหลังจากนั้นได้เกิดการทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลแห่งชาติโดย ดร.มุศอดดิก ในวันที่ 28 เดือนโมรดอด 1332 ซึ่งทำให้กษัตริย์ชาฮ์ต้องหนีออกนอกประเทศ แต่ทว่าด้วยการพึ่งพากองกำลังติดอาวุธและด้วยการสนับสนุนโดยตรงจากสหรัฐและอังกฤษจึงทำให้กษัตริย์ชาฮ์สามารถกลับเข้าสู่ประเทศอิหร่าน และได้ปกครองเหนืออิหร่านอีกครั้งหนึ่ง
และในปี 1342 ได้เกิดการเคลื่อนไหวของอีกขบวนการหนึ่งเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง โดยการนำของนักการศาสนา อายาตุลลอฮ์ โคมัยนี ในเดือน
โครดอด ปี 1342 รัฐบาลกษัตริย์ชาฮ์ หมดหวังที่จะทำการปรองดองกับอยาตุลลอฮ์โคมัยนี เขาจึงได้ทำการจับกุม อายาตุลลอฮ์โคมัยนี และเนรเทศท่านสู่ประเทศตุรกีและอิรัก
การปฏิวัติและการลงประชามติ
ท่านอายาตุลลอฮ์โคมัยนี มีตำแหน่งทางศาสนาที่สูงส่ง และโดยอาศัยบทบาทในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของบทบาทของศาสนากับการเมือง จึงทำให้ท่านสามารถโค่นล้มการปกครองของปาลาวีที่มีการปกครองยาวนานกว่า 50 ปี ในวันที่ 12 เดือนบะฮ์มัน ปี 1357 ท่านอายาตุลลอฮ์โคมัยนีได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และได้จัดตั้งคณะปฏิวัติขึ้นมาจนได้รับชัยชนะในวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน
ด้วยการลงมติของประชาชนอิหร่านพวกเขาเลือกการปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลามมาเป็นระบบการปกครองทางการเมืองของประเทศพวกเขา
การปกครองและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ในปี 1358 ได้เกิดกลุ่มก่อการร้ายที่คอยสร้างภาพลักษณ์อันน่าหวาดกลัวให้กับการปฏิวัติแห่งอิหร่าน โดยเริ่มจากการก่อตัวขึ้นของขบวนการฝ่ายซ้าย คือ อัลฟุรกอน โดยพวกเขาได้สังหารนักวิชาการสำคัญและบรรดาบุคคลสำคัญในการเคลื่อนไหวปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน เช่น อายาตุลลอฮ์ มุเฏาะฮารี ผู้เผยแพร่ทฏษฏีการปฏิวัติอิสลาม, ฮัจย์มะฮ์ดี อิรากีและลูกของท่าน อายาตุลลอฮ์กอฏี ตอบาตอบาอี ผู้รู้ในเมืองตับรีส ดร.มุฟัตติฮ์ หนึ่งในผู้รู้ที่สำคัญในสมัยปฏิวัติอิหร่าน
ในขั้นตอนต่อมาเขาได้สร้างองค์กร มุญาฮิดีน คัลก์ ซึ่งได้ปฏิบัติการรอบสังหาร อายาตุลลอฮ์ คอเมเนอี ผู้นำโลกอิสลามปัจจุบันแต่ไม่ประสบผลสำเร็จและพวกเขาได้สังหารเจ้าหน้าที่รัฐอิสลามแห่งอิหร่านถึง 70 คนด้วยการวางระเบิดในสำนักงานพรรคสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ในปี 1360 พวกเขาได้วางระเบิดลอบสังหารอีกครั้งหนึ่งซึ่งทำให้ประธานาธิบดี คือ รายาอี และนายกรัฐมนตรี คือ บาโฮนัร เสียชีวิตเนื่องจากการระเบิดครั้งนั้น
ในวันที่ 31 ปี 1359 เกิดสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่าน ด้วยการเกิดการปฏิวัติขึ้นในอิหร่านและการอ่อนแอลงทางด้านการทหารและกองกำลังติดอาวุธและวิกฤติภายใน รัฐบาลอิรักด้วยกับความคิดที่ว่า อิหร่านไม่มีความพร้อมสมบูรณ์ในการที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งและสงครามภายนอกได้ ด้วยเหตุนี้อิรักจึงตัดสินใจบุกประเทศอิหร่านด้วยการสนับสนุนจากชาติตะวันตกและเหล่าประเทศอาหรับทั้งหลาย หลังจากสงครามมีเวลายืดเยื้อยาวนานถึง 8 ปีอิรักก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้และได้กลับเข้าสู่ดินแดนของประเทศตนเองด้วยการถูกตราหน้าในนามว่า ผู้บุกรุกและเริ่มก่อสงคราม
ปฏิบัติการการโจมตีของทหารสหรัฐเหนืออิหร่านปี 1360 เจ้าหน้าที่สหรัฐใช้ข้ออ้างในการช่วยเหลือตัวประกันอำพลางปฏิบัติการตอบโต้หลังจากได้มีการจับตัวเอกอัครราชฑูตสหรัฐในเตหะราน แต่ทว่าปฏิบัติการดังกล่าวต้องพบกับความล้มเหลวเมื่อเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดถูกพายุทะเลทรายพัดร่วงลงสู่ทะเลทราย
ในวันที่ 14 เดือน โครดอด อายาตุลลอฮ์ โคมัยนี ผู้วางรากฐานและก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลาม ชายผู้ซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ผู้ทำให้ธงแห่งการตื่นตัวของโลกอิสลามได้โบกสะบัดไปทั่วทุกผืนแผ่นดินบนโลกอีกครั้งหนึ่ง ได้เสียชีวิตลง หลังจากการจากไปของอยาตุลลอฮ์โคมัยนี สภาสูงสุดได้คัดเลือกให้
อยาตุลลอฮ์ คอเมเนอี เป็นผู้นำหลังจากท่านอายาตุลลอฮ์โคมัยนี และท่านอายาตุลลอฮ์ คอเมเนอี ได้ประกาศแนวทางการปกครองของตนเองตั้งแต่ในการปราศรัยครั้งแรกแล้วว่า “เราจะเดินตามแนวทางทางและเป้าหมายของท่านอายาตุลลอฮ์โคมัยนี”
ที่มา เอบีนิวส์ทูเดย์
บทความโดย มุฮัมมัด ซากี สันหมาด
แสดงความเห็น