ชีวประวัติอิมามมูซา อัล กาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัล กาซิม อ

 

 

 

ข้อมูลจำเพาะ

 

ชื่อ                                            : มูซา

 

ฉายานาม                                  : อัล กาซิม (อ.)

 

สมญานาม                                : อบุล ฮาซัน

 

ชื่อบิดา                                    : ญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.)

 

เกิด                                          : 7 ซอฟัร ฮ.ศ. 128

 

ช่วงเวลาเป็นอิมาม                     : 30 ปี

 

อายุ                                         : 54 ปี

 

พลีชีพเมื่อ                                : ฮ.ศ. 183

 

 

 

การถือกำเนิด

 

                อิมามมูซา กาซิม (อ.) ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 เดือนซอฟัร ฮ.ศ.128 ที่อัล อับวาอ์ (หมายเหตุ : อัล อับวาอ์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆใกล้กับเมืองมะดีนะฮ์ มีสุสานของท่านหญิงอามีนะฮ์มารดาของศาสดามุฮัมมัด) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองมักกะฮ์กับมะดีนะฮ์

 

                บิดาของท่านคือ อิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ผู้เป็นอิมามที่ 6 จากบรรดาอิมามแห่งอะห์ลุลบัยต์ (อ.)

 

                มารดาของท่านคือ “ฮะมีดะฮ์” นางเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ทางด้านมารยาทและคุณสมบัติ อิมามซอดิก (อ.) ได้เคยกล่าวถึงนางว่า “ฮะดีดะฮ์เป็นหญิงที่สะอาดบริสุทธิ์ปานประหนึ่งทองคำแท้”

 

                อบูบะซีร ซึ่งเป็นสหายของท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยได้เดินทางร่วมกับอบูดับดุลลอฮ์ (อ.) ครั้นเมื่อเรามาถึงอัล อับวาอ์ ท่านอิมามซอดิก ได้วางสำหรับอาหารเที่ยงให้พวกเรา ในขณะนั้นเองมีชายคนหนึ่งที่ถูกส่งตัวมาจากฮะมีดะฮ์ให้มาหาอิมามซอดิก อบู อับดุลลอฮ์ (อิมามซอดิก) จึงลุกออกไปด้วยความดีใจ ท่านเดินไปพร้อมกับผู้ที่ถูกส่งตัวมาหลังจากนั้นท่านกลับมาหาพวกเราด้วยยิ้มแย้มแจ่มใส พลางกล่าวว่า “อัลลอฮ์ทรงประทานลูกชายคนหนึ่งให้แก่ฉันแล้ว เขาคือบุคคลที่ประเสริฐยิ่งในบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงปกป้อง”

 

                เมื่ออิมามซอดิก (อ.) มาถึงเมืองมะดีนะฮ์ ท่านได้จัดงานเลี้ยงฉลองและได้เชิญบรรดาคนยากจนมาชุมนุมกันเป็นเวลา 3 วัน อิมามซอดิก (อ.)จึงแจ้งข่าวดีให้กับสหายของท่านบางคนว่า บุตรชายของท่านคนนี้จะเป็นอิมามสืบต่อภายหลังจากท่าน

 

                อิมามกาซิม (อ.) เจริญวัยมาในอ้อมกอดของบิดา ซึ่งได้ฝึกมารยาทให้กับท่าน ดังนั้นท่านจึงได้รับการฝึกฝนทางด้านมารยาทอย่างดีงามที่สุด

 

                คนทั้งหลายต่างเรียกชื่อท่านในหลายฉายานาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางด้านจริยธรรมของท่านทั้งสิ้น เช่น ซอบิร (ผู้อดทน) อับดุซ ซอลิห์ (บ่าวของพระองค์ผู้ทรงธรรม) อัล อะมีน (ผู้ซื่อสัตย์) แต่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายที่สุดคือ ฉายานาม “อัล กาซิม” เพราะท่านเป็นผู้ที่สามารถอดกลั้นโทสะของตนเองได้

 

                อิมามมูซา กาซิม (อ.) ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบิดาของท่าน 20 ปี มีชีวิตอยู่ภายหลังจากบิดาอีก 34 ปี และครึ่งของอายุขัย ท่านต้องถูกจองจำอยู่ในคุก ในฐานะผู้ได้รับความอยุติธรรม ท่านเป็นคนมีรูปร่างสันทัดผิวเข้ม เคราดก อันเป็นสัญลักษณ์ของบรรดาศาสดา

 

 

 

 

จริยธรรมของอิมามมูซา กาซิม (อ.)

 

                มีชายคนหนึ่งในเมืองมะดีนะฮ์ พูดจาใส่ร้ายป้ายสีอิมามกาซิม (อ.) อยู่เสมอ ทุกครั้งที่ชายคนนั้นพบท่านก็จะก่นด่าและบริภาษอิมามอะลี (อ.) ให้อิมามกาซิม (อ.)ได้ยินอยู่เป็นประจำ

 

                มิตรสหายบางคนของท่านอิมามกาซิม (อ.) ได้เคยกล่าวขออนุญาตว่า “โปรดอนุญาตให้เราสั่งสอนเขาสักครั้งเถิด”

 

                แต่อิมามมาซิม (อ.) กลับห้ามพวกเขาไว้ เพื่อมิให้ตอบโต้ชายคนนั้นด้วยวิธีการที่เลวร้าย ท่านถึงสอบถามถึงงานอาชีพของชายคนนั้น บรรดามิตรสหายก็ได้ให้คำตอบว่า

 

                “แท้จริง เขามีแปลงเพาะปลูกอยู่แห่งหนึ่งนอกเมืองมะดีนะฮ์”

 

                ดังนั้น อิมามกาซิม (อ.) จึงไปหาเขาที่นั่น แล้วได้เดินเข้าไปในแปลงเพาะปลูกของเขา

 

                ชายคนนั้นตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ท่านอย่าได้มาเหยียบแปลงเพาะปลูกของเรา”

 

                อิมามกาซิม (อ.) ยังคงเดินเข้าไป จนกระทั่งไปถึงชายคนนั้น แล้วได้กล่าวสลาม พร้อมกับนั่งลงใกล้ๆ และอิมามกาซิม (อ.) ก็ยิ้มให้ชายคนนั้นแล้วถามว่า “ท่านต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกของท่านเท่าไหร่”

 

                ชายเจ้าของสวน “100 ดีนาร”

 

                อิมามกาซิม “ท่านหวังว่ามันจะให้ผลผลิตแก่ท่านสักเท่าไร?”

 

                ชายเจ้าของสวน “ฉันไม่รู้ในสิ่งเร้นลับ”

 

                อิมามกาซิม “ฉันเพียงแต่ถามว่า ท่านหวังว่าจะได้เท่าไร?”

 

                ชายเจ้าของสวน “200 ดีนาร”

 

                แล้วอิมามกาซิม (อ.) ก็จึงมอบเงินให้แก่ชายคนนั้น 300 ดีนาร แล้วชายคนนั้นก็ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวด้วยความขอบคุณ

 

                ในวันต่อมา ในขณะที่อิมามกาซิม (อ.) ได้เดินไปมัสญิด ชายผู้นั้นก็ได้รีบลุกขึ้นและเดินไปต้อนรับทันที พลางกล่าวว่า “อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงรู้ดีว่าพระองค์จะจัดการกับสารของพระองค์อย่างไร” (หมายความว่า อิมามกาซิม (อ.) นี่เองคือผู้นำที่ถูกประทานมาให้ทำหน้าที่ชี้นำประชาชาติในสมัยของท่าน)

 

                บรรดาสหายของท่านอิมามกาซิม (อ.) รู้สึกประหลาดใจ อิมามจึงแจ้งให้พวกเขารู้ถึงเรื่องราวที่ท่านได้พบกับชายคนนั้น และยังได้สั่งสอนพวกเขาด้วยว่า ให้มีไมตรีจิตและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีงามกับคนทั้งหลาย

 

 

 

ความเอื้อเฟื้อของอิมามกาซิม (อ.)

 

                อิมามกาซิม (อ.) ไม่เคยปรากฏตัวให้คนยากจนในเมืองมะดีนะฮ์เห็น เพราะท่านจะออกไปหาในยามค่ำคืน โดยนำเอาอาหารและเงินไปแจกจ่ายให้กับคนเหล่านั้นซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่าสิ่งของที่พวกเขาได้รับรู้นั้นมาจากไหน

 

                มีเรื่องเล่าว่า คอลีฟะฮ์มันซูร ขอร้องให้อิมามมูซา กาซิม (อ.) นั่งลงในสถานที่ที่ถูกจักเตรียมไว้ในวันอีดนีรูซ และได้มอบของกำนัลให้ท่านด้วย

 

                อิมามกาซิม (อ.) ได้กล่าวว่า “แท้จริง ฉันเองได้ตรวจสอบในคำสอนต่างๆ ที่มาจากทวดของฉัน คือท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ แต่ฉันก็ไม่เคยพบเรื่องราวที่เกี่ยวกับวันอีดนี้เลย เพราะว่ามันเป็นแบบฉบับของชาวเปอร์เซีย ซึ่งอิสลามได้ลบล้างมันไปแล้ว ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้เราพ้นจากการฟื้นฟูสิ่งที่อิสลามได้ลบล้างไปแล้วขึ้นมาอีก”

 

                แต่ทว่าคอลีฟะฮ์มันซูร ได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้อิมามกาซิม (อ.) กระทำเช่นนั้น อิมามกาซิมจึงนั่งลงด้วยความรังเกียจ ได้มีบรรดาเจ้าเมืองและบุคคลระดับแกนนำเข้ามาแสดงความยินดี และมอบของกำนัลที่มีค่าให้แก่ท่านอิมามกาซิม โดยมีคนรับใช้ของคอลีฟะฮ์มันซูรคอยทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ทุกประการ

 

                ผู้ที่เข้ามาเป็นคนท้ายสุด คือชายสูงวัยคนหนึ่ง เขาได้พูดกับอิมามกาซิม (อ.) ว่า “โอ้บุตรหลานของบุตรสาวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์แท้จริงฉันเป็นคนยากจนคนหนึ่ง และฉันไม่มีของกำนัลใดๆ ติดตัวมาแต่ทว่าฉันจะขอมอบบทกวีที่มีค่าสามบทให้กับท่าน ซึ่งปู่ของฉันได้เคยประพันธ์ไว้ในเรื่องราวของฮูเซน (อ.) ปู่ทวดของท่านดังเนื้อหาที่ว่า ......

 

                บทกวีอันลึกซึ้งบทนี้ กวีได้แสดงความประหลาดใจออดมาเกี่ยวกับความบังอาจของคมดาบที่ฟาดฟันเรืองร่างของบุคคลที่มีเกียรติยศอันสูงส่ง และแสดงความประหลาดใจต่อบันดาลูกธนูที่ยิงเข้าใส่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งปกป้องบรรดาสตรีที่เป็นบุตรหลานของท่านศาสดา และปรากฏว่าธนูดอกแรกนั้น ได้คร่าชีวิตของบุคคลที่มีเกียรติยศและยิ่งใหญ่ที่สุด

 

                อิมามรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวกับชายผู้สูงวัยคนนั้นว่า “โปรดนั่งลงก่อนเถิด ขออัลลอฮ์ประทานความจำเริญให้กับท่าน” แล้วอิมามกาซิม (อ.) ก็ได้หันไปพูดกับคนรับใช้ของคอลีฟะฮ์มันซูรว่า “จงไปหานายของเจ้าซิ และจงบอกให้เขารู้ในเรื่องของทรัพย์สินและสิ่งเหล่านี้ที่เขาได้กระทำ” คนรับใช้จึงเดินไปหาคอลีฟะฮ์มันซูร สักพักหนึ่งก็ได้เดินกลับมาพลางกล่าวว่า “คอลีฟะฮ์มันซูร ได้กล่าวว่า ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นรางวัลจากเขาที่มอบให้แก่ท่าน ท่านสามารถที่จะจัดการกับมันได้ตามที่ต้องการ”

 

                ดังนั้น อิมามจึงหันหน้าไปหาชายผู้สูงวัยคนนั้น แล้วกล่าวว่า “บัดนี้ ฉันได้มอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับท่าน”

 

 

 

อิมามกาซิม (อ.) กับการทำงาน

 

                อิมามกาซิม (อ.) เป็นคนที่รักการงาน ท่านมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งซึ่งท่านได้เพาะปลูก วันหนึ่งอะลีสหายคนหนึ่งของท่านเดินผ่านมา และแลเห็นอิมามกาซิม (อ.) กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำงานจนเหงื่อเปียกโชก อะลีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ฉันได้ถูกกำหนดมาเพื่อรับใช้ท่าน คนงานไปไหนกันหมดไม่มีใครทำงานให้ท่านสักคนเลยหรือ?”

 

                อิมามกาซิม (อ.) พูดพลางปาดเหงื่อที่คิ้วว่า “โอ้อะลี คนที่ดีกว่าฉันและดีกว่าบิดาของฉันก็ยังทำงานด้วยมือของตัวเอง” อะลีถามด้วยความอยากรู้ว่า “เขาผู้นั้นเป็นใคร?” กาซิม (อ.) ตอบว่า “ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) และบรรพบุรุษของฉันทุกคนนั่นอย่างไรเล่า ทุกคนล้วนทำงานด้วยมือของตัวเอง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากหน้าที่ของบรรดาศาสดาและศาสนทูต บรรดาทายาทของศาสดาและกัลยาณชนทั้งหลาย”

 

              

 

ตำนานและอุทาหรณ์

 

                วันหนึ่งอิมามกาซิม (อ.) เดินอยู่ที่อัล อัซเกาะฮ์ ท่านได้ยินเสียงเพลงตลกขบขันดังเล็ดลอดออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง ในขณะนั้นเองมีเด็กสาวคนหนึ่งออกมา อิมามจึงหยุดเดินและให้สลามแก่นางแล้วถามว่า “เจ้าของบ้านเป็นอิสระชนหรือว่าเป็นทาส ?”

 

                หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยความประหลาดใจว่า “เขาก็เป็นอิสระชนนะซิ”

 

                อิมามจึงกล่าวต่อไปว่า “เธอพูดถูกแล้ว เพราะถ้าหากเขาเป็นทาสเขาจะต้องกลัวนายของเขาแน่”

 

                เมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าของบ้านซึ่งมีชื่อว่า “บะชัร” จึงถามนางถึงเหตุผลที่นางล่าช้านัก นางตอบว่า “มีชาย คนหนึ่งผ่านมา” แล้วเขาถามฉันว่า “เจ้าของบ้านเป็นอิสระชนหรือว่าเป็นทาส ?”

 

                บะชัร จึงกล่าวต่อไปว่า “แล้วเธอตอบเขาไปอย่างไร?”

 

                หญิงสาวคนนั้นตอบว่า “ฉันก็ตอบเขาไปว่า “เป็นอิสระชน” แล้วเขาก็บอกฉันว่า เธอพูดถูกแล้ว เพราะถ้าหากเขาเป็นทาส เขาจะต้องกลัวนายของเขาแน่”

 

                บะชัร ก้มหน้าอย่างคนใช้ความคิด เขารู้สึกว่าถ้อยคำนี้กระทบกระเทือนจิตใจในส่วนลึกของเขาเสียจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเดินตามหลังอิมามกาซิม (อ.) ไปอย่างกระชั้นชิด แล้วประกาศขอกลับตัวและเป็นผู้ศรัทธาอยู่ในกรอบของศาสนา นับตั้งแต่วันนั้นมาบะชัรจึงได้รับสมญานามว่า “บะชัรอัลฮาฟีย์” (บะชัร ผู้ใกล้ชิด) เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนถึงความสมถะและความเพียรในการเคารพภักดี

 

 

ความสมถะของอิมามกาซิม (อ.)

 

                อิมามกาซิม (อ.) เป็นแบบอย่างในด้านความสมถะและความเพียรในการเคารพภักดี ท่านจะสุหยูดต่ออัลลอฮ์เป็นเวลานานๆด้วยความซาบซึ้งถึงความหมายแห่งการเคารพภักดีต่อผู้สร้างผู้ทรงอำนาจสูงสุด

 

                ในเวลาที่คนเราเคารพภักดีต่อพระผู้อภิบาลของตน เขาจะรู้สึกว่าตนเองเต็มไปด้วยอิสรภาพ เขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด และไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดนอกจากอัลลอฮ์ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของอิมามกาซิม (อ.) ในการต่อสู้กับความอธรรม กล่าวคือท่านจะไม่ระย่อต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ แม้ว่าจะถูกขังคุกด้วยความไม่เป็นธรรมก็ตาม ยิ่งกว่านั้นอิมามกาซิม (อ.) ยังขอบพระคุณต่ออัลลฮ์เสียอีกที่ต้องถูกขังคุก เพราะถือว่านี่คือความโปรดปรานอย่างหนึ่งเพราะท่านจะได้ใช้เวลาในการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ได้อย่างเต็มที่

 

                แน่นอน ท่าทีของอิมามกาซิม (อ.)ได้สร้างความงุนงงให้กับบรรดาศัตรู ผู้คุมขังบางคนถึงกับร้องไห้ต่อหน้าและขออภัยโทษต่อท่าน

 

                ความหิวโหยก็ดี การถูกพันธนาการก็ดี อีกทั้งความอธรรมในคุกก็ดีไม่มีผลตามเป้าหมายของผู้ประสงค์ร้ายต่ออิมามกาซิม (อ.) แต่ประการใด คอลีฟะฮ์ฮารูน อัร รอชีด พยายามทุกวิถีทางเพื่อต้องการจะเห็นอิมามกาซิม (อ.) ยอมจำนน จนกระทั่งว่าวันหนึ่งเขาได้ส่งสตรีรูปงามนางหนึ่งเข้าไปหาท่าน เพื่อเย้ายวนอิมามกาซิม (อ.) ให้หลงเสน่ห์ แต่แล้วนางต้องกลับมาในสภาพของคนถูกอบรมสั่งสอนโดยวิญญาณแห่งคุณธรรมของอิสลาม กล่าวคือนางเลิกประพฤติตัวในทางที่เหลวไหล และลุ่มหลงมัวเมาสนใจแต่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ขอดุอาอ์และทำนมาซ

 

 

 

ที่กรุงแบกแดด

 

คอลีฟะฮ์มันซูร เสียชีวิตในฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่ 158 อัล มะฮ์ดี ผู้เป็นบุตรชายก็ได้เข้ามาครองอำนาจการปกครองสืบต่อจากบิดา

 

                มะฮ์ดีต้องการจะใช้นโยบายทางการเมืองแบบใหม่ต่อสู้กับคนในครอบครัวของอะลีและพรรคพวก ดังนั้นเขาจึงปล่อยตัวบรรดาผู้ที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาทางการเมือง และยังได้มอบทรัพย์สินที่ยึดมากลับคืนให้พวกเขาด้วย และเขาได้จ่ายเงินจากกองคลังอย่างไม่อั้น จนถึงขนาดว่าได้ใช้จ่ายในการสมรสของฮารูนบุตรชายคนหนึ่งของเขา มากกว่า 59 ล้านดิรฮัม และยังมอบเป็นรางวัลแก่บรรดานักกวีที่ประพันธ์บทกลอนโจมตีอะห์ลุลบัยต์อีกเป็นจำนวนมหาศาล

 

                ผู้มีความทะเยอะทะยานบางคน มีความปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงเขียนรายงานบอกเล่าที่เป็นเท็จในรูปแบบต่างๆกัน เกี่ยวกับความเป็นไปและการต่อต้านอิมามกาซิม (อ.) กล่าวคืออัลมะฮ์ดี ได้สั่งให้นำตัวอิมามจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังเมืองแบกแดดแล้วจับขังคุก แต่ทว่าไม่นานนักก็ต้องปล่อยตัวอิมามออกมา

 

                นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า คืนหนึ่งอัล มะฮ์ดี ได้ฝันเห็นอมีรุลมุอ์มินีนอะลี (อ.) ได้อ่านโองการหนึ่งให้เขาฟังดังนี้ “(โอ้มุฮัมมัด) อาจเป็นไปได้ว่า ถ้าหากพวกเจ้าผินหลังกลับ แล้วพวกเจ้าจะก่อความเสียหายในหน้าแผ่นดิน และตัดขาดกับเครือญาติของพวกเจ้า”

 

                เมื่อนั้นเอง อัล มะฮ์ดี จึงตกใจตื่นด้วยความหวาดกลัว จึงสั่งให้รีบปล่อยตัวอิมามกาซิม (อ.) กลางดึกของคืนนั้น

 

 

เหตุการณ์สังหารที่ “ฟัค”

 

                กาลเวลาผ่านพ้นไป 10 ปี เมื่อคอลีฟะฮ์อัล มะฮ์ดี เสียชีวิตไปแล้ว อัล ฮาดีย์ บุตรชายก็ได้ก้าวเข้าขึ้นสู่อำนาจ เขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนมุทะลุจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อัล ฮาดีย์ได้ก่อเหตุโศกนาฏสังหารชีวิตเลือดเนื้อของบรรดาอะห์ลุลบัยต์ (อ.)ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์สังหารที่กัรบะลาอ์ ดังเช่นในเหตุการณ์ที่ “ฟัค” เมื่อทหารของตระกูลอับาสิยะฮ์ เข้าล้อมกรอบทหารนักปฏิวัติ 300 คน ภายใต้การนำของฮูเซน บิน อะลี บุตรหลานจากทางฝ่ายอิมามฮาซัน (อ.) ในสมรภูมิแห่งนั้นฮูเซนได้ถูกสังหาร และสมัครพรรคพวกของเขาเป็นจำนวนมากที่ถูกจับตัวเป็นเชลยไปยังแบกแดด และอัล ฮาดีย์จึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตคนเหล่านั้น

 

 

 

คอลีฟะฮ์ ฮารูน อัร รอซีด

 

                หลังจากเหตุการณ์สังหารที่ “ฟัค” แล้ว อัล ฮาดีย์ก็หมายมั่นที่จะคุกคามชีวิตของท่านอิมามกาซิม (อ.) แต่ได้ตายไปก่อนที่แผนการของเขาจะประสบผลสำเร็จ หลังจากนั้นฮารูน อัร รอชีด จึงได้ขึ้นสู่อำนาจสืบต่อในปี ฮ.ศ.170 ในขณะที่อิมามกาซิม (อ.) มีอายุได้ 42 ปี และ ในสมัยของฮารูนมีการใช้อำนาจปกครองอาณาจักรอย่างเหลวแหลก และดำเนินชีวิตอยางสุ่รุ่ยสุ่ร่ายที่สุด มีการละเลงเล่นทรัพย์สินของบรรดามุสลิมฮารูนยังได้ดำเนินนโยบายทางการเมืองด้วยการแผ่อิทธิพลและการเข่นฆ่าชีวิตผู้คน เขาพยายามขับไล่คนในตระกูลของอะลีไปในทุกหนทุกแห่ง

 

 

 

เหยื่อสังหาร

 

                ฮารูน อัน รอชีด มีบัญชาให้ “ฮะมีดะฮ์ บิน กุฮ์ตอบะฮ์” มาพบในตอนกลางดึกของคืนหนึ่ง โดยมีความประสงค์จะรู้ถึงระดับการยอมรับของฮะมีดะฮ์ที่มีต่ออำนาจการปกครองของตน เขาถามฮะมีดะฮ์ว่า “การยอมรับของเจ้าหน้าที่มีต่อข้านั้นเป็นอย่างไร ไหนลองว่ามา”

 

                ฮะมีดะฮ์ บิน กุฮ์ตอบะฮ์ กล่าวตอบทันที่ว่า “ฉันยอมพลีต่อท่านได้ทั้งบริวารและบุตรชายของฉัน”

 

                ฮารูน อัร รอชีด ได้ถามซ้ำคำถามเดิม ซึ่งบินกุฮ์ตอบะฮ์ก็ตอบอีกว่า “ฉันยอมพลีแก่ท่านได้ทั้งบริวารและบุตรชายของฉันด้วย”

 

                เมื่อถึงตรงนี้ฮารูน รอชีด จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็จงออกไปพร้อมกับมัซรูร (คนใช้ส่วนตัวของอัร รอชีด ที่เคยสร้างอาชญากรรมมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน) แล้วจงให้บรรลุผลตามที่เขาได้สั่งเจ้า”

 

                หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปถึงคุกแล้ว มัซรูรได้สั่งให้อินนุกุฮ์ตอบะฮ์ว่า “แท้จริงคอลีฟะฮ์ได้สั่งให้แกฆ่าคนที่อยู่ในคุกนี้ให้หมด แล้วให้โยนศพของเขาลงในบ่อ”

 

                ผู้ที่ถูกขังอยู่ในคุกล้วนเป็นลูกหลานของอะลีและฟาฏิมะฮ์ทั้งสิ้น มีจำนวนถึง 60 คน ในคนเหล่านั้นมีทั้งเด็กและคนสูงอายุ “ฮะมีดะฮ์ บิน กุฮ์ตอบะฮ์” จึงลงมือตัดคอพวกเขาที่ละคนอย่างไร้ความปรานีหรือความสงสารใดๆเลย ความโหดร้ายอย่างป่าเถื่อนของ “ฮารูน อัร รอชีด” ยังไปไกลถึงขนาดสั่งให้เปิดน้ำไหลเข้าใส่สุสานของอิมามฮูเซน (อ.) เพื่อกันมิให้ประชาชนเข้าไปเยี่ยมเยียน และแสวงหาความจำเริญ

 

 

 

ท่าทีของอิมามกาซิม (อ.)

 

                การปกครองในสมัยของฮารูน อัร รอชีด ได้กดขี่ข่มเหง อยุติธรรมและล่วงละเมิดต่อชีวิตและสิทธิของครอบครัวผู้บริสุทธิ์ ผู้คนต่างใช้ชีวิตอยู่ด้วยการถูกกดขี่อย่างอัปยศอดสู และถูกริดรอนสิทธิในขณะที่เขาและบรรดาบริวารต่างใช้ชีวิตเสวยสุขประดุจชีวิตในเทพนิยาย

 

                คุกมืดเต็มไปด้วยบรรดาผู้ถูกกลั่นแกล้งและผู้บริสุทธิ์ ในขณะที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทอันวิจิตรตามจินตนาการด้วยเหตุนี้อิมามกาซิม (อ.)จึงต่อต้านอย่างรุนแรงต่อฮารูน อัร รอชีด โดยสั่งห้ามผู้ดำเนินตามท่านสนับสนุนการปกครองของเขา เพราะเขาประพฤติตัวโน้มไปในความอยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามหลักศาสนา

 

                วันหนึ่งอิมามกาซิม (อ.) ได้กล่าวแก่ศ็อฟวาน เจ้าของอูฐ ในฐานะเป็นสหายคนหนึ่งของท่านว่า

 

                “ทุกอย่างในตัวเธอถือว่าดีงามทั้งหมด ถ้าหากเธอไม่ยอมให้ฮารูน อัร รอชีด เช่าอูฐ”

 

                ศ็อฟวาน ตอบว่า “ฉันจะไม่ให้เขาเช่าอูฐหรอก เว้นแต่เมื่อเขาต้องการจะไปทำฮัจญ์”

 

                อิมาม “เธอต้องการจะให้ฮารูนกลับมาโดยปลอดภัย เพื่อว่าเขาจะมอบค่าเช่าให้เธอใช่ไหม?”

 

                ศ็อฟวาน “ขอรับ”

 

                อิมาม “ผู้ใดชอบการมีชีวิตอยู่ของบรรดาผู้อยุติธรรม เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านั้น”

 

                ศ็อฟวานจึงขายอูฐของเขาทั้งหมด เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องมีความลำบากใจในการให้เช่าอูฐแก่ฮารูน อัรรอชีดอีกต่อไป

 

                เมื่อฮารูนทราบข่าว ก็เข้าใจในทันทีว่า ที่ศ็อฟวานขายอูฐไปก็เพราะคำขอร้องของอิมามกาซิม (อ.) นั่นเอง จึงคิดจะสังหารเขา แต่ก็ได้เปลี่ยนใจในภายหลัง โดยเก็บความเคียดแค้นที่มีต่ออิมามกาซิม (อ.) ไว้ในใจ

 

                จุดยืนของอิมามกาซิม (อ.) ก็คือ ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือผู้อธรรมแต่ยังยินยอมให้สหายบางคนทำงานในตำแหน่งต่างๆ ภายใต้การปกครองของฮารูนได้เพื่อลดความอธรรมและการกดขี่ลงไปบ้าง และเพื่อที่จะได้มอบความช่วยเหลือบางอย่างให้แก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น “อะลี บิน ยักฏีน” ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเสนาบดี ก็เป็นสานุศิษย์คนหนึ่งของอิมามกาซิม (อ.) แต่เขาได้ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ฮารูน อัร รอชีดจะสอดส่องดูพฤติกรรมของเสนาบดีผู้นี้อย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่พบพฤติกรรมใดๆ ที่แสดงว่าอะลี บิน ยักฏีน เป็นพรรคพวกเขาอิมามกาซิม (อ.)

 

              

 

การสนทนากับฮารูน

 

                ฮารูน ถือว่าอิมามกาซิน (อ.) เป็นบุคคลอันตรายที่คุกคามอำนาจการปกครองของตน เขาจึงพยายามถามคำถามที่ทิ่มแทง เพื่อที่จะให้อิมามแสดงความอ่อนแอและไร้ความสามารถออกมาให้ปรากฏ

 

                วันหนึ่งฮารูนจึงตั้งคำถามกับอิมามกาซิม (อ.) ว่า “บอกฉันมาซิว่าทำไมพวกท่านจึงมีเกียรติเหนือพวกเรา ในขณะที่เรากับพวกท่านก็มาจากต้นไม้ต้นเดียวกัน เราเป็นลูกของอับบาส ส่วนท่านเป็นลูกของอบู ฏอลิบและทั้งสองคนต่างก็เป็นลุงของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)”

 

                อิมามกาซิม (อ.) จึงตอบไปว่า “พวกเราใกล้ชิดกับศาสนทูตมากกว่า เพราะอับดุลลอฮ์ (บิดาของท่านนบี) กับอบูฏอลิบเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาคนเดียวกัน ส่วนอับบาสมิได้เกิดจากมารดาของอับดุลลอฮ์”

 

                ฮารูนจึงถามอีกคำถามหนึ่งว่า “ทำไมคนทั้งหลายจึงเรียกพวกท่านว่า “ลูกหลานของท่านศาสดา” ในขณะที่เป็นตาทวดของพวกท่าน และบิดาของท่านก็คืออะลี ?”

 

                อิมาม “โอ้ ! อมีรุลมุอ์มินีน ถ้าหากท่านศาสดาฟื้นชีพขึ้นมาแล้วสู่ขอบุตรสาวของท่าน ท่านจะยอมจัดงานสมรสให้หรือไม่?”

 

                ฮารูน “แน่นอน และฉันจะถือเอาเรื่องนี้เพื่อเอาไว้อวดทั้งกับชาวอาหรับและที่ไม่ใช่อาหรับ”

 

                อิมาม “แต่ทว่าสำหรับพวกเรา ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ จะมาสู่ขอไม่ได้ และเราจะจัดการแต่งงานพวกนางให้กับท่านก็ไม่ได้”

 

                ฮารูน “อ้าว ! ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า?”

 

                อิมาม “ก็เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดฉันนะซิ แต่มิได้ให้กำเนิดท่าน”

 

 

 

การคดโกง

 

                จิตใจที่มีโรค ย่อมจะไม่มีสิ่งใดที่ทำประโยชน์ให้มันได้เลย เช่นการคดโกงของอะลี บิน อิสมาอีล ที่มีต่ออิมามกาซิม (อ.) อาของท่านเอง

 

                ความจริงแล้ว อิมามกาซิม (อ.) ได้ปฏิบัติอย่างดีที่สุดต่อบุตรของพี่ชายของท่าน แต่เขากลับตอบแทนแก่อิมามอย่างเลวร้ายยิ่ง

 

                ในสมัยที่ยังอยู่ด้วยกันที่เมืองมะดีนะฮ์ อะลี บิน อิสมาอีลตัดสินใจจะเดินทางไปยังแบกแดด อิมามกาซิม (อ.) จึงเรียกเขาเข้ามาพบ แล้วถามถึงจุดมุ่งหมายในการเดินทาง เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีหนี้สินจำนวนหนึ่งและต้องการจะไปหาเงินมาชำระหนี้”

 

                ดังนั้นอิมามกาซิม (อ.) จึงกล่าวว่า “ฉันจะชำระหนี้ให้เจ้าของ เจ้าไม่ต้องไปแบกแดดหรอก”

 

                อะลี บิน อิสมาอีล ปฏิเสธเจตนาดีนี้ เขาตั้งใจจะเดินทางไปให้ได้

 

                อิมามกาซิม (อ.) จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น หากเจ้าไปถึงยังแบกแดดก็จงอย่ามีส่วนร่วมในการฆ่าฉันก็แล้วกัน”

 

                อะบี บิน อิสมาอีลกุลเดินออกไปโดยไม่ให้คำตอบ แต่อิมามก็ได้มอบถุงซึ่งมีเงินอยู่ในนั้น 300 ดีนาร เพื่อเขาจะได้ใช้จ่ายแก่ครอบครัว

 

                แม้อิมาม (อ.) จะทำความดีถึงเพียงนี้แล้ว แต่อะลี บิน อิสมาอีลก็ยังไม่วายซ่อนความทรยศไว้ในใจ เขาต้องการจะไปประจบสอพลอฮารูน อัร รอชีด และรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ เป็นความหนักใจของท่านอิมาม (อ.)

 

                เขาได้เข้าไปหาฮารูน อัร รอชีด แล้วพูดอย่างตลบตะแลงที่สุดว่า “มีคอลีฟะฮ์สองคนในสมัยเดียวกัน แน่นอนฉันได้ละทิ้งมูซา บิน ญะอ์ฟัร ซึ่งอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ เขาอ้างตนเป็นคอลีฟะฮ์ และทรัพย์สินเงินทองได้หลั่งไหลไปหาเขา”

 

                ฮารูน อัร รอชีดบันดาลโทสะเป็นอย่างยิ่ง จึงออกคำสั่งให้จับตัวอิมามกาซิน (อ.) แล้วส่งไปขังคุกคุกที่เมืองบัศเราะฮ์ทันที

 

                แต่แล้วอะลี บิน อิสมาอีล ก็มิได้รับผลประโยชน์อันใดเท่าที่ควรนอกจากรางวัลอันน้อยนิดเพียง 200 ดิรฮัม เท่านั้น เขาจึงออกมาจากวังด้วยความอัปยศด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างที่สุด ไม่นานนักก็ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเขาจึงขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.

 

 

 

ที่เมืองบัศเราะฮ์

 

                ฮารูน อัร รอชีด ได้เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์ด้วยตนเอง เพื่อทำการจับกุมอิมามกาซิน (อ.) จนทำให้ประชาชนต่างออกมาร่ำไห้ในการกระทำนี้

 

                ฮารูน อัร รอชีด ตระหนักดีว่า ประชาชนมีความรักต่ออิมามกาซิม(อ.) อย่างมาก ด้วยความกลัวว่าจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้การจับกุมตัวในครั้งนี้ เขาจึงออกคำสั่งให้ย้ายอิมามกาซิม (อ.)ไปไว้ที่บัศเราะฮ์ในตอนดึก

 

                ในตอนเช้าของวันนั้น กองคาราวานของฮารูนออกเดินทางไปยังกรุงแบกแดด ฮารูน อัร รอชีด แพร่ข่าวออกไปว่ากองคาราวานจะนำตัวอิมามกาซิม ไปยังกรุงแบกแดด อิมามกาซิม(อ.) ได้ถูกนำตัวไปขังไว้ในคุกมืดที่เมืองบัศเราฮ์ เจ้าเมืองบัศเราะฮ์มีความประหลาดใจมากกับการจับกุมบุคคลระดับสูงที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ทั้งในด้านความสำรวมตนการอิบาดะฮ์และความสมถะ เขาจึงเขียนจดหมายไปหาฮารูน อัร รอชีด เพื่อขอร้องให้ปล่อยตัวอิมามกาซิม (อ.) ฮารูน อัร รอชีด จึงสั่งให้นำตัวอิมามในฐานะนักโทษมายังเมืองแบกแดด เพื่อการจองจำ

 

                แต่จริยธรรมของอิมามกลับชนะใจพวกผู้คุมเรือนจำ ดังนั้นอิมามกาซิม (อ.) จึงถูกย้ายจากคุกหนึ่งไปสู่อีกคุกหนึ่งไปสู่อีกคุกหนึ่ง ฮารูน อัร รอชีดพยายามจะขจัดอิมามกาซิม (อ.) ออกไปให้พ้นจากเส้นทางเดินของตน จึงตัดสินใจ ส่งอิมามไปอยู่ในคุกของซะนะดีย์ บิน ชาฮิก ซึ่งเป็นคนที่มีความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนอย่างยิ่ง

 

                อิมามกาซิม (อ.) ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำด้วยการนมาซ ขอดุอาอ์และถือศีลอด ไม่มีสิ่งใดที่จะเพิ่มพูน ณ อัลลอฮ์ได้ นอกจากการขอบคุณ

 

                มีบางคนพยายามที่จะผลักดันอิมามให้ขออภัยโทษจากฮารูน อัร รอชีด แต่อิมามกาซิม (อ.) ปฏิเสธที่จะอ่อนข้อให้ และยังได้ส่งจดหมายถึงฮารูน อัร รอชีด ฉบับหนึ่ง ซึ่งอิมามกาซิม (อ.) ได้เขียนในจดหมายว่า “ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ยังไม่หยุดหย่อนไปจากฉันเพียงสักวันเดียวจนกว่าจะถึงวันที่ความสุขสบายได้สิ้นสุดลงไปจากท่านพร้อมๆ กันไป ต่อจากนั้นเราทั้งสองจะเดินทางพร้อมกัน เพื่อไปสู่วันที่ไม่มีความสิ้นสุด ซึ่งไม่มีใครขาดทุนในวันนั้นอีก นอกจากบรรดาผู้กระทำผิด”

 

                สภาพความเป็นอยู่ของอิมาม (อ.) ชวนให้น่าสลดใจอย่างยิ่ง จึงมีบางคนต้องการให้คำแนะนำกับอิมาม เพื่อจะได้พึ่งพาพวกที่มีอำนาจนำท่านออกจากคุก แต่อิมามปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น โดยกล่าวว่า “บิดาของฉันได้เล่ามาจากบรรพบุรุษของท่านให้กับฉันฟังว่า อัลลอฮ์ทรงสั่งเสียแก่ดาวูดว่า “การที่บ่าวคนใดจากปวงบ่างของฉัน ยึดเอาบุคคลใดเป็นที่พึ่งนอกเหนือจากฉัน ย่อมไม่ได้รับอะไรเลย นอกจากฉันจะตัดขาดจากเขาซึ่งปัจจัยทั้งหลายอันมาจากฟากฟ้า และจากแผ่นดินที่อยู่เบื้องล่างเขา”

 

                ภายหลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปหลายปี ที่อิมามกาซิม (อ.) ใช้ชีวิตอยู่ในคุกของพวกอับบาสิยะฮ์ในที่สุดท่านก็ต้องพบกับการถูกสังหารจนถึงแก่ความตาย หลังจากที่ฮารูน อัร รอชีด ได้ลอบวางยาพิษลงในอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นใน ฮ.ศ. 183 ศพของอิมามกาซิม(อ.) ถูกนำไปวางไว้บนแคร่ที่อยู่ห่างไกลจากพวกพ้องและบุคคลอันเป็นที่รักของท่าน ฮารูน อัร รอชีดอ้างว่าท่าน อิมาม (อ.)เสียชีวิตไปตามธรรมชาติ แต่มีหมอคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านแคร่หาม และได้ชันสูตรศพของอิมามพร้อมกล่าวว่า “อิมามได้ถูกบังคับให้ดื่มยาพิษที่เรียกว่า “นักฆ่า” เข้าไป จนทำให้ถึงแก่ความตาย”

 

                การพลีชีพของอิมามกาซิม (อ.) ทำให้มีเสียงร้องไห้ครวญไปทั่วเมืองแบกแดด และได้ฝังความข่มขื่นไว้ในจิตใจของชีอะฮ์แห่งอะลีลุลบัยต์ (อ.)

 

                ศพของอิมามกาซิม (อ.) ถูกฝังในสุสานของชาวกุเรชปัจจุบันนี้อยู่ ณ เมืองกาซิมียะฮ์

 

 

 

มิตรสหายของอิมามกาซิม (อ.)

 

                1. อิบนิ อบีอะมีร : เขาคือผู้ที่ติดตามอิมามกาซิม (อ.)อยู่เป็นประจำจากนั้นจึงมาอยู่กับอิมามอะลี ริฏอ (อ.) และอิมามมุฮัมมัด อัล ญะวาด(อ.) เขาเคยถูกจับตัว บรรดาผู้ปกครองได้บังคับให้บอกชื่อผู้ที่เป็นชีอะฮ์ในอิรัก แต่เขาปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น จึงได้รับการลงโทษทรมานในรูปแบบต่างๆ และต้องถูกจองจำอยู่นานถึง 17 ปี ทรัพย์สินของเขาถูกริบไปจนหมด

 

                2. อะลี บิน ยักฏีน : เป็นสหายคนหนึ่งของอิมามซอดิก (อ.) ถูกขับไล่จากพวกอุมัยยะฮ์ เมื่อพวกอับบาสิยะฮ์เข้ามาครองอำนาจ ก็ได้กลับมายังเมืองกูฟะฮ์ และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ปกครองแห่งวงศ์อับบาสิยะฮ์

 

                ฮารูน อัร รอชีด แต่งตั้งเขาให้เป็นเสนาบดีคนหนึ่งของตน เขาได้ให้ความช่วยเหลือต่อบรรดาชีอะฮ์และผู้ถูกกดขี่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโชคอย่างหนึ่งของอิมามกาซิม(อ.) เขาเคยเสนอต่ออิมามว่าจะลาออก แต่อิมามสนับสนุนให้เขาทำหน้าที่ในตำแหน่งต่อไป เพื่อรักษามรดกบางส่วนของอะห์ลุลบัยต์ (อ.)

 

                3. มุอ์มิน ฏอริก : เขาคือสหายคนหนึ่งของอิมามซอดิก (อ.) เป็นนักปราชญ์ระดับสูง และเป็นนักพูดที่ช่ำชองเขามีบทบาทอย่างมากในการต่อต้านการเคลื่อนไหวของพวกละเมิดศาสนาและพวกหลงผิด

 

                4. ฮิชาม บิน ฮะกัม : เป็นสานุศิษย์คนหนึ่งของอิมามซอดิก (อ.) ซึ่งได้ผ่านผลงานทางด้านตำราไว้หลายเล่ม

 

 

 

วาทะประทีป

 

                ผู้ศรัทธานั้น เปรียบเสมือนจานชั่งทั้งสองของตราชู ทุกครั้งถ้าหากความศรัทธาของเขาเพิ่มขึ้น ภัยพิบัติที่เขาจะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

 

                การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีนั้น มิไดอยู่ที่การช่วยปกป้องภัยอันตรายเท่านั้น หากแต่การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีนั้นอยู่ที่ความอดทนต่อภัยอันตรายนั้นด้วย

 

                ในวันฟื้นคืนชีพจะมีผู้ประกาศว่า “ผู้ใดที่มีรางวัลของตนเองอยู่ ณ อัลลอฮ์ ก็ขอให้ลุกขึ้น” จะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นเลย เว้นแต่บุคลลที่มีจิตใจอภัยและแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นรางวัลของเขาจะอยู่ ณ อัลลอฮ์

 

                ผู้ที่ละทิ้งผลประโยชน์ทางโลกเพื่อศาสนาของตนก็ดี หรือผู้ที่ละทิ้งศาสนาของตนเพื่อประโยชน์ทางโลกก็คือ ล้วนหาใช่พวกเราไม่

 

 

 

 

 

 

แสดงความเห็น