วิลายะตุลฟะกีฮ์ ระบอบการปกครองของพระเจ้า ตอนที่หนึ่ง

วิลายะตุลฟะกีฮ์ ระบอบการปกครองของพระเจ้า ตอนที่หนึ่ง

โดย ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี

 

วิลายะตุลฟะกีฮฺ คืออะไร? และมีที่มาที่ไปอย่างไร?

วิลายะตุลฟะกีฮฺ เป็นคำภาษาอาหรับ ซึ่งมาจากการเอาคำสองคำมารวมกัน คือ "วิลายะฮฺ" กับ "ฟะกีฮฺ"

"วิลายะฮฺ" คือ อำนาจการปกครองในอิสลาม ซึ่งเป็นการปกครองโดยดุษฎี และ "ฟะกีฮฺ" ผู้รู้ทางศาสนาที่มีความสามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ในศาสนาได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ ประเด็นของวิลายะตุลฟะกีฮฺพอจะสรุปได้ด้วยเนื้อหาสั้นๆ คือ อำนาจการปกครองของนักการศาสนาระดับสูงที่มีเหนือประชาชาติอิสลาม

หากมองย้อนไปหาที่มาที่ไปของคำๆ นี้ในประวัติศาสตร์จากเนื้อหาของศาสนา คำว่า "วิลายะฮฺ" คืออำนาจการปกครองที่ได้รับมากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมาจากคำว่า "วะลี" ดังนั้นคำว่า "วะลี" และ "วิลายะฮฺ" ก็คือคำที่มาจากรากศัพท์เดียวกัน

หลักการและความเชื่อในแง่ศาสนาและประวัติศาสตร์

พระผู้เป็นเจ้าได้วางโครงสร้างการปกครองประชาชาติไว้สามขั้นตอนด้วยกัน ซึ่งมีที่มาจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ใช้ในการพิสูจน์การมีอำนาจการปกครองของบรรดาศาสดา บรรดาอิมาม (ทายาทในการใช้อำนาจการปกครองของศาสดา) และเป็นโองการเดียว ที่นำมาพิสูจน์การมีอำนาจในการปกรองของบรรดานักวิชาการศาสนาระดับสูง นั่นก็คือโองการที่ 55 ของบทอัลมาอิดะฮฺ ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่พระองค์ทรงมีพระดำรัสว่า "จงรู้เถิดว่า วะลีของพวกเจ้าที่มีอำนาจปกครองพวกเจ้าคือ พระองค์อัลลอฮฺ และศาสดาของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ได้ทำการจ่ายซะกาต (ทานบังคับ) ในขณะที่เขาโค้ง"

คำว่า "วะลี" ในโองการข้างต้นในความหมายที่แท้จริง หมายถึงผู้ที่มีอำนาจการปกครองพวกเจ้า เพราะ "วะลี" คือผู้ที่มีอำนาจการปกครอง (วิลายะฮฺ) การที่เราเรียกบุคคลต่างๆ ว่า "วะลี" นั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถเสกใบไม้ให้เป็นสิ่งต่างๆ ได้ หรือสามารถเดินบนน้ำได้ แต่ความหมายของคำว่า "วะลี" คือผู้ที่ได้รับอำนาจการปกครองจากพระผู้เป็นเจ้า คือผู้ที่มี "วิลายะฮฺ" (อำนาจการปกครอง) และบุคคลที่อยู่ในวิลายะฮฺนี้เท่านั้น ที่พระผู้เป็นเจ้าถือว่าเขาคือ "ฮิซบุลลอฮฺ" (พรรคของพระเจ้า) "ฮิซบุลลอฮฺ" คือพรรคที่ยอมรับในอำนาจการปกครองของพระองค์

แน่นอนที่สุดอำนาจการปกครองของพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่เหนือมวลมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องถกเถียง ไม่มีข้อกังขาใดๆ และอำนาจการปกครองของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) ก็เช่นเดียวกัน ไร้ข้อคลางแคลงใดๆ ถึงแม้ว่าจะมีความคิดที่แตกต่างกันบ้างในสำนักคิดต่างๆ ของอิสลาม กระทั่งมาถึงอำนาจการปกครองของบรรดาผู้ที่มีหน้าที่บังคับบัญชา (อุลิลอัมริ) อำนาจการปกครองของบุคคลที่ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าและศาสดาของพระองค์ คือผู้มีอำนาจชั้นที่สาม

อำนาจการปกครองในประเภทที่สามนี้ แนวความคิดในสำนักคิดต่างๆ ของอิสลามจะแตกต่างกัน ยกเว้นในแนวความคิดของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสมบูรณ์ที่สุดว่า บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ปราศจากความผิดบาปและมลทินต่างๆ คือผู้มีอำนาจการปกครองของเหนือมวลศรัทธาชน

ดังนั้น "วิลายะฮฺ" คือรากฐานประการสำคัญสำหรับอิสลาม สังคมมุสลิมและประชาชาติมุสลิมจะอยู่รอดปลอดภัย และเป็นสังคมที่สมบูรณ์ เป็นมุสลิมที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อบรรดาผู้มีอำนาจการปกครองที่มีอำนาจการปกครองของพระผู้เป็นเจ้าได้ปกครองเหนือสังคมมุสลิม

ส่วนการพิสูจน์ถึงผู้มีอำนาจการปกครอง หรืออำนาจการปกครองของวงศ์วานแห่งท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) หรือ "อะฮฺลุลบัยต์" นั้น สำหรับมุสลิมนิกายชีอะฮฺเกือบจะไม่มีความจำเป็น เพราะมุสลิมนิกายชีอะฮฺยอมรับอำนาจการปกครองของวงศ์วานท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) โดยดุษฎี ภายหลังจากการหวนกลับคือสู่พระองค์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน)

จริงๆ แล้วโลกอิสลามและประชาชาติมุสลิมต้องยอมรับว่า หลังจากการสิ้นพระชนม์ของท่านศาดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) อาณาจักรอิสลามที่ท่านศาสดา ได้สถาปนาเอาไว้ต้องล่มสลายลง หลังจากที่อำนาจการปกครองนั้นของท่าน มิได้ถูกส่งมอบให้กับบุคคลที่สมควรจะได้รับขึ้นสืบอำนาจการปกครอง หรือไม่ได้ถูกมอบให้กับ "วะลี" ที่แท้จริง อิสลามที่หมายถึงรัฐอิสลาม หรือระบอบการปกครองที่สมบูรณ์จึงถูกทำลายลงในช่วงเวลาอันสั้นไม่ถึงห้าสิบปี

รัฐอิสลามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) จากระบอบ "วะลี" สู่ระบอบ "คอลีฟะฮฺ" และถูกเปลี่ยนเป็นระบอบ "ราชวงศ์" ในที่สุด ราชวงศ์แรกที่ขึ้นมาปกครองอิสลามก็คือ ราชวงศ์อุมัยยะฮฺ หรือราชวงศ์อามาวียะฮฺ เป็นการปกครองที่มีรัชทายาทสืบทอดอำนาจ และจะเห็นได้ว่าบุคคลที่เข้ามาเป็นผู้ปกครองของรัฐอิสลาม และประกาศตัวเป็นผู้ปกครองของมวลประชาชาติมุสลิมในยุคนั้น มีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง ซึ่งในประวัติศาสตร์ของอิสลามได้บันทึกเอาไว้อย่างละเอียด

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากการที่ประชาชาติมุสลิมส่วนหนึ่ง ได้สนับสนุนให้อำนาจการปกครองที่ผิดคน ทว่าในขณะเดียวกัน ก็มีประชาชาติมุสลิมส่วนหนึ่งได้รับการปกป้องให้พ้นจากการหลงทาง นั่นคือประชาชาติมุสลิมที่อยู่ในอำนาจการปกครอง (วิลายะฮฺ) ของอะฮฺลุลบัยต์ (วงศ์วานลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน)

ในประวัติศาสตร์อิสลามมีบันทึกว่า หลังจากสิ้นสุดการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ) บรรดามุสลิมชีอะฮฺได้เข้าอยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง (วิลายะฮฺ) ของท่านอิมามฮาซัน (อ) ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของท่านอิมามอะลี (อ) หลังจากนั้นจึงเป็นยุคของท่านอิมามฮูเซน (อ) ผู้เป็นน้องชาย และบรรดาอิมามต่างๆ ที่มาภายหลัง ณ จุดนี้อาจจะเป็นการปกครองที่ไม่สมบูรณ์ เพราะในขณะนั้นมีอำนาจการปกครอง แต่ไม่มีอำนาจรัฐ ดังนั้นการปกครองจึงถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ มีเฉพาะมุสลิมชีอะฮฺผู้ที่ศรัทธาและยึดมั่นเพียงเท่านั้น

อำนาจการปกครองของบรรดาวงศ์วานท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่านและลูกหลานของท่าน) ถึงแม้ว่าจะไม่มีอำนาจรัฐ แต่บรรดาอิมาม (วงศ์วานท่านศาสดา) ก็ได้ต่อสู้เสียสละเลือดเนื้อชีวิต และทรัพย์สินเพื่อปกป้องประชาชาติอิสลามกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ และปกป้องอิสลามที่บริสุทธิ์ให้มีมาถึงประชาชาติอิสลามในทุกวันนี้

ที่มาเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี

แสดงความเห็น