แนวทางเอกภาพในทัศนะอิมามโคมัยนี (รฎ.) ตอนที่หนึ่ง
เมื่อขบวนการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้เริ่มต้น โดยท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) เมือปี ค.ศ. 1963 และประสบชัยชนะในปี ค.ศ. 1978 รัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้เริ่มประเด็นของเอกภาพอีกครั้งระหว่างชีอะฮฺกับซุนนียฺ เอกภาพระหว่างประเทศมุสลิม อีกด้านหนึ่งท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) เป็นผู้เรียกร้องเอกภาพในหมู่มุสลิมและประเทศอิสลาม
แนวคิดเรื่องเอกภาพและความสมานฉันท์ของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) นอกจากจะเป็นอิบาดะฮฺแล้ว ยังถือเป็นการเมืองระดับโลกซึ่งมีความพิเศษของตัวเองแต่เนื่องจากบทความดังกล่าวนี้ มิได้อยู่ในฐานะที่จะอธิบายถึงความพิเศษเหล่านั้น อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องถามว่า แนวคิดของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพคืออะไร ท่านมีวัตถุประสงค์อะไร และต้องการอะไรจากคำว่าเอกภาพ
คำตอบของเรื่องนี้คือ สามารถกล่าวได้ทันทีว่าเป้าหมายของท่านอิมามเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ท่านอิมามต้องการให้ความเป็นเอกภาพเป็นสื่อหลัก เพื่อปฏิเสธแนวทางและการปกครองของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีต่อมุสลิมและประเทศอิสลาม ประกอบกับเอกภาพคือรหัสแห่งชัยชนะและทำให้อิสลามธำรงสืบต่อไป
สิ่งที่สมควรกล่าว ณ ที่นี้สำหรับการยืนหยัดของบรรดามุสลิมและบรรดาผู้ยากไร้บนหน้าแผ่นดิน ที่มีต่อบรรดาประจบสอพลอต่อผู้หยิ่งจองหองบนหน้าแผ่นดิน และผู้จ้องที่จะกัดกินโลก สิ่งจำเป็นต้องกล่าวคือ อำนาจของบรรดาเผด็จการทั้งหลายมักจะมากับการขู่กรรโชก และการโฆษณาชวนเชื่อตัวเอง หรือไม่ก็ใช้วิธีค่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือไม่ก็คว่ำบาตรทางการทหาร เพื่อให้สัมฤทธิ์ตามที่ตนตั้งเป้าหมายเอาไว้ ดังนั้น ถ้ามีประชาชาติใดฉลาดคิดทันพวกเขาร่วมมือกันต่อต้านพวกเขา แน่นอน แผนการของพวกเขาไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลอย่างเด็ดขาด
2) ความจำเป็นของเอกภาพ
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ล่วงรู้ถึงแผนการสร้างความแตกแยกของศัตรูในหมู่มุสลิมได้เป็นอย่างดี และท่านยังทราบเป็นอย่างดีว่าความเลวร้ายและผลอันน่ารังเกียจ ที่เกิดจากความแตกแยกในหมู่ประชาชาติอิสลาม มีอยู่ในมุมมองที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการทหาร ซึ่งการขจัดให้สิ่งเหล่านี้หมดไปเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน ซึ่งมีอยู่วิธีการเดียวที่สามารถป้องกันไม่ให้ความเสียหาย หรือความแตกแยกลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ นั่นคือความเป็นเอกภาพในหมู่มุสลิม และสิ่งนี้ต้องเกิดบนพื้นฐานตามความเชื่อของอิสลาม ฉะนั้น ในประเด็นปัญหาดังกล่าว เอกภาพคือสิ่งจำเป็นเหนือสิ่งอื่นใด ตามที่อิสลามได้กำชับเอาไว้ เพื่อให้เอกภาพนั้นเป็นตัวชี้นำมนุษย์ไปสู่หนทางอันเที่ยงธรรม
1) สิ่งจำเป็นประการแรกของเอกภาพในทัศนะของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) คือ การยืนหยัดบนหนทางของพระเจ้า เพื่อให้สังคมได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า
قُلْ إِنَّمَا أَعِظُكُم بِوَاحِدَةٍ أَن تَقُومُوا لِلَّهِ مَثْنَى وَفُرَادَى
จงกล่าวเถิด ข้าขอเตือนพวกเจ้าเพียงข้อเดียวว่า พวกเจ้าจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮฺ สองคนและคนเดียว (บทสะบะอฺ / 46)
พวกท่านทั้งหลายจงยืนหยัดบนหนทางดังกล่าวเพื่อแผ่ขยายความยุติธรรม ให้ออกไปทั่วสารทิศและจัดตั้งพรรคผู้ที่ได้รับการกดขี่บนหน้าแผ่นดิน ดังนั้น ถ้าพบพรรคหนึ่งบนโลกนี้ เป็นพรรคของนักปราชญ์ผู้รู้ ซึ่งพลพรรคของผู้ที่ได้รับการกดขี่ข่มเหงก็คือ ฮิบบุลลอฮฺนั้นเอง แน่นอน ถ้าทำเช่นนั้นได้รับประกันว่าปัญหาทั้งหลายแหล่ต้องถูกขจัดให้สิ้นไปอย่างแน่นอน การเมืองในระบอบอิสลามก็จะพัฒนาและเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ในขั้นที่น่าพึงพอใจ อีกทั้งยังสามารถกลับไปสู่วัฒนธรรมและความเชื่อของตนเอง และต้องพยายามสร้างความเพียงให้แก่ตัวเอง เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องพึ่งหรือตกเป็นทาสรับใช้ตะวันตกอีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจทั้งหลายได้อีกต่างหาก
2) ความจำเป็นประการที่สองของเอกภาพกล่าวคือ เพื่อป้องกันแผนการร้ายและการสร้างอิทธิพลของกลุ่มเผด็จการและผู้อหังการบนโลกนี้ ซึ่งมีอเมริกาเป็นนายใหญ่พวกเขาร่วมมือกันสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอิสลาม เพื่อให้อาศัยความแตกแยกนี้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่พวกเขาตั้งเอาไว้ ท่านอิมามโคมัยนี้ (รฎ.) ทราบเป็นอย่างดีว่า “ศัตรูที่แท้จริงของอัล-กุรอาน เราะซูลและประชาชาติอิสลามคือ พวกอภิมาหาอำนาจทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลอเมริกา และบิดาผู้ชั่วร้ายของเขาได้แก่อิสราเอล พวกเขามีสายตาอิจฉาริษยาอยากได้ และอยากจะเคี้ยวกินประเทศอิสลามทั้งหลายให้หมดสิ้น ดังนั้น พวกเขาจึงวางแผนการทำให้มุสลิมทะเลาะกันเอง สร้างความแตกแยกในเกิดขึ้น เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นคนไกล่เกลี่ยและตีกินประเทศเหล่านี้ในภายหลัง
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ประสงค์ที่จะสร้างความเป็นเอกภาพ และความสมานฉันท์ให้เกิดในสังคมอิสลาม สร้างความรักในหมู่มุสลิม[10] ทำให้ประเทศอิสลามทั้งหลายมีอิสรเสรีภาพ ท่านกล่าวว่า มุสลิมจะต้องสร้างความเป็นความอิสระด้วยตัวเอง และจะต้องกำหนดกุญแจแห่งชัยชนะด้วยตัวเอง พวกท่านทั้งหลายจงช่วยเหลือกันสร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ พวกท่านอย่าเปิดโอกาสให้บรรดาผู้อหังการทั้งหลายเข้ามาแทรกแซงหรือมามีบทบาทกับกิจการต่างๆ ในประเทศของท่าน[
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) กล่าวว่าการที่จะได้มาซึ่งความสงบสันติ และความรื่นรมย์เอกภาพคือ สิ่งจำเป็นมากที่สุด ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน มีความประสงค์ที่จะอยู่อย่างสันติ และมีความสุขร่วมกับเพื่อนบ้านทั้งหลาย ในอีกที่หนึ่งท่านกล่าวว่า ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสันติภาพของโลกต้องวางอยู่บนพื้นฐานของความเสรี และการไม่แทรกแซงภารกิจของประเทศอื่น และการรักษาพรมแดนของตนเอาไว้เพื่อไม่ให้คนอื่นรุกราน
ตามทัศนะของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ความจำเป็นของสันติภาพของโลกคือ การอยู่ร่วมกันโดยสันติของประเทศทั้งหลายบนโลกนี้ ประชาชนและสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน มีความปรารถนาที่จะเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านทุกประเทศ ปรารถนาเป็นมิตรกับพี่น้องร่วมสายธารทุกท่าน ปรารถนาให้มุสลิมบนโลกนี้และประเทศอิสลามมีการเป็นอยู่แบบพี่น้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัยมีความรักใคร่และอะลุ่มอล่วยต่อกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านมีปรารถนาสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทั้งหลาย บนพื้นฐานของการให้เกียรติกันและกัน ปรารถนาเป็นมิตรกับต่างประเทศบนพื้นฐานของการให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะเห็นว่าเราไม่ได้ก้มศีรษะให้การกดขี่ ขณะเดียวกันเราก็ไม่กดขี่ฝ่ายใด เราต้องการเป็นมิตรและเป็นเพื่อนกับทุกประเทศบนโลกนี้ และต้องการเป็นมิตรกับทุกประชาชาติไม่ว่าใครก็ตาม แต่ความเป็นมิตรนั้นต้องวางอยู่บนเงื่อนของการให้เกียรติและการเคารพซึ่งกันและกัน
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) มีความเชื่อว่า รัฐอิสลาม คือรัฐบาลที่มีความอิสระ และมีเสรีภาพเป็นของตนเองความสัมพันธ์ที่มีต่อประเทศตะวันออก และประเทศตะวันตกวางอยู่บนพื้นฐานอันเดียวกัน ถ้าพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดี รัฐอิสลามก็จะดีกับพวกเขา และเราขอประกาศว่าจะไม่ยอมให้ต่างประเทศเข้ามามีบทบาทหรือแทรกแซงการร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และภารกิจทั้งหมดในประเทศเรา
ด้วยเหตุนี้ รัฐอิสลามจึงเป็นมิตรที่ดีกับทุกประเทศ และกับทุกชนชาติที่ได้รับการกดขี่ข่มเหงบนโลกนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความเป็นมิตรของเราต้องวางอยู่บนเงื่อนไขของการให้เกียรติและการเคารพสิทธิของกันและกัน ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) นั้นเอาใจใส่ต่อหน้าที่ทางชัรอียฺของท่านคือ การสร้างความสันติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประชาชาติ สร้างความเป็นเอกภาพระหว่างชนชาติที่ได้รับการกดขี่ข่มเหงบนหน้าแผ่นดิน สร้างความสมานฉันท์ในหมู่มุสลิมทั้งหลายบนโลกนี้ และขยายความยุติธรรมทางสังคมให้ขจรขจายไปทั่วโลก พยายามสร้างสันติภาพให้เกิดบนโลกนี้ และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ท่านพยายามปิดกั้นการแทรกแซงทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ที่มีต่อประเทศอิสลาม ท่านพยายามฉีกหน้ากากของทาสรับใช้อเมริกาและอิสราเอล พยายามขยายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอิสลามและไม่ใช่อิสลามบนพื้นฐานของการให้เกียรติและการเคารพสิทธิของอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านพยายามแสดงความหวังดี เช่น การสร้างเอกภาพและความสมานฉันท์ในหมู่มุสลิม ท่านเชื่อมั่นว่านี่แนวทางที่นำประชาชาติไปสู่ชัยชนะ และมันคือความจำเป็นสำหรับประชาชาติที่ได้รับการกดขี่ข่มเหง เนื่องจากเอกภาพคือกุญแจที่จะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลและชัยชนะอันมากมายที่รออยู่ข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประชาชาติทั้งธำรงสืบต่อไป อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามจึงเตือนสำทับเรื่องเอกภาพไว้อย่างมาก และเน้นย้ำว่ามุสลิมทุกคนบนโลกนี้ต้องไม่ลืมมัน
3) สื่อและอุปกรณ์ของเอกภาพ
ทุกขบวนการจำเป็นต้องมีเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ถ้าหากขบวนการปราศจากซึ่งเป้าหมายแน่นอน สิ่งนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นแล้ว การที่จะให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ต้องมีสื่อและอุปกรณ์เสริมตามความต้องการด้วย เพื่อให้เป้าหมายของตนดำรงสืบต่อไป ทว่าด้วยสื่อและสิ่งอำนวยความสะดวกตามต้องการเหล่านั้นนั่นเอง ที่จะช่วยให้สำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมาย ซึ่งแนวคิดในการสร้างเอกภาพของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสื่อสำคัญ และเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้ไปถึงยังเป้าหมาย สิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับการนี้คือ ความยุติธรรม เนื่องจาก ความยุติธรรม คือสิ่งจำเป็นของเตาฮีด และเพื่อการสร้างสรรค์ความเป็นเอกภาพของอิสลาม จำเป็นต้องในความยุติธรรมในอิสลามนั้นเป็นรากหลักที่แพร่ขยายออกไปให้กว้างขวางที่สุด เนื่องจากในโลกของการถูกกดขี่และการปลุกระดมทุกประชาชาติทีถูกกดขี่นั้น เพื่อให้พบทางสว่างถ้าปราศจากความเป็นเอกภาพแล้วไม่อาจเกิดขึ้นได้ ท่านอิมามโคมัยนี (รฏ.) กล่าวว่า บรรดาศาสดาทั้งหลายตั้งแต่ท่านศาสดาอาดัม (อ.) จนถึงศาสดาองค์สุดท้ายคือ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ทั้งหมดถูกประทานลงมาเพื่อชูธงแห่งเตาฮีด และความยุติธรรมให้โบกสะบัดท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลาย
ความอิสรเสรีเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญของความเป็นเอกภาพ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าความเสรีในการปฏิบัติหน้าที่ของประเทศมุสลิม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา เนื่องจาก ถ้าหากเราสามารถยืนหยัดต่อหน้าประชาชาโลกทั้งหลาย และกล่าวด้วยเสียงด้งว่าเราไม่ใช่พวกหลงทางและเราไม่ใช่พวกที่ถูกโกรธกริ้ว เราไม่ใช่พวกตะวันออก และเราไม่ใช่พวกตะวันตก ดังนั้น เมื่อเราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เช่นนี้ และก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหนทางที่เที่ยงตรงเที่ยงธรรมได้ ก็ต่อเมื่อพวกเราทั้งหมดรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน และประสานใจเข้าด้วยกัน พวกเราทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดีว่ามนุษย์ทั้งหลาย โดยธรรมชาติแล้วถูกสร้างขึ้นมาเป็นก๊กเป็นเหล่าและดำรงอยู่ในกลุ่มชนที่แตกต่างกัน มีความเลื่อมใสศรัทธาแตกต่างกันออกไป ในหมู่มุสลิมเช่นเดียวกันบนพื้นฐานดังกล่าว พวกเขามีความเชื่อและมีทัศนะความคิดแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างทางความเชื่อนั่นเอง เป็นสาเหตุทำให้เกิดความสั่นคอนและการเผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็นระหว่างเรากับพวกเขา แต่ในทัศนะของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ท่านกล่าวเสมอว่าต้องไม่นำเอาความเชื่อที่แตกต่างกันมาเป็นอุปสรรคในการสร้างความเป็นเอกภาพ ซึ่งมุสลิมทุกคนบนโลกนี้สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้แม้จะมีความเชื่อแตกต่างกันในบางประเด็นก็ตาม ทำไมต้องปล่อยให้ความแตกต่างภายในกลายเป็นความแตกต่างภายนอกด้วย
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิม ต้องไม่มองที่ประเด็นความเชื่อที่แตกต่างกัน หรือแนวทางหรือเชื้อชาติที่ไม่เหมือนกัน และอื่นๆ อีกมากมาย จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องยืนหยัดบนหลักการร่วมของความเป็นมนุษย์และอิสลาม บนพื้นฐานของเตาฮีด (ความเป็นเอกภาพของพระเจ้า) เพื่อให้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างการปกครองร่วมในทุกๆ ด้าน หมายถึงพวกเราทั้งหลายต้องแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่างในหมู่พวกเรา
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่สร้างความเป็นเอกภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของท่าน หรือแม้กระทั่งการใช้สื่อใหม่ๆ เช่น ปาเลสไตน์และการถูกยึดครองโดยกองโจรโลกเฉกเช่น อิสราเอล หมายถึง เนื่องจากความเป็นอิสราเอลนั่นเอง พวกเขาจึงมีอุดมการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลอิสราเองและขยายชนเผ่าให้กว้างขวางออกไปจากแม่น้ำไนล์จนถึงยูเฟรติส และเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้พวกเขาได้บุกโจมตีและรุกรานประเทศอิสลาม พวกเขาสังหารมุสลิมที่เป็นเจ้าของประเทศตายอย่างหน้าอนาถคนแล้วคนเล่า พวกเขาขับไล่มุสลิมเจ้าของประเทศออกจากบ้านเรือนและต้องละทิ้งประเทศชาติของตน จนกลายเป็นพวกเร่ร่อนไร้ถิ่นที่อยู่อาศัย ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ต้องการจะยืนหยัดต่อโจรก่อการร้ายผู้กดขี่ข่มเหง ผู้กระหายเลือดเนื้อ ผู้ยึดครองอัลกุดส์ และต้องการลบชื่ออิสราเอลออกไปจากแผนที่โลก ท่านจึงได้ประกาศให้วันศุกร์สุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน เป็นวันอัลกุดส์ เพื่อให้บรรดามุสลิมทั้งหลายรู้จักการต่อต้านรัฐบาลโจรอิสราเอลอย่างน้อยที่สุดก็วันหนึ่งในรอบปี ให้พวกเขารู้จักเคลื่อนเพื่อต่อต้าน ท่านอิมามได้ประกาศว่า “ฉันขอประกาศว่าวันอัลกุดส์คือ วันศักดิ์สิทธิ์ในอิสลาม วันของท่านเราะซูล วันซึ่งเราต้องแสดงพลังและอำนาจของเราต่อหน้าประชาโลก วันที่มุสลิมทั้งหลายต้องปลดปล่อยตนเองจากอำนาจการยึดครอง ต้องยืนหยัดต่อหน้าศัตรูผู้เป็นโจรก่อการร้ายบนหน้าแผ่นดิน วันที่เรายืนหยัดต่อสู้กับอาชญากรโลก
ท่านอิมามโคมัยนี้ (รฏ.) ประกาศว่าการปลดปล่อยอัลกุดส์เป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งโลก
แน่นอนว่า หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่เขาต้องสำนึก และต้องสรรหาวิธีเพื่อปลดปล่อยกุดส์ พร้อมกับขับไล่กองโจรอิสราเอลผู้เป็นมารดาแห่งความชั่วร้ายออกไปนอกประเทศปาเลสไตน์
แน่นอนว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เว้นเสียแต่ว่ามุสลิมต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
พิธีกรรมฮัจญฺอิบรอฮีมในทุกปี ก็เป็นอีกหนึ่งในสื่อสำคัญที่ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นสร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม พิธีประณามบรรดามุชริกีนซึ่งถูกลืมเลือนไปจากความคิดของมุสลิม และประวัติศาสตร์อิสลามได้ถูกทำให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพื่อให้บรรดานักแสวงบุญทั่วทั้งโลก (ฮุจญาต) ไม่ว่าจะผิวขาวหรือผิวดำ เป็นชาวเอเชีย หรือยุโรป หรืออเมริกา ชีอะฮฺหรือซุนนียฺก็ตาม เข้าร่วมในพิธีประณามมุชริกีน เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นว่าอิสลามมีพลังและรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน การร่วมมือและประสานใจเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความรู้สึกอันเดียวกัน ทั้งความสุขและความเจ็บปวด พวกเขาเอาใจใส่ความรู้สึกของกันและกันอย่างดี ซึ่งประชาโลกต่างได้เห็นพลังดังกล่าวอันเป็นขบวนการของบรรดาศาสดา และเป็นสารของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ทั้งในมักกะฮฺและมะดีนะฮฺมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) จึงถือว่าความอิสรเสรีและความยุติธรรมคือสิ่งจำเป็น และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างความเป็นเอกภาพในหมู่มุสลิม และผู้ถูกกดขี่ทุกคนบนโลกนี้ แน่นอนว่า ความแตกต่างทางความเชื่อไม่ใช่อุปสรรคสำคัญที่จะขวางกั้นความเป็นเอกภาพ หรือขวางกั้นเป้าหมายสำคัญ ฉะนั้น เป้าหมายสำคัญของอิสลามและการปกครองในระบอบอิสลาม สิ่งที่มีความสลักสำคัญมากที่สุดคือ ความเป็นเอกภาพในหมู่มุสลิม และสิ่งนี้เป็นสื่อเดียวที่สามารถช่วยให้เป้าหมายของอิสลามและการปกครองในระบอบอิสลามบรรลุผล ดังนั้น สำหรับสังคมที่ชูเป้าหมายความเป็นเอกภาพและเขารณรงค์สิ่งนั้น แน่นอน ความเป็นไปได้เรืองปัญหาปาเลสไตน์ การปลดปล่อยกุดส์ให้เป็นอิสระ การประณามมุชริกีนในพิธีกรรมฮัจญฺซึ่งเป็นความเห็นพร้องต้องกันของทุกสำนักคิดก็จะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเป็นการเชิญชวนให้มุสลิมโลกมีความเข้าใจซึ่งกันและกันอีกต่างหาก
ที่มาเว็บไซต์ตักรีบมะซาฮิบอิสลาม
แสดงความเห็น