บทวิเคราะห์สารคดีเรื่อง ฝน-เลือด-ท้องฟ้า

บทวิเคราะห์สารคดีเรื่อง ฝน-เลือด-ท้องฟ้า

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ พระผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ

السلام علیک یا ابا عبدالله اشهدان المصیبتک اعظم المصیبة فی السماوات والارض و علی جمیع اهل السماوات والارض

 

อัสสลามุอะลัยกะ ยาอะบาอับดิลลาฮ์ อัชฮะดุอันนะ มุซีบะตะกะ อะอ์ซอมุลมุซีบะฮ์ ฟืซซะมาวาต วัลอัรฎิ วะอะลา ญะมีอิ อะฮ์ลิซซะมาวาต วัลอัรฎ์

ขอกล่าวสลามแด่ท่าน โอ้อะบาอับดิลลาฮ์ ข้าพฯเจ้าขอปฏิญาณว่า ความเศร้าโศกของท่านนั้น มันยิ่งใหญ่เหนือความเศร้าโศกใดๆ ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และผืนแผ่นดิน และเหนือบรรดาชนชั้นฟ้าและแผ่นดิน

กล่าวกันว่า หนังสือประวัติศาสตร์ที่ประพันธ์เกี่ยวกับเรื่องฝนเลือดนั้น มิได้มีจำกัดเฉพาะกับ หนังสือบันทึกเหตุการณ์ของชาวแองโกล -แซกซอน (Anglo- Saxon Chronicle) และยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม ที่เขียนถึงเรื่องนี้ อาทิเช่น วิรช์ ลีทิง กลูนิโคล หรือ กลูนิโคล ออฟ ปรินเซส (Chronicle of princes)

จอห์น วิดาดี (John Vidadi) นักสร้างสารคดีชื่อดัง และนักวิจัย ชาวอังกฤษ ได้ให้สัมภาษณ์กับเราเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้ว่า

“จากการที่ผมได้ทำการค้นคว้า และวิจัย ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ของชาวแองโกล -แซกซอน ปรากฏว่ามีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ว่า ประมาณ ราวปี ค.ศ 685 ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า ฝนตกลงมามีสีลักษณะคล้ายเลือด อีกทั้งนมและเนยก็กลายเป็นสีเลือดด้วย

ฉะนั้น เห็นได้ว่า การเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิใช่เป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งนอกเหนือจากหนังสือเล่มนี้ ยังมีหนังสือบันทึกเหตุการณ์อีกสองเล่มก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เล่มแรก มีชื่อว่า   เวิลช์ลิติงโกรนิเคล และอีกเล่มมีชื่อว่า โกรนิเคล ออฟ ปรินซ์เซส  ซึ่งจากหนังสือทั้งสองเล่มที่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน และสิ่งที่เป็นแรงจูงใจสู่การค้นคว้าจากหนังสือทั้งสามเล่มก็คือ หนังสือนี้นั้นเขียนจากกลุ่มชาวยูโรปตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะฉนั้นเราจะต้องหาสาเหตุในการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ดังกล่าวต่อไป

หนังสือที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์ช่วงยุคสมัยกลาง หมายถึง ยุคที่คริสตจักรได้ปกครองสังคมอยู่ โดยการนำของโบสถ์ ซึ่งการพูดคุยถึงเรื่องราวศาสนา ถือว่า เป็นสิ่งปกติ จึงเป็นสาเหตุให้เราจะต้องทำการศึกษาหลักฐานอ้างอิงต่างๆของคริสตจักรเพื่อที่จะตอบปริศนานี้ได้อย่างถูกต้อง

จากการตรวจสอบในเว็บไซต์ของชาวศริสเตียนด้วยกับการแจ้งข่าวของคัมภีร์ไบเบิลว่า บางปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น การตกลงมาของฝนที่มีสีแดงคล้ายเลือด ในประมาณปี 685 คศ นั้น แถบยูโรปเรียกกันว่า เป็นการลงโทษจากพระองค์

แล้วเราจะยอมรับการบันทึกของประวัติศาสตร์ได้อย่างไร ก็ในเมื่อยุคสมัยกลาง มีการปิดกลั้นและจำกัดขอบเขต ในการศึกษาและพัฒนาการทางวิชาการ ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องไปหาหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ  นั่นคือ อิสลาม

นักสังคมศาสตร์และนักบันทึกประวัติศาสตร์ มีนามว่า โกสเทฟว์ ลีโบน เป็นผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 19 ได้กล่าวไว้ว่า บรรดานักวิชาการได้นำเอาหลักฐานมาจากชาวมุสลิม ตราบจนถึงศตวรรษที่ 15

ยุคสมัยของอิสลามคือ ยุคสมัยที่มีความรุ่งโรจน์และเป็นหนึ่งในการถือกำเนิดของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตรงกับยุคกลางของคริสตจักร และสิ่งที่น่าประหลาดใจ ก็คือ มีการบันทึกเหตุการณ์ฝนสีเลือดในหนังสือประวัติศาสตร์ของอารยธรรมที่สำคัญ ที่เกิดขึ้นในปีนั้น หมายถึง ในปี 685 คศ เกิดเหตุการณ์นี้ในประเทศต่างๆ เช่น กรุงโรม หรืออิตาลีในปัจจุบัน อิรัค อิหร่าน เยเมน และสถานที่อื่นๆอีกมากมายก็มีการรายงานเช่นกัน ตลอดจนการรับรองอย่างชัดเจน เกี่ยวกับเรื่องนี้

เพื่อที่จะทำให้เข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยของเรื่องนี้ เราจะมารับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์กัน ซึ่งสามารถที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างประเด็นนี้กับการบันทึกของประวัติศาสตร์ชาวยูโรป

มีการบันทึกไว้ว่า เกิดปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกกันว่า สายฝนที่ตกลงมาเป็นสีเลือดมีผู้พบเห็นที่ ประเทศซีเรีย ฮิญาซ โคราซาน และบัยตุลมุก็อดดัส

ตำราของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ที่น่าเชื่อถือได้เล่มหนึ่งมีชี่อว่า บุฆียะตุตตอลับ ฟีย์ ตารีค ฮะลับ

(بغیة الطلب فی تاریخ حلب) ซึ่งเขียนโดย ญะอ์ฟัร บิน สุลัยมาน ได้เขียนไว้ว่า จากการที่ฝนได้ตกลงมาเป็นสีเลือดนั้น จะเห็นร่องรอยของเลือดคงเหลืออยู่ติดที่บานประตูและหน้าต่างของบ้านหลังนั้นๆ

ฝนสีเลือดยังเกิดขึ้นที่เมืองบัศรอ เมืองกูฟะฮ์ ซีเรีย และโคราซาน ซึ่งไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า การลงโทษของพระเจ้า จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นนอน

ในตำราและหนังสือของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ อีกมากมายได้บันทึกเรื่องไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นตำราบันทึกฮะดีษ หรือ ประวัติศาสตร์ เช่น หนังสือ ซะคออิรุลอุกบา ของฏอบารี ชาฟิอีย์ และหนังสือ ตารีค ดะมิชก์ ซะวาอิกุลมุฮ์ริเกาะฮ์ อัลเคาะซออิส อัลกุบรอ ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์ ตัซกีระตุลเคาะวาศ ซิยัรอะอ์ลามุลนุบลาอ์ ซะฮาบีย์ ตารีคอัลคุละฟาอ์ หนังสือ อิฮ์กอกุลฮัก หนังสือ อัลบิดายะฮ์ วัลนะฮายะฮ์ อัคบารุลดุวัล อัลมุอ์ญัมอัลกะบีร ฏอบรอนี มัจมะอุซซะวาอิด กิฟายะตุตตอลิบ ตำราตัฟซีรอัลกุรอาน อิบนุ กะซีร หนังสือมักตัลอัลฮุเซน และ หนังสือ ตะฮ์ซีบุตตะฮ์ซีบ ของ อิบนุฮะญัร

ทั้งหมดนี้เป็นตำราและหนังสือของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดี

และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ หนังสือเหล่านี้ ได้เขียนถึง เหตุผลของการเกิดของปรากฏการณ์ฝนสีเลือด ซึ่งหนังสือของชาวยูโรปมิได้กล่าวถึงเรื่องนี้

ตำราและหนังสือทุกเล่มทั้งหมดได้มีความเห็นตรงกันว่า การเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว หลังจากการถูกสังหารของฮุเซน บิน อะลี อิมามท่านที่สามของชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ อีกทั้งท่านยังเป็นหลานของศาสดาแห่งอิสลาม ในวันที่10 เดือนมุฮัรรอม ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 61 เกิดจากการต่อสู้ในสงครามที่ไม่เป็นธรรม ในแผ่นดินที่มีชื่อว่า กัรบะลาอ์ และครอบครัวของเขาก็ถูกจับไปเป็นเชลย และท่านหญิงซัยนับซึ่งเป็นน้องสาวของอิมามได้กล่าวบทบรรยายธรรมเกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์ฝนสีเลือดดังกล่าว

เมื่อท่านหญิงซัยนับ ได้เข้าไปยังวังของยะซีดและกล่าวบทเทศนาซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ในช่วงท้ายท่านหญิงได้กล่าวไว้ว่า “พวกเจ้าอย่าได้แปลกใจ หากว่า ท้องฟ้าได้ทำการหลั่งเลือดออกมาเนื่องจากการเศร้าโศกอันนี้ที่เกิดขึ้น และหากว่า ธารน้ำได้เต็มไปด้วยเลือด หรือตาน้ำมีการหลั่งเลือดออกมา”

 ซึ่งรายงานนี้ถูกบันทึกในหนังสือ เศาะวาอิเกาะอัลมุฮ์ริกอฮ์ หน้าที่ 116 และ192 และหนังสือตัฟซีร อิบนุ กะซีร เล่มที่ 9 หน้าที่ 162

ดังนั้น การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์นี้ในวันอาชูรอ มีหลักฐานอ้างอิงของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในหนังสือ อุยูน อัคบารอัรริฎอ ได้รายงานจากอิมามท่านที่ แปดของชีอะฮ์อิมามียะฮ์กล่าวไว้ว่า ปู่ของฉัน หมายถึง อิมามบากิร อ ได้กล่าวว่า

“เมื่อเวลาที่อิมามฮุเซนถูกสังหาร ท้องฟ้าได้หลั่งฝนเป็นสีเลือด และมีฝุ่นสีแดงเกิดขึ้นหลังจากนั้น” และท่านอิมามมุฮัมมัด บากิร ได้เห็นเหตุการณ์การถูกสังหารของอิมามฮุเซน ผู้เป็นปู่ของท่านเพราะขณะนั้นท่านมีอายุได้ 5 ขวบด้วยกัน

กล่าวได้ว่า หลักฐานอ้างอิงของชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ได้ยืนยันและยอมรับในการเกิดปรากฏการณ์นี้ ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มีรายงานอีกว่า แม้แต่ ซุฮ์รีย์ เป็นสมุนรับใช้วงศ์วานอุมัยยะฮ์ก็ยอมรับในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หรืออิบนุอับดุรอบบิฮ์ อันดะโลซีย์ ได้เขียนในหนังสือ อิกดุลฟะรีด เกี่ยวกับเรื่องนี้และเขาก็ยอมรับเช่นเดียวกัน

หากว่าเราจะเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดของประเด็นนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงหลักฐานและการแจ้งข่าวของบรรดาอิมามผู้นำทั้งหลาย เกี่ยวกับ การเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

ในหนังสือ บิฮารุลอันวาร ของอัลลามะฮ์ มัจลิสีย์ ได้เขียนบทหนึ่งที่มีชื่อ การร่ำไห้ของฟากฟ้าและการมีสีแดงได้อย่างไร ในเล่มที่ 45 และยังมีรายงานอีกในเล่มที่ 57 และ79 นอกเหนือจากนี้ยังมีรายงานอีกมากมายที่บันทึกเรื่องนี้ไว้ในหนังสือของชีอะฮ์ อิมามียะฮ์

เราจะขอยกตัวอย่าง จากการแจ้งข่าวก่อนการเกิดฝนเลือดจากท้องฟ้า

รายงานจากท่านหญิงอุมมุซะละมะฮ์ ซึ่งท่านเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องราวของ อิมามฮุเซนและกัรบะลาอ์ และการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ฝนสีเลือด ซึ่งเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ อัลมัจมะอุลกะบีร มัจญ์มะอุซซะวาอิด และหนังสือ กันซุลอุมมาล

ในรายงานหนึ่งจากท่านมัยซัม ตัมมาร ได้รายงานว่าท่านอะมีรุลมุมินีน กล่าวไว้ว่า “เมื่อขณะที่ฮูเซน ลูกของฉันถูกสังหาร เมื่อนั้น ทุกสรรพสิ่งจะทำการร้องไห้ และกล่าวอีกว่า ท้องฟ้าจะหลั่งเลือดและจะมีฝุ่นมากมายเกิดขึ้น”

ยังมีรายงานจากเชคศอดูก ท่านเป็นหนึ่งในนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของชีอะฮ์ ได้บันทึกในหนังสือ อัลอะมาลีย์ของท่านว่า ขณะที่อิมามท่านที่สองของชีอะฮ์จะลาจากโลกนี้ ท่านได้กล่าวกับฮุเซน ผู้เป็นน้องชายว่า ไม่มีวันใดเหมือนวันของเจ้า ซึ่งเป็นวันที่ท้องฟ้ามีการหลั่งเลือดออกมา ดังนั้น การแจ้งข่าวนี้ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

หลังจากที่เราทำการตรวจสอบและวิจัย จึงได้ผลลัพท์ดังต่อไปนี้

กล่าวคือ มีความแตกต่างระหว่างหนังสือประวัติศาสตร์ยูโรปที่ได้บันทึกไว้ว่า การตกลงมาของฝนสีเลือด เกิดขึ้นในปีที่ 684 และ685 ตามคริสศักราช ซึ่งในความเป็นจริงเหตุการณ์อาชูรอเกิดขึ้นในปี 680 คศ ดังนั้นเราจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ?

คำตอบนั้นง่ายที่สุด จากคำพูดของท่านศาสตราจารย์ ริชาร์ด โนร์ส กล่าวว่าหนังสือประวัติศาสตร์ยูโรป ได้เขียนขึ้น ประมาณ 300 ปีหลังจากเหตุการณ์อาชูรอ ดังนั้น คาดว่าเป็นความผิดพลาดในการบันทึกประวัติศาสตร์ดังกล่าว ในขณะเดียวกันหลักฐานจากประวัติศาสตร์มีความเห็นตรงกันถึงเวลาการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ฝนสีเลือด

และเช่นกัน มาตรฐานการจดบันทึกประวัติศาสตร์ของคริสต์ขึ้นอยู่กับเวลากลางวัน ส่วนการมองเห็นดวงจันทร์และยามค่ำคืน เป็นบรรทัดฐานของประวัติศาสตร์ของอิสลาม และแน่นอนที่สุด การจดบันทึกตัวเลข อาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง ไม่มากก็น้อย

และจากการบันทึกของหนังสือประวัติศาสตร์ยูโรปและอิสลาม เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ฝนสีเลือด ถามว่า เป็นเลือดจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นฝนที่มีสีแดงเท่านั้นเอง

จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันมากระหว่างฝนสีเลือดที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือต่างๆและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ เช่น เมืองเคลา ในประเทศอินเดีย มีรายงานว่า เกิดปรากฏการณ์ฝนสีเลือด  แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่า เป็นดอกไม้สีแดงเกิดขึ้นนั่นเอง

และยังมีความแตกต่างเห็นกันได้ในหนังสือของชาวยูโรปและโลกอิสลามที่ได้บันทึกไว้ และเรื่องของฝนสีแดงในประเทศอินเดีย เพราะว่า ผู้บันทึกล้วนเป็นนักวิชาการด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งจะกล่าวด้วยเสียงเดียวกัน ว่า สิ่งนั้น คือ เลือด มิได้กล่าวว่า สิ่งที่มีลักษณะคล้ายเลือด หรือบางกรณีกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งที่ลักษณะและร่องรอยคล้ายเลือด โดยเฉพาะเรียกกันว่า เลือดที่สดใหม่ ทำให้เราสามารถกล่าวสรุปได้ว่า สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้รายงานไป คือ เลือด มิใช่สิ่งที่คล้ายกับเลือดนั่นเอง

หนังสือ เศาะวาอิกุลมุฮ์ริกอฮ์ รายงานจากท่าน อะบี ซะอีด ว่า เมื่อท้องฟ้าได้หลั่งน้ำตาออกมา จะมีร่องรอยเหลืออยู่ ซึ่งถ้าหากติดที่เสื้อผ้า ผ้าผืนนั้นก็จะหลุดขาดวิ่น หมายความว่า จะไม่มีวันทำความสะอาดเลือดนั้นได้แต่อย่างใด

แต่สิ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ ในหนังสือประวัติศาสตร์ยูโรปไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ฝนสีเลือด ด้วยกับสาเหตุอันใดเล่า?

หมายความว่า หลังจากการล้มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตกได้เกิดความแตกแยกกันระหว่างผู้ปกครองทั้งหลาย จึงเป็นสาเหตุให้วิชาการและความรู้มีความล่าช้าไป เพราะว่า อวิชชาในยุคสมัยนั้น ซึ่งยูโรปในสมัยนั้นมีความล้าหลังในเชิงวิชาการ และอังกฤษก็เป็นส่วนหนึ่งของยูโรปที่ประสบปัญหาเหมือนกัน และยังเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะมากมาย จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความใส่ใจลดน้อยลง

จากการได้ฟังนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เข้าใจได้ว่า เวลาที่ทำการบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวยูโรปนั้น ด้วยกับเหตุผลทางอารยธรรม จึงทำให้ไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์ได้อย่างถูกต้อง

และในช่วงท้าย หลังจากที่เราได้ทำการค้นคว้าและวิจัย เกี่ยวกับประเด็นนี้ สิ่งที่ได้รับหรือผลลัพท์ก็คือ ตลอดช่วงประวัติศาสตร์มีเพียงวันเดียวเท่านั้น ไม่ว่า จากตะวันออก หรือตะวันตกที่มีปรากฏการณ์ฝนสีเลือด เกิดขึ้น นั่นคือ วันที่ท่านอิมามฮุเซนได้รับการเป็นชะฮาดะฮ์ คือ วันอาชูรอ เดือนมุฮัรรอม ซึ่งจากการเป็นชะฮีดของท่าน ส่งผลต่อประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก

 

แสดงความเห็น