ทำไมชีอะฮฺจึงถือว่าเคาะลิฟะฮฺต้องมาจากการแต่งตั้ง
คำถาม
ทำไมชีอะฮฺจึงถือว่าเคาะลิฟะฮฺต้องมาจากการแต่งตั้ง
คำตอบ
เป็นที่ชัดเจนว่าอิสลามศาสนาที่บริสุทธิ์ เป็นศาสนาแห่งสากลและต้องธำรงอยู่ตลอดไป ช่วงที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีชีวิตอยู่ท่านคือผู้นำ แต่หลังจากที่ท่านได้อำลาโลกไปแล้ว แน่นอนอำนาจการเป็นผู้นำต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ดีที่สุดในหมู่ประชาชาติปัญหาอยู่ที่ว่าตำแหน่งผู้นำภายหลังจากท่าน เป็นการแต่งตั้ง (หมายถึงเป็นบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) โดยท่านศาสดาเป็นผู้ประกาศ) หรือว่าเป็นตำแหน่งที่อาศัยการเลือกตั้งของประชาชน มี ๒ ทัศนะดังนี้
๑. ชีอะฮฺ เชื่อว่าอิมามผู้เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ (ซบ.) หรืออีกนัยหนึ่งพระองค์คือผู้กำหนดผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
๒.ซุนี ยฺ เชื่อว่าอิมามผู้เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องมาจาการเลือกตั้งไม่ใช่แต่งตั้ง ประชาชนคือผู้เลือกสรรอิมามให้มาทำหน้าที่บริหารสังคมภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)
การดูแลรักษาสังคมเป็นสิ่งยืนยันว่าเคาะลิฟะฮฺต้องมาจากการแต่งตั้ง บรรดานักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺ ได้รวบรวมหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันถึงความจำเป็นในการแต่งตั้งอิมามไว้ใน ตำราหลักความเชื่อของตน แต่ในหนังสือเล่มนี้สิ่งที่ต้องการกล่าวถึงคือ การวิเคราะห์เงื่อนไขของผู้ปกครองในสมัยของการประกาศศาสนา เพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนแนวความคิดของฝ่ายชีอะฮฺ การวิเคราะห์ถึง การเมืองภายในและภายนอกอิสลามในช่วงการเผยแผ่สาส์น เป็นที่ยอมรับกันถ้วนหน้าว่าตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮฺ (ซบ.) โดยผ่านท่านเนื่องจากทุกคนมองเห็นว่าอิสลามในยุคนั้น ตกอยู่ท่ามกลางอันตราย ๓ ด้านด้วยกันกล่าวคือ อันตรายจากกษัตริย์แห่งกรุงโรม กษัตริย์แห่งอิหร่าน และบรรดาพวกกลับกลอกทั้งหลาย (มุนาฟิกีน) ทั้งหมดได้ทำการข่มขู่และคิดจะทำลายอิสลามตลอดเวลา ขณะเดียวกันเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ท่านทำการแต่งตั้งตัวแทนทางการเมือง เพื่อเป็นผู้นำการต่อสู้กับศัตรูภายนอก และเพื่อนำประชาชนทั้งหมดให้ต่อสู้ไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งเป็นการทำลายแผนการของศัตรูที่คิดจะมีอิทธิพลเหนืออิสลาม
คำอธิบายข้อกล่าวอ้างข้างต้น
ด้านหนึ่งของอันตรายเกิดจากอำนาจที่มาจากโรม ถือว่าเป็นมหาอำนาจในยุคนั้นโรมตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นอาหรับพวกเขาได้สร้างปัญหาให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องคิดตลอดเวลาจนกระทั่งช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญ ท่านก็ไม่อาจหลุดพ้นความคิดต่อพวกโรมไปได้ การเผชิญหน้ากันเป็นครั้ง แรกระหว่างทหารอิสลามกับทหารของคริสเตียนแห่งกรุงโรม เมื่อปี ฮ.ศ.ที่ ๘ บนพื้นแผ่นดินปาเลสไตน์ การเผชิญหน้ากันในครั้งนี้อิสลามได้สูญเสียบุคคลสำคัญไปถึง ๓ คนคือ ท่านญะอฺฟัรฎอยยาร ท่านซัยดฺ บินฮาริซะฮฺ และท่านอับดุลลอฮฺ บินรุวาฮะฮฺ การต่อสู้จบลงด้วยความปราชัยของอิสลาม การล่าถอยของทหารอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับกองทหารฝ่ายผู้ปฏิเสธ ทำให้กองทหารของกษัตริย์กัยซัรเกิดได้ใจและวางแผนที่จะโจมตีอิสลามตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เอง ในปี ฮ.ศ. ที่ ๙ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงได้ยกพลขนาดใหญ่เคลื่อนทัพไปยังชายแดนเมืองชาม เตรียมพร้อมการเผชิญหน้าในทุกรูปแบบภายใต้การนำทัพของท่าน และในการเคลื่อนทัพครั้งนี้ฝ่ายอิสลามสามารถกอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของ ตนกลับคืนมาได้ เป็นการมอบชีวิตทางการเมืองใหม่ให้กับสังคมอิสลาม แม้จะเป็นไปด้วยความยากลำบากก็ตาม
แม้ว่าอิสลามจะได้รับชัยชนะแต่ก็ไม่อาจทำให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) สบายใจได้ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันท่านได้ล้มป่วยลง ขณะที่ป่วยอยู่นั้นท่านได้สั่งให้เคลื่อนทัพไปตึงกำลังไว้ที่ชายแดนเมืองชาม อีกครั้งภายใต้การนำทัพของท่านอุซามะฮฺ ศัตรูอีกด้านหนึ่งของอิสลามคือ คุซโรกษัตริย์แห่งอิหร่านในสมัยนั้น ซึ่งได้แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อิสลามมาตลอด ถึงขั้นฉีกสาส์นที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ส่งไปเชิญชวนสู่อิสลาม ดูถูกเหยียดหยามและขับไล่ทูตที่ท่านส่งไปออกจากพระราชวังอย่างไม่ใยดี อีกทั้งยังได้ส่งสาส์นไปถึงกษัตริย์แห่งเยเมน ให้จับกุมท่านศาสดา ถ้าขัดขืนให้ สังหารทิ้งเสีย ถึงแม้ว่ากษัตริย์คุซโรแห่งอิหร่านจะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่สมัยที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่ประเทศเยเมนก็ไม่ได้รับอิสรภาพ ยังคงเป็นเมืองขึ้นที่อยู่ในอาณัตของอิหร่านต่อไป อิหร่านไม่ได้ยินดีกับอำนาจการเติบโตของอิสลามแม้แต่นิดเดียว เพราะอิสลามยิ่งเติบโตความยิ่งใหญ่ของอิหร่านก็ลดน้อยลงตามลำดับ อิหร่านจึงไม่สามารถอดทนได้
ศัตรูด้านที่สามจัดว่าเป็นศึกภายในที่เกิดจากบรรดาพวกกลับกลอก (มุนาฟิกีน) กลุ่มชนนี้ได้แฝงตัวอยู่ในสังคมอิสลามมาตลอด เปรียบเสมือนเป็นสายเลือดเส้นที่ห้าที่คอยก่อกวน สร้างความเสื่อมเสีย และก่อกบถในหมู่มุสลิม จนถึงขั้นที่ว่าพวกเขาตั้งใจเอาชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) โดยได้วางแผนลอบสังหารท่านระหว่างทางไปตะบูกกับมะดีนะฮฺ พวกเขาได้พูดกันว่าการตายของท่านเท่านั้น ที่จะทำให้ขบวนการอิสลามยุติลง และสร้างความเสียหายได้อย่างทั่วถึง อัล-กุรอานกล่าวว่า
أَمْ يَقُولُونَ شَاعِرٌ نَّتَرَبَّصُ بِهِ رَيْبَ الْمَنُونِ
หรือพวกเขากล่าวว่า มุฮัมมัดเป็นกวี เราคอยภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นแก่เขา
อำนาจ การสร้างความเสียหายของพวกมุนาฟิกีน (กลับกลอก) ได้ตั้งรกรากอย่างมั่นคงในสังคม ถึงขนาดที่อัล-กุรอาน ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน นิซาอฺ มาอิดะฮฺ อันฟาล เตาบะฮฺ อังกะบูต อะฮฺซาบ มุฮัมมัด ฟัตฮฺ มุญาดะละฮฺ หะดีด มุนาฟิกีน และฮัชรฺได้กล่าวถึงบทบาทของพวกเขาไว้
การ มีศัตรูที่มีความแข็งแกร่งอยู่รอบด้านขณะที่อิสลามมีจำนวนน้อยนิด และเป็นสังคมที่เพิ่งจะเติบโตขึ้นมาใหม่ด้วยความยากลำบาก หลังจากนั้นท่านศาสดา(ซ็อลฯ) ในฐานะผู้สถาปนาสังคมได้ทอดทิ้งสังคมไป โดยไม่มีการแต่งตั้งตัวแทนให้ทำหน้าที่ปกครองทั้งศาสนจักรและอาณาจักร
นัก สังคมวิทยากล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องทำการแต่งตั้งผู้นำภายหลังจากท่าน ให้ดำรงหน้าที่แทนเพื่อขจัดปัญหาความขัดแย้งภายใน และเป็นแกนนำที่แข็งแรงในการสร้างเอกภาพ และยืนหยัดต่อสู้กับศัตรู เหตุการณ์และภยันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับสังคม ดังนั้น หลังจากการจากไปของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) การที่ทุกเผ่าได้ออกมาเสนอว่าผู้นำต้องเป็นคนจากเผ่าของเราถือว่าไม่ถูกต้อง และเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่แต่งตั้งผู้นำไว้
นักวิชาการท่านหนึ่งได้ กล่าวว่า สิ่งเดียวที่ท่านมุฮัมมัดได้ละเลยและก่อให้เกิดผลเสียมิใช่น้อย ได้แก่การมิได้แต่งตั้งผู้สืบต่อจากท่าน คำว่าผู้สืบต่อนี้ภาษาอาหรับเรียกว่า เคาะลิฟะฮฺ ซึ่งเราเคยเรียกเพี้ยนเป็นกาหลิบ การที่ท่านมุฮัมมัดไม่ได้แต่งตั้งเคาะลิฟะฮฺไว้ก็อาจเป็นเพราะท่านมีความ ถ่อมตน ถือว่าหน้าที่แต่งตั้งเคาะลิฟะฮฺเป็นของอัลลอฮฺ มิใช่ของท่าน อย่างไรก็ตามเมื่อท่านสิ้นชีวิตลงโดยไม่มีผู้สืบทอดต่อ ก็ก่อให้เกิดปัญหาการคัดเลือกผู้เหมาะสม แม้จะได้มีการลงมติเลือกให้ อบูบักรฺ เพื่อนสนิทของท่านเป็นเคาะลิฟะฮฺ แต่ก็มีผู้ไม่พอใจมตินี้ และเห็นควรให้อะลีบุตรเขยของท่านดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺมากกว่า พวกนี้ได้ชื่อว่า พรรคของอะลี หรือ ชีอะฮฺ ซึ่งในที่สุดก็แตกแยกออกมาเป็นนิกายใหม่ของศาสนาอิสลาม การแตกแยกดังกล่าวคงจะไม่เกิดขึ้น หากท่านศาสดาได้สั่งออกมาเด็ดขาดว่าจะให้ผู้ใดสืบต่อจากท่าน
คำพูดของนักสังคมวิทยาได้สนับสนุนความคิดของเราที่ว่า ผู้นำภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องได้รับการแต่งตั้งไม่ใช่มาจากการเลือกตั้ง
หลักฐานการแต่งตั้งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บนพื้นฐานดังกล่าวนี้จะเห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ประกาศแต่งตั้งตัวแทนตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา จนกระทั่งวันสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญ ท่านได้ประกาศแต่งตั้งตัวแทนพร้อมกับประกาศการเป็นศาสดาของท่าน ท่ามกลางหมู่เครือญาติชั้นใกล้ชิด และท่านได้ประกาศอีกครั้งท่ามกลางหมู่ชน ณ เฆาะดีรคุม ดังนั้นตลอดอายุขัยของท่านศาสดาท่านได้แต่งตั้งตัวแทนไว้เรียบร้อยแล้วดังที่กล่าวมาแล้วในบทต้นๆ เมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขของสังคมในยุคแรกของอิสลาม และหลักฐานที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้แต่งตั้งท่านอะลีไว้ ทำให้รู้ว่า การแต่งตั้งตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แสดงความเห็น