หลักความเชื่อของวะฮาบี และข้อทักท้วงของพวกเขาที่มีต่อชีอะฮฺว่า คืออะไร?

คำถาม

โปรดอธิบาย หลักความเชื่อของวะฮาบี และข้อทักท้วงของพวกเขาที่มีต่อชีอะฮฺว่า คืออะไร?

 

คำตอบ

บรรดาวะฮาบี (สำนักคิดวะฮาบี) คือพวกที่ปฏิบัติตามแนวคิดของ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ บิน สุไลมาน นัจญฺดี (1115-1206) ซึ่งปฏิบัติตามสำนักคิดของ อิบนุตัยมียะฮฺ และเป็นลูกศิษย์ของ อิบนุ กัยยิม เญาซียฺ ผู้สถาปนาแนวศรัทธาใหม่ในแคว้นอาหรับ ชื่อสำนักคิดนี้ได้ตั้งมาจากชื่อของบิดาของอับดุลวะฮาบ[1]

วะฮาบี นับว่าเป็นหนึ่งในสำนักคิดอิสลามที่ตั้งรกรากอยู่ใน ประเทศซาอุดิอารเบีย และยังมีผู้นับถือปฏิบัติตามอยู่บางส่วน เช่น ในบางประเทศ ปากีสถานและอินเดีย.

มุฮัมมัดญะวาด มุฆนียะฮฺ กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อว่า »นี่คือวะฮาบี« โดยอ้างอิงไปยังสำนักคิดของ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ และผลงานชิ้นอื่นของวะฮาบี ท่านเขียนว่า : ตามทัศนะของวะฮาบีทั้งหลายเชื่อว่า ไม่มีมีมนุษย์คนในที่เคารพภักดีต่อพระเจ้า และไม่มีผู้ใดเป็นมุสลิมโดยแท้ เว้นเสียแต่ว่าต้องละทิ้งตามที่ได้กำหนดไว้ [ซึ่งจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป][2] ขณะที่, บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างมีความเชื่อว่า บุคคลใดก็ตามกล่าวชะฮาดะตัยนฺออกมาเขาผู้นั้นคือ มุสลิม ชีวิตและทรัพย์สินของเขาต้องได้รับการปกปักษ์รักษา, แต่บรรดาวะฮาบีกลับกล่าวว่า : คำพูดที่ปราศจากการปฏิบัติไม่มีคุณค่า และเชื่อถือไม่ได้, ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามกล่าวชะฮาดะตัยนฺออกมา, แต่ได้ขอความช่วยเหลือผ่านพวกที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาก็มิได้แตกต่างอะไรไปจากบรรดากาฟิรผู้ปฏิเสธทั้งหลาย ซึ่งเลือดและทรัพย์สินของพวกเขา ฮะลาล.

สำนักคิดวะฮาบี ปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดิอารเบีย และได้รับการสถาปนาให้เห็นสำนักคิดประจำชาติ คำวินิจต่างๆ ของบรรดาผู้รู้ถูกดำเนินการปฏิบัติโดยรัฐบาล ส่วนรายละเอียดด้านการปฏิบัติ พวกเขาได้ยึดถือปฏิบัติตามแนวคิดของ อะฮฺมัด ฮันบะลี ขณะเดียวกันพวกเขาจะไม่ท้วงติงหรือขัดขวางผู้ปฏิบัติตาม สำนักคิดทั้งสี่ได้แก่ (ฮะนะฟี, ชาฟิอี, ฮันบะลี, และมาลิกี) แต่จะขัดขวางผู้ปฏิบัติตามมัซฮับอื่น เช่น ชีอะฮฺ ซัยดียะฮฺ ซึ่งทั้งสองมัซฮับจะได้รับการประณามสาปแช่ง[3]

ก่อนที่จะอธิบายถึงแนวความเชื่อของวะฮาบี สิ่งจำเป็นต้องกล่าวคือ, บทนำสั้นๆ เกี่ยวกับการตั้งภาคีหรือชิริกเสียก่อน : คำว่า ชิริก, ในปธานุกรมหมายถึง การให้ความโศกเศร้าลำบาก, การผสมผสานกันการร่วมกันของสองหุ้นส่วน[4] ส่วนในนิยามของอัลกุรอาน, จะถูกนำไปใช้ในความหมายที่อยู่ตรงข้ามกับ คำว่า ฮะนีฟ ซึ่งจุดประสงค์ของ ชิริก, คือชิริกที่คล้ายเหมือน หรือตั้งสิ่งที่คล้ายคลึงขึ้นมาสำหรับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง, คำว่า ฮะนีฟ, หมายถึงความปรารถนา ความทะยานอยากให้หลุดพ้นจาก การหลงผิดไปสู่ความถูกต้อง หรือแนวทางที่เที่ยงธรรม, และเนื่องจากผู้ปฏิบัติตามเตาฮีด, คือผู้บริสุทธิ์หรือผู้ที่หันห่างออกจากการตั้งภาคีไปสู่แก่นสารอันเป็นพื้น ฐานของความปรารถนา, จึงเรียกพวกเขาว่า ฮะนีฟ

อัลลอฮฺ (ซบ.) กล่าวถึงศาสดาของพระองค์ในอัลกุรอานว่า : »จง กล่าวเถิดว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันได้ชี้นำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรง คือศาสนาที่เที่ยงแท้ [หลักประกันความผาสุกทั้งศาสนาและโลก] อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาสัจธรรม เขาเป็นผู้หันห่างออกจากความหลงผิดและเขาก็ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี«[5]

และพระองค์ตรัสอีกว่า : »และ (มีบัญชา) ว่า จงมุ่งหน้าของเจ้าสู่ศาสนาโดยเที่ยงธรรม และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี«[6]

ด้วยเหตุนี้ ตามทัศนะของอัลกุรอาน, ชิริก, คือจุดที่อยู่ตรงกันข้ามกับศาสนาเที่ยงธรรม และสำหรับการรู้จักชิริกนั้น จำเป็นต้องรู้จักศาสนาที่เที่ยงธรรมเสียก่อน, เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่า «تعرف الاشیاء باضدادها» หมายถึงการรู้จักบางสิ่งด้วยสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม, สรุปก็คือ, สามารถกล่าวได้ว่า ชิริก, นั้นอยู่ตรงกันข้ามกับเตาฮีด และดั่งที่ทราบว่า เตาฮีด นั้นหลายประเภท, ชิริกก็มีหลายประเภทเช่นกัน.

สำหรับการจัดแบ่งโดยทั่วไปกล่าวคือ, ชิกริกนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ ก) »ชิริกในความหลักความศรัทธา« ข) »ชิริกในการปฏิบัติ«, และชิริกในหลักความศรัทธายังแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ :

1.ชิริกในอุลูฮียะฮฺ : หมายถึง การเชื่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ โดยเอกเทศซึ่งมีทั้งคุณลักษณะที่สัมบูรณ์และสง่างาม แน่นอนว่าความเชื่อทำนองนั้นเป็นสาเหตุนำไปสู่ การปฏิเสธ[7]ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า : »แน่นอน ได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว สำหรับบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮฺ คืออัลมะซีฮฺ บุตรมัรยัม[8]«

2.ชิริกในการสร้าง: มนุษย์เชื่อว่ามีผู้สร้างเป็นเอกเทศในโลกนี้ 2 องค์, ซึ่งทั้งการสร้างและการควบคุมโลกอยู่ในอำนาจของทั้งสอง, ดังที่พวกโซโรแอสเตอร์เชื่อในเรื่องผู้สร้างความดี (ยัซดอนนี) และความชั่ว (อะฮฺเราะมัน)

3.ชิริกในการบริบาล : หมายถึงเชื่อว่าในโลกนี้มีการอภิบาล (พระผู้อภิบาล) จำนวนมาก ซึ่งอัลลอฮฺ ทรงเป็นนายของผู้อภิบาลเหล่านั้น กล่าวคือ การบริบาลโลกถูกควบคุมโดยผู้บริบาลต่างๆ,อย่างเป็นเอกเทศ ดังที่บรรดามุชิรกในสมัยของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ต่างมีความเชื่อเช่นนั้น โดยกลุ่มหนึ่งมีเชื่อว่าเทพพระเจ้าแห่งดวงดาวคือ ผู้บริบาลโลกนี้ ส่วนอีกกลุ่มเชื่อในดวงจันทร์ และอีกกลุ่มเชื่อดวงตะวัน

ชิริกในการกระทำ:

การเป็นชิริกในด้านการปฏิบัติเรียกว่า เป็นชิริกในการแสดงความเคารพภักดีหรือชิริกในอิบาดะฮฺนั่นเอง หมายความว่า มนุษย์ได้แสดงความนอบน้อมถ่อมตน ซึ่งเกิดจากความเชื่อที่มีต่อความคู่ควรในการเป็นพระเจ้า หรือผู้สร้าง หรือผู้บริบาล โดยเขาได้แสดงความนอบน้อมและความเคารพนั้นแก่บุคคลหรือสรรพสิ่ง.

เหล่านี้คือมาตรฐานของการเป็นชิริก ซึ่งได้ตีความมาจากอัลกุรอาน

ส่วนมุสลิมกลุ่มหนึ่ง เช่น บรรดาวะฮาบีทั้งหลาย, พวกเขาได้สร้างมาตรฐานการเป็นชิริกด้วยตัวเอง และนำเอามาตรฐานเหล่านั้นมาเทียบบรรดามุสลิมคนอื่น พร้อมกับกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นชิริก

โดยหลักการแล้ว มาตรฐานการเป็นชิริกที่พวกเขาได้กำหนดขึ้นนั้น, ไม่มีสิ่งใดเป็นที่เชื่อถือแม้แต่สิ่งเดียว,เนื่องจากมาตรฐานตามกำหนดของพวก เขาขัดแย้งกับอัลกุรอาน แบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของท่านศาสดา

ตรงนี้จะขอนำเสนอหลักความเชื่อบางประการของวะฮาบี ดังนี้ :

1.วะฮาบีมีความเชื่อเรื่อง อำนาจเร้นลับ สำหรับสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า : »ถ้า หากบุคคลใดเชื่อและได้ขอความช่วยเหลือจากนบี (ซ็อล ฯ) และบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ [โดยเรียกร้องความช่วยเหลือ] ขณะที่เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นได้ยินดุอาอฺ และรับรู้ถึงสภาพของพวกเขา,พร้อมกับตอบรับดุอาอฺของพวกเขา, เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในชิริกทั้งสิ้น[9]

2. การวิงวอนดุอาอฺกับคนตาย, ตามความเชื่อของวะฮาบีหนึ่งในชิริกคือ, การวิงวอนดุอาอฺกับคนตายและขอความช่วยเหลือจากพวกเขา หรือความมุ่งมั่นไปยังพวกเขา (แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นนบีหรือบรรดาศาสดาทั้งหลาย) และสิ่งนี้ถือว่าเป็นแก่นของการเป็นชิริกบนโลกนี้[10]

3.ดุอาอฺและตะวัซซุลเป็นอิบาดะฮฺประเภทหนึ่ง, กล่าวว่า : «การอิบาดะฮฺนั้น เฉพาะเจาะจงสำหรับอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว และดุอาอฺเป็นหนึ่งในอิบาดะฮฺ, ดังนั้น การวิงวอนต่อผู้อื่นไปจากอัลลอฮฺ, ล้วนเป็นชิริกทั้งสิ้น»[11]

4.การซิยาเราะฮฺกุบูร สถานฝังศพเป็นชิริก

5. การขอตะบัรรุกจากร่องรอยของบรรดาศาสดาและมวลกัลญาณชนเป็นชิริก

6. การจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เป็นชิริก

7.การสร้างโดมหรือเครื่องครอบหลุมศพเป็นชิริก

หลักความเชื่อเหล่านี้และมาตรฐานที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมาเอง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ :

1.วะฮาบีทั้งหลายต่างถือว่า มาตรฐานและการกระทำต่างๆ ตามที่กล่าวมาหากเป็นชิริกในด้านความเชื่อ ถือว่าผู้นั้นเป็นมุชริกทันที

สำหรับข้อหักล้างหลักความเชื่อข้างต้น สามารถกล่าวได้ว่า, ถ้าหากเชื่อในเรื่องอำนาจเร้นลับ, เชื่อในเรื่องการชะฟาอะฮฺ เชื่อในเรื่องการตอบรับดุอาอฺ และอื่นๆ ..ในลักษณะที่ว่าภารกิจทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนสัมพันธ์ไปยังอัลลอฮฺ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้รับหรือไม่ได้รับสิ่งใด ล้วนอยู่ในอำนาจของพระองค์ที่ประทานแก่พวกเขา อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นชิริก, เนื่องจากตรงนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นเอกเทศไปจากอัลลอฮฺ แม้แต่ประการเดียว ซึ่งได้อธิบายไปแล้วเกี่ยวกับ ชิริกในอุลูฮียะฮฺ ชิริกในการสร้างสรรค์ และชิริกในการบริบาล ซึ่งกล่าวไปแล้วเช่นกันว่า ชิริกในความศรัทธา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้น มีความเชื่อว่าผู้อื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ มีคุณลักษณะสัมบูรณ์และสง่างาม, หรือเชื่อว่าผู้นั้นสามารถสร้างสรรค์สรรพสิ่งได้อย่างเอกเทศ หรือสามารถบริบาลโลกได้อย่างเอกเทศเช่นกัน, แต่ถ้าอำนาจของเขาขึ้นอยู่อัลลอฮฺ, ตรงนี้คำว่า ชิริก จะไม่มีความหมายอีกต่อไป. เราและบรรดามุสลิมทั้งหลายต่างวิงวอนขอผ่านท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) และตัวแทนของท่าน หรือมีความเชื่อว่าพวกเขามีอำนาจเหนือญาณวิสัย ซึ่งอำนาจเหล่านั้นล้วนได้รับมาจากอัลลอฮฺ ทั้งสิ้นหรืออัลลอฮฺทรงประทานตำแหน่งดังกล่าวแก่พวกเขา ถ้าเป็นในลักษณะนี้ยังจะถือว่าเป็น ชิริก อีกหรือไม่?

2. ส่วนที่สองภารกิจต่างๆ ที่วะฮาบีถือว่าเป็นชิริก ด้วยสาเหตุที่ว่าพวกเขาถือว่าการงานเหล่านั้นเป็นอิบาดะฮฺ, เช่น การจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) หรือสร้างโดม หรือสัญลักษณ์ครอบไว้เหนือหลุมฝังศพ หรือการจูบลูกกรงหรือโดมที่ครอบอยู่บนหลุมฝังศพ และอื่นๆ ...

คำตอบ สำหรับหลักความเชื่อข้อนี้คือ พวกเขาตีความคำว่า อิบาดะฮฺ ไม่ถูกต้อง หรือไม่เข้าใจว่า อิบาดะฮฺว่าหมายถึงอะไร ซึ่งอิบาดะฮฺนั้น มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการด้วยก้น และด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านั้นเอง อิบาดะฮฺ จึงเป็นอิบาดะฮฺที่กระทำไปเพื่อพระเจ้า อิบาดะฮฺ, ที่กล่าวว่าเป็นอิบะฮฺคือ ได้ถูกกระทำด้วยความนอบน้อมถ่อมตน ถูกขับเคลื่อนออกมาจากความเชื่อศรัทธาไปสู่ความคู่ควรในความเป็นพระเจ้า หรือพระผู้ทรงสร้างสรรค์ และบิรบาล ด้วยเหตุนี้เอง ตามคำนิยามดังกล่าวนี้ ถ้าหากความนอบน้อมถ่อมตน ไม่ได้ออกมาจากความเชื่อศรัทธา ไปสู่ความคู่ควรแก่การเคารพภักดี จะไม่ถือว่านั่นเป็นอิบาดะฮฺเด็ดขาด ด้วยสาเหตุนี้เอง จะเห็นว่าเมื่ออัลลอฮฺ ตรัสถึงการซัจญฺดะฮฺของเหล่าบรรดาพี่น้องของยูซุฟ (อ.) ต่อหน้ายูซุฟในบทยูซุฟ ไม่ถือว่าการซัจญฺดะฮฺนั้นเป็นชิริกแต่อย่างใด, เนื่องจากบรรดาพวกพี่ๆ ของยูซุฟ จะไม่เชื่อยูซุฟว่าคู่ควรแก่การเคารพภักดี หรือเป็นผู้สร้าง หรือผู้บริบาลแต่อย่างใด

น่ายินดีที่ว่า, บรรดาปวงปราชญ์ในอิสลาม และผู้รู้นักคิดทั้งหลายต่างมีความตื่นตัวกันอย่างถ้วนหน้า และมีความเข้าใจต่อมาตรฐานที่พวกเขาได้ตั้งขึ้นมาเอง พร้อมกับได้ตอบความเชื่อเชิงหักล้างด้วยเหตุผล

ตรงนี้สิ่งเดียวที่สมารถกล่าวได้ว่า สิ่งใดถูกหรือผิดคือ สติปัญญาที่มีความสมบูรณ์ของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่ต้องพิจารณาด้วยวิจารณญาณของตนเองว่า ความเชื่อเหล่านี้สามารถเข้ากันได้กับธรรมชาติของมนุษย์ และอัลกุรอานหรือไม่, สิ่งเหล่านี้นะหรือคือความรักที่มีต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในฐานะพรมแดนสุดท้ายของสาส์นแห่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)[12] อัลกุรอาน มิได้กล่าวกับเราหรือว่า บรรดาชะฮีดต่างมีชีวิตอยู่ ณ อัลลอฮฺ[13] และฐานะภาพของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต่ำต้อยกว่าชะฮีดกระนั้นหรือ? และ ..

ทุกวันนี้, มุสลิมสำนักคิดต่างๆ ได้นำเอาประเด็น (ชิริก) มาเป็นมาตรวัดความผิดพลาด และทัศนะของคนอื่น และเมื่อใดก็ตามเมื่อมองเห็นสถานภาพของตนเองอ่อนแอ หรือเห็นว่าข้อพิสูจน์และเหตุผลของตนอ่อน ก็จะใส่ร้ายคนอื่นทันทีว่าเป็นชิริก ซึ่งแน่นอนว่าการปฏิบัติเช่นนี้นอกเหนือไปจากคำสอนของอิสลาม, ไม่มีจริยธรรมจรรยาและหลงผิดอย่างหนัก แน่นอนว่าบรรดาปวงปราชญ์อิสลาม, ได้ตอบข้อพิสูจน์ของพวกเขาจนหมดสิ้นแล้ว[14]

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือดังต่อไปนี้ :

1.บะฮูษ กุรอานนียะฮฺ ฟิตเตาฮีด วัชชิรกิ, ญะอฺฟัร ซุบฮานียฺ.

2.วะฮาบียัต มะบานี ฟิกรียะฮฺ, วะบทวิเคราะห์เชิงวิชาการ,ญะอฺฟัร ซุบฮานียฺ.

3. สำนักคิดวะฮาบียฺ,ญะอฺฟัร ซุบฮานียฺ.

4.ฟังฮัง ฟิร็อก อิสลาม, มุฮัมมัด ญะวาด มัชกูร.

 

 


[1] มัชกูร,มุฮัมมัด ญะวาด,ฟัรฮัง ฟิร็อก อิสลามี,หน้า 461-457.

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม

[3] อ้างแล้วเล่มเดิม

[4] มัจญฺมะอุล บะฮฺเรน, เล่ม 5, หน้า 247, อัลอัยนฺ, เล่ม 5, หน้า 293.

[5] บทอันอาม, 161

[6] «و ان اقم وجهک للدین حنیفاً و لاتکونن من المشرکین»บทยูนุส, 105.

[7] สิ่งจำเป็นต้องกล่าวคือ ชิริกทุกประเภท, คือสาเหตุนำไปสู่การปฏิเสธทั้งสิ้น, แต่สิ่งที่ต้องตระหนักจุดประสงค์ของเราที่กล่าวถึง การปฏิเสธ หมายรวมถึงการปฏิเสธทั้งด้านความเชื่อและการปฏิบัติ

[8] «لقد کفرالذین قالوا ان الله هو المسیح بن مریم»บทมาอิดะฮฺ, 17

[9] รวมคำฟัตวาของเชค บินบาซ, เล่ม 2, หน้า 552.

[10] ฟัตฮุลมะญีด, หน้า 68

[11] อัรร็อดดุ อะลี อัรรอฟิเฎาะฮฺ (คัดลอกมาจากหนังสือ การรู้จักชีอะฮฺ, ของอะลี อัสฆัร ริฎวานียฺ, หน้า 135-143)

[12] อัลกุรอาน บทชูรอ, 23.

[13] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน, 169.

[14] ศึกษาได้จากคำถามที่ 978 (ความเชื่อของวะฮาบี)

 

แสดงความเห็น