ฮะดีษเฆาะดีร คุม

ฮะดีษเฆาะดีรในประวัติศาสตร์อิสลาม

การโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ปัจจุบันจะเห็นว่าอุละมาอฺฝ่ายอะฮฺลิซซุนนะฮฺไม่ว่าจะอยู่ทีใดบนโลกนี้ถ้ามีโอกาสพวกเขาจะโจมตีชีอะฮฺทันที ขณะที่อุละมาอฺฝ่ายชีอะฮฺไม่เคยโจมตีหลักการฝ่ายซุนนียฺแม้ว่าจะมีโอกาสและมีความสามารถที่เหนือกว่าก็ตาม อุละมาอฺฝ่ายชีอะฮฺไม่เคยโจมตีด้วยการกล่าวร้าย หรือใช้วาจาหยาบคายจาบจ้วงเหมือนคนที่ไม่เคยมีการศึกษา เหมือน เช่นที่ผู้รู้ฝ่ายอะฮฺลิซซุนนะฮฺบางท่านกำลังตอบข้อซักถามแก่ผู้สงสัย เกี่ยวกับปัญหาชีอะฮฺที่โพสกันในกระทู้ต่างๆของเว็บไซต์หรือทางเฟสบุค

คำพูดที่อาจารย์กล่าวพาดพิงถึงชีอะฮฺ ก็คือ อย่าไปคบกับพวกนี้เพราะพวกนี้เลวกว่ากาฟิร

 

คำพูดของท่านมิได้สร้างสรรค์สิ่งใดให้ดีขึ้นมา ซึ่งในทัศนะของอาจารย์มีคนอยู่สองกลุ่มที่เป็นคนเลว กลุ่มที่หนึ่งคือ กาฟิร กลุ่มที่สอง คือชีอะฮฺ ทว่าชีอะฮฺนั้นเลวยิ่งกว่ากาฟิรเสียอีก

 

ในทางตรงกันข้ามอุละมาอฺฝ่ายชีอะฮฺพยายามประนีประนอมมาโดยตลอด เพื่อรักษาเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ของอิสลามเอาไว้ นั่นคือ ความเป็นเอกภาพในหมู่มุสลิมเพื่อยืนหยัดต่อสู้กับโลกภายนอกที่กำลังเฝ้าคอยโอกาสโจมตีอิสลาม เหมือนหมาป่าที่คอยล่าเนื้อลูกแกะเป็นอาหาร ดังนั้น จะเห็นว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายยิ่งนัก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่อิสลามจะถูกทำลายล้างจนสูญสิ้นไปจากโลกนี้ การที่บางประเทศทำดีกับประเทศมุสลิมก็เพื่อผลประโยชน์เท่านั้นเอง และเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีผลประโยชน์ประเทศเหล่านั้นก็ไม่มีค่าอันใดอีกต่อไป

 ในทางกลับกัน การที่ประเทศมุสลิมบางประเทศให้ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ ก็เนื่องจาก ต้องการให้บารมีของประเทศเหล่านั้นคุ้มครองตน เพื่อการยืนหยัดในอำนาจ และเสวยผลประโยชน์ต่อไป มิได้มีเจตนารมณ์เพื่อการพัฒนาหรือเพื่อประโยชน์ของมุสลิมแม้แต่นิดเดียว

 

มุสลิมส่วนใหญ่เคยได้ยิน คำว่าเฆาะดีรคุม มาแล้ว เฆาะดีรเป็นชื่อสถานที่หนึ่งที่อยู่ระหว่างมักกะฮฺ กับมะดีนะฮฺ ใกล้กับยุฮฺฟะฮฺ ห่างจากมักกะฮฺไปประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร เป็นทางแยกที่บรรดานักแสวงบุญทั้งหลายจะแยกกันเพื่อกลับสู่มาตุภูมิของตน

 

๑ เป็นเส้นทางแยกไปสู่มะดีนะฮฺ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมักกะฮฺ

 

๒ เป็นเส้นทางแยกไปสู่อีรัก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก

 

๓ เป็นเส้นทางแยกไปสู่เยเมน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้

 

แต่ปัจจุบัน เฆาะดีร เป็นสถานที่ ๆ ถูกทอดทิ้งด้วยเหตุผลอันบางประการ อย่างไรก็ตามในอดีตสถานที่แห่งนี้คือ สถานที่ชุมนุมที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ในวันนั้นตรงกับวันที่ ๑๘ เดือนซุลฮิจญะฮฺ ปี ฮ.ศ.ที่ ๑๐ ณ เฆาะดีรคุม ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ประกาศแต่งตั้งให้ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นอิมามหรือเป็นเคาะลีฟะฮฺแทนท่าน

 

ถึงแม้ว่าบรรดาเคาะลิฟะฮฺในยุคต่อมาจะพยายามทำลายสีสันของเฆาะดีรให้จืดจาง หรือแม้แต่อุละมาอฺที่มีอคติในปัจจุบัน ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เฆาะดีรถูกลืมเลือน แต่ความยิ่งใหญ่ของวันนี้บนหน้าประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอาหรับในยุคนั้นมันกว้างเกินกว่าที่คนในยุคปัจจุบันจะทำลายทิ้งได้ หรือทำให้คนส่วนใหญ่ลืมเลือน

 

นอกจากจะกล่าวถึงเหตุผลและพิสูจน์ความเป็นจริงของเฆาะดีรแล้ว ยังได้เสนอหลักฐานของอะฮฺลิซซุนนะฮฺที่บันทึกเหตุการณ์เฆาะดีรเอาไว้ เพื่อเป็นคำถามแก่ผู้สงสัยในใจว่า หลักฐานจำนวนมากมายเช่นนี้แล้วทำไมมุสลิมส่วนใหญ่จึงปฏิเสธเฆาะดีร และไม่ให้ความสำคัญ

 

ฮะดีษเฆาะดีรเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ชัดเจนที่บ่งบอกถึง การเป็นเคาะลีฟะฮฺทันทีของท่านอิมามอะลี (อ.) หลังจากท่านศาสดาได้สิ้นชีพลง ซึ่งบรรดานักค้นคว้าส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แต่น่าเสียใจว่าคนส่วนใหญ่ที่ปฏิเสธวิลายะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) ก่อนที่จะศึกษาหาความจริง หรือได้ตั้งใจปฏิเสธไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วดั่งที่เป็นมาในอดีตโดยไม่สนใจว่าหลักฐานที่อ้างอิงนั้นจะถูกหรือผิด หรือนำมาจากที่ใด หรือบางครั้งยอมรับในสายรายงานและหลักฐานว่ามีจริง แต่สงสัยสาเหตุที่ริวายะฮฺเหล่านั้นบ่งชี้ หรือบางครั้งสงสัยในสายรายงานโดยตรงว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่

เหตุการณ์ของเฆาะดีร

 

เมื่อการบำเพ็ญฮัจญฺครั้งสุดท้ายของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งตรงกับปี ฮ.ศ. ที่ ๑๐ ได้เสร็จสิ้นลง ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ตัดสินใจจากมักกะฮฺเพื่อเดินทางกลับมะดีนะฮฺ ท่านได้สั่งให้กองคารรวานเคลื่อนตัว และเมื่อกองคาราวานเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่งชื่อว่า รอบิฆ ซึ่งอยู่ห่างจากญุฮฺฟะฮฺประมาณ ๓ ไมล์] ญิบรออีลได้นำวะฮียฺลงมาให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตรงบริเวณที่มีนามว่า คุม หรือเฆาะดีรคุม ความว่า

 

يَا أيُّها الرَّسُولُ بَلِّغْ ما اُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ وَ إنْ لَمْ تَفْعَلْ فَما بَلَّغْتَ رِسالَتَهُ وَ اللّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ

 

โอ้เราะซูล จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ ดังนั้น เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์ อัลลอฮฺทรงคุ้มครองเจ้าจากมวลมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้นำพวกปฏิเสธทั้งหลาย]

 

จากโองการจะเห็นว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กระทำ ซึ่งเป็นทั้งเกราะกำบังที่แข็งแรงสำหรับริซาละฮฺ เป็นสาเหตุทำให้บรรดาศัตรูอิสลามหมดหวัง ซึ่งภารกิจต่อหน้าคนจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ คน จะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่เกินไปกว่าการประกาศแต่งตั้งท่านอิมามอะลี (อ.) ให้เป็นเคาะลีฟะฮฺตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)

 

จากทัศนะดังกล่าวท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงได้ประกาศให้กองคาราวานทั้งหมดหยุด บุคคลที่ล่วงหน้าผ่านไปแล้วท่านสั่งให้เรียกกลับมา และรอผู้ที่ยังเดินทางมาไม่ถึงให้มาสมทบ ช่วงเวลานั้นตรงกับซุฮฺริพอดีอากาศร้อนระอุ จนกระทั่งว่าบางกลุ่มได้เอาอะบา(ผ้าที่ใส่พาดบ่า)คลุมศีรษะ และบางกลุ่มเอารองไว้ใต้เท้า และได้เอาอะบากางออกเพื่อเป็นร่มให้กับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ท่านศาสดาได้ยืนบนแท่นที่เอาอานอูฐ ๔ อันมาเรียงติดกัน และได้กล่าวเทศนาเสียงดัง ซึ่ง ณ ที่นี้จะหยิบยกบางส่วนของคำเทศมาอธิบาย

คำเทศนาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)

 

“ฉันขอกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ฉันขอความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น ฉันขอศรัทธาเพียงพระองค์ ฉันขอมอบหมายภารกิจต่าง ๆ แก่พระองค์ และฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความเลวร้ายและการกระทำที่ไม่ดีทั้งหลาย พระองค์คือพระผู้อภิบาลผู้ซึ่งนอกจะพระองค์แล้วไม่มีผู้ชี้นำอื่นใดอีก และผู้ใดรับทางนำจากพระองค์จะไม่มีวันหลงทางอย่างแน่นอน ฉันขอยืนยันว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และมุฮัมมัดคือศาสดาแห่งพระองค์

 

โอ้ประชาชนที่รักทั้งหลาย ใกล้เวลาแล้วที่ฉันจะต้องจากพวกท่านไปอย่างไม่วันกลับ ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบ” ขณะเดียวกันพวกท่านก็มีหน้าที่รับผิดชอบเช่นกัน หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า

 

พวกท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับฉัน (ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันที่มีต่อพวกท่านแล้วหรือไม่)

 

ในเวลานั้นประชาชนได้ส่งเสียงกล่าวยกย่องและรับรองการงานของท่านศาสดาเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราขอยืนยันว่าท่านได้ทำหน้าที่ประกาศสารของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทำการอบรมและปรับปรุงสังคมแล้ว และสุดท้ายท่านได้ทำการชี้นำพวกเราเข้าสู่หนทางที่เที่ยงธรรม ขอพระองค์โปรดประทานรางวัลที่ดีงามแก่ท่าน

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า

 

“พวกท่านยืนยันไหมว่า พระผู้อภิบาลทรงเป็นเอกะ มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสดาของพระองค์ ความสัจจริงของวันแห่งการฟื้นคืนชีพเพื่อการสอบสวนสวรรค์และนรกนั้นมีจริง”

 

ทั้งหมดกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า แน่นอน พวกเราขอยืนยันเช่นนั้น

 

ท่านกล่าวว่า ขอให้อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพยานต่อคำยืนยัน

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า

 

ฉันขอฝากสิ่งหนักสำคัญสองสิ่งที่มีค่ายิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน พวกท่านลองพิจารณาดูซิว่า พวกท่านจะทำอย่างไรกับของสองสิงนี้ภายหลังจากฉัน

 

ทันใดนั้นมีคนหนึ่งยืนขึ้นและ ตะโกนขึ้นว่าสิ่งสำคัญสองสิ่งนั้นคืออะไร

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า

 

สิ่งแรกเป็นสิ่งหนักที่ยิ่งใหญ่อันได้แก่คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ ซึ่งด้านหนึ่งของคัมภีร์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ส่วนอีกด้านหนึ่งอยู่ในมือของพวกท่าน และพวกท่านจงยึดสิ่งนี้ไว้ให้มั่นเพื่อจะได้ไม่หลงทาง ส่วนสิ่งหนักอีกประการหนึ่งที่ฉันขอฝากไว้ให้หมู่พวกท่านได้แก่ ลูกหลานที่ใกล้ชิดของฉัน อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงเมตตาได้ส่งข่าวให้ฉันทราบว่า สิ่งหนักสองสิ่งนี้จะไม่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำแห่งสรวงสวรรค์ พวกท่านทั้งหลายจงอย่าล้ำหน้าทั้งสองเพราะจะเป็นสาเหตุให้พวกท่านพบกับความหายนะ และพวกท่านจงอย่าล้าหลังจากทั้งสองเพราะจะเป็นสาเหตุให้พวกท่านพบกับความหายนะเช่นกัน

 

ประชาชนเห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้หันมองรอบ ๆ เหมือนกับว่าท่านกำลังมองหาใครบางคน และแล้วสายตาของท่านก็จับจ้องไปที่ท่านอะลี ท่านได้ก้มไปจับมือของท่านอะลีชูขึ้นจนเห็นรอยขาวนวลใต้รักแร้ของทั้งสอง ซึ่งประชาชนทั้งหมดเห็นและจำได้ว่าบุคคลนั้นคือราชสีห์ที่ไม่เคยพ่ายแพ้แห่งอิสลาม ตรงนี้เสียงของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ดังขึ้นกว่าเดิม ท่านกล่าวว่า

 

โอ้ประชาชนทั้งหลาย ใครคือผู้ที่มีความประเสริฐกว่าชีวิตของผู้ศรัทธาทั้งหลาย

 

ทั้งหมดกล่าวว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) และเราะซูลเท่านั้นที่รู้ดี

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) เป็นผู้คุ้มครองและเป็นนายของฉัน ส่วนฉันคือ ผู้ปกครองมวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย และฉันมีความประเสริฐกว่าชีวิตของพวกเขา (หมายถึงความต้องการของศาสดาย่อมมาก่อนความต้องการของพวกเขา)

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า

 

فمن كنت مولاه فعلى مولاه

 

ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้้วย

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ตอกย้ำประโยคนี้ถึง ๓ ครั้งด้วยกัน บางริวายะฮฺกล่าวว่าท่านได้เน้นย้ำถึง ๔ ครั้ง และมากกว่านั้นเพื่อความมั่นใจซึ่งภายหลังจะได้ไม่การเข้าใจผิด

 

اَللّهُمَّ والِ مَنْ والاهُ وَ عادِ مَنْ عاداهُ وَاحِبَّ مَنْ أحِبَّهُ وَ أَبْغِضْ مَنْ أَبْغَضَهُ وَانْصُرْ مَنْ نَصَرَهُ وَاخْذُلْ مَنْ خَذَلَهُ وَ أَدِرِ الْحَقَّ مَعَهُ حَيثُ دارَ;

 

โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดเป็นมิตรกับบุคคลที่เป็นมิตรกับเขา โปรดเป็นศัตรูกับบุคคลที่เป็นศัตรูกับเขา โปรดรักบุคคลที่รักเขา โปรดเกลียดชังบุคคลที่เกลียดชังเขา โปรดช่วยเหลือบุคคลที่ช่วยเหลือเขา โปรดทอดทิ้งบุคคลที่ทอดทิ้งเขา โปรดให้สัจธรรมอยู่กับเขาตราบที่เขามียังมีชีวิต และโปรดอย่าแยกเขาออกสัจธรรม

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า พวกท่านจงจำไว้ให้ดีว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่ที่นี่ทุกคน ที่ต้องแจ้งข่าวให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ทราบ

แสดงความเห็น