นิกายชีอะฮ์???

นิกายชีอะฮ์

ชีอะฮ์ ตามความหมายของปทานุกรมหมายถึง ผู้ปฏิบัติตามหรือผู้ติดตาม ซึ่งบุคคลที่เป็นชีอะฮ์หมายถึง บุคคลที่เชื่อว่า มุสลิมกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อว่าท่านอาลีคือผู้ที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำของมุสลิมหลังจากท่านศาสดาได้เสียชีวิตมิใช่ท่านอบูบักร์ ท่านอุมัร และท่านอุสมาน  

คำนิยามที่เหมาะสมที่สุดคือชีอะฮ์หมายถึงมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับคำสั่งแต่งตั้งผู้นำหลังจากศาสดามุฮัมมัด(ศ)ว่าคือ ท่านอิมามอาลี(อ.) และถือว่าท่านเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดต่อการดำรงตำแหน่งผู้นำภายหลังจากศาสดามุฮัมมัด(ศ)คำนิยามนี้เน้นเกี่ยวกับคำสั่งแต่งตั้งภายหลังจากศาสดามุฮัมมัด(ศ) การพิสูจน์ว่าท่านอิมามอาลี(อ.)เป็นตัวแทนของศาสดามุฮัมมัด(ศ) อันเป็นข้อแตกต่างระหว่างชีอะฮ์กับนิกายอื่นๆ เนื่องจากนิกายอื่นๆเชื่อว่าตำแหน่งผู้นำภายหลังจากศาสดามุฮัมมัด(ศ) ได้มาจากการเลือกตั้ง ส่วนชีอะฮ์เชื่อว่าตำแหน่งผู้นำจะต้องได้รับการแต่งตั้งโดยศาสดามุฮัมมัด(ศ))เท่านั้น

ชีอะฮฺสาขาต่าง ๆ

นิกายชีอะฮ์เป็นนิกายที่แตกแยกออกเป็นลัทธิ หรือคณะเล็กคณะย่อยอย่างมากมาย สรุปแล้วเกิดจากเรื่องอิมามมะฮฺ คือใครที่จะเป็นอิมามหรือประมุขคนต่อไป เมื่ออิมามหนึ่งเสียชีวิตไป

อย่างไรก็ดี คำว่าชีอะฮ์เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างกว้าง ซึ่งหากยึดตามคำนิยามที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็สามารถที่จะหมายรวมถึงสาขานิกายที่สำคัญของชีอะฮ์ได้ทั้งหมด อาทิเช่น ซัยดียะฮ์, กัยซานียะฮ์, อิสมาอีลียะฮ์ ฯลฯ

นิกายชีอะฮ์อิมามียะห์(อิหม่ามสิบสอง)

นิยามความหมาย

นิกายชีอะฮ์อิมามียะห์(อิหม่ามสิบสอง) เป็นนิกายหนึ่งในอิสลาม ซึ่งมีความแตกต่างกับซุนนีย์ในเรื่องของผู้นำสูงสุด หรือตัวแทนศาสดามุฮัมมัด(ศ)  ว่าจะต้องมาจากการแต่งตั้งของอัลลอฮ์และศาสดามุฮัมมัด(ศ) เท่านั้น นั้นคืออิมามสิบสองคน อันได้แก่อิมามอะลีบุตรหลานอีก 11 คน

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง คือ หมายถึง บุคคลที่เชื่อว่า ตัวแทนของศาสดามุฮัมมัด(ศ) หลังจากท่านเสียชีวิต เป็นสิทธิของอิมามอะลีและลูกหลานของท่านเท่านั้น ซึ่งพวกชีอะฮ์จึงยึดถือและปฏิบัติ ตามแนวทางของลูกหลานของท่านศาสดา(อะฮฺลุลบัยตฺ) ทั้งด้านความรู้ และการปฏิบัติ

 

หลักศรัทธาของชีอะฮ์

1. เตาฮีด (เอกภาพ) คือการศรัทธาว่าอัลลอฮ์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ ศรัทธาว่าพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง พระองค์เป็นพระผู้ทรงสร้าง และพระผู้ทรงกำหนด

2. อะดาละฮฺ (ความยุติธรรม) คือการศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงยุติธรรมยิ่ง และพระองค์ทรงไม่กระทำในสิ่งที่อยุติธรรม

3. นุบูวะฮฺ (ศาสดา) คือการศรัทธาว่าอัลลอฮ์ได้ทรงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือนบีมุฮัมมัด ที่ได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ในนั้นมีคำสั่งสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ(เทวทูตทาสผู้รับใช้อัลลอฮฺ) มีบทบัญญัติ และพงศาวดารของประชาชาติในอดีต เพื่อเป็นข้อคิดและอุทธาหรณ์

4. อิมามะฮฺ (ตัวแทนของท่านศาสดา) คือการศรัทธาว่าผู้นำสูงสุดในศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาสนทูตมุหัมมัดเท่านั้น จะเลือกหรือแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ผู้นำเหล่านั้น มี 12 คนคือ อะลี บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลี และฟาฏิมะฮฺอีก 11 คน คือ

                                          ท่านอิมาม ฮะซัน มัจตะบา (อ.)

                          ท่านอิมาม ฮุซัยนฺ (อ.) 

                          ท่านอิมาม อะลี บิน ฮุซัยนฺ ซัยนุลอาบิดีน (อ.)

                                                         ท่านอิมาม มุฮัมมัด บิน อะลี อัล บากิร (อ.)

                          ท่านอิมาม ญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด อัซ ซอดิก (อ.)

                                          ท่านอิมาม มูซา บิน ญะอฺฟัร อัล กาซิม (อ.)

                                          ท่านอิมาม อะลี บิน มูซา อัร ริฎอ (อ.)

                                          ท่านอิมาม มุฮัมมัด บิน อะลี อัล ญะวาด (อ.)

                          ท่านอิมาม อะลี บิน มุฮัมมัด อัล ฮาดียฺ (อ.)

                          ท่านอิมาม ฮะซัน บิน อะลี อัล อัซการียฺ (อ.)

          ท่านอิมาม ฮุจญะติบนิลฮะซัน อัล มะฮฺดียฺ (อ.)

            อิมามท่านที่ ๑๒ ชีอะฮฺเชื่อโดยหลักการว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ตราบจนถึงปัจจุบันแต่อยู่ในสภาพของการเร้นกายตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.)และท่านจะปรากฏกายอีกครั้งตามพระประสงค์ของพระองค์เพื่อทำการจัดตั้งรัฐบาลอิสลามขึ้นปกครองโลกด้วยความยุติธรรมเหมือนดั่งที่โลกได้ถูกปกครองด้วยการกดขี่

                5. มะอาด (วันแห่งการตอบแทน) คือการศรัทธาในวันฟื้นคืนชีพ คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้

ที่มาหลักศรัทธาชีอะฮ์

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้กล่าวว่า

(ฉันขอสั่งเสียพวกท่าน(จงปฏิบัติ)ตามคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน)

ดู หนังสือ อัลกาฟี โดยเชคกุลัยนี เล่ม 1 : 286 หะดีษที่ 1

หลักอีหม่าน ที่ได้รับจาก อัลกุรอาน

(โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และคัมภีร์(อัลกุรอาน)ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่รอซูลของพระองค์ และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนหน้านั้น และผู้ใดไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดารอซูลของพระองค์ และวันสิ้นโลก แน่นอนเขาได้หลงทางอย่างห่างไกล) ซูเราะฮ์ อันนิซาอ์ : 136

โองการนี้ระบุว่าอีหม่านมี 5 ประการคือ 1.การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ 2.มลาอิกะฮ์ของอัลลอฮ์ 3.บรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮ์ 4.บรรดารอซูลของอัลลอฮ์ 5.วันสิ้นโลก

หลักอีหม่าน ที่ได้รับจาก อะฮ์ลุลบัยต์นะบี  ท่านอิม่ามอาลี (อ) รายงาน

 อะบาน บิน อะบี อัยยาช รายงานจากสุลัยม์ บิน ก็อยส์(มรณะ ฮ.ศ.90)เล่าว่า ฉันได้ยินอิมามอาลี บิน อะบีตอลิบ(อ)เล่าว่า มีชายคนหนึ่งได้ถามอิมามเกี่ยวกับเรื่องอีหม่าน เขากล่าวว่า ( โอ้ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน จงบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องอีหม่าน ฉันไม่เคยถามมันกับผู้ใดนอกจากท่านและหลังจากท่าน อิมามอาลี(อ)ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งไปหาท่านนะบี(ศ)แล้วเขาได้ถามเหมือนที่ท่านถามฉันถึงมัน แล้วเขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)เหมือนคำพูดของท่านเลย ดังนั้นอิมามจึงเริ่มเล่าเรื่องให้เขาฟัง จากนั้นอิมามได้กล่าวกับเขาว่า จงนั่งลงสิ (บางรายงานกล่าวว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่ฉันจะกล่าวดังต่อไปนี้ เมื่อท่านได้ปฏิบัติมันแล้วท่านจะปลอดภัยเพราะอีหม่านคือการปฏิบัติ) เขากล่าวกับอิมามว่า ฉันเชื่อครับ แล้วอิมามอาลีได้หันมาหาชายคนนั้นพลางกล่าวว่า ท่านรู้ไหมว่า ญิบรออีลได้มาหาท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ในรูปมนุษย์ แล้วเขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)ว่า อิสลาม ( ฟุรูอุดดีน ) คืออะไร ท่าน(ศ)ตอบว่า คือการปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ ดำรงนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอน และอาบน้ำฆุซุ่ลญินาบะฮ์ และญิบรออีลได้กล่าวว่า อีหม่าน ( อุซูลุดดีน ) คืออะไร ท่าน(ศ)ตอบว่า อีหม่านคือการที่ท่าน 1.ต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์   2.มลาอิกะฮ์ของพระองค์   3.บรรดาคัมภีร์ของพระองค์   4.บรรดาศาสนทูตของพระองค์   5.ต่อชีวิตหลังความตาย(คือวันสิ้นโลก)   6.และต้องศรัทธาต่อการกำหนดกฎสภาวะการณ์ทั้งหมดของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดีและความชั่วของพระองค์ ความหวานและความขมของพระองค์ เมื่อชายคนนั้นได้ลุกจากไป ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวว่า ชายคนนี้คือท่านญิบรออีล เขามาหาพวกท่านเพื่อสอน(หลักสำคัญของ)ศาสนาของพวกท่าน ให้กับพวกท่าน แล้วปรากฏว่าทุกครั้งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ตอบสิ่งใดกับเขา เขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)ว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ญิบรออีลได้ถามว่า เมื่อใดจะถึงวันกิยามะฮ์ ท่าน(ศ)ตอบว่า ผู้ถูกถามเกี่ยวกับมันนั้นไม่ได้มีความรู้มากไปกว่าผู้ที่ถามเลย ญิบรออีลได้กล่าวว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว)

ดู กิตาบสุลัยม์ บิน ก็อยส์ อัลฮิลาลี บาบมะอ์นา อัลอิสลาม วัลอีหม่าน หน้า 87,88

นิกายชีอะฮ์อิมามียะห์(อิหม่ามสิบสอง) ซึ่งเชื่อว่าอิมามทั้งหมดมี 12 คน ตั้งแต่อิมามอะลี บินอะบีฏอลิบ จนถึงอิมามอัลมะฮฺดี นิกายนี้แตกแยกออกเป็น 3 สาขาย่อย คือ

อูศูลีย์ คือพวกที่เชื่อว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีไม่อยู่ ผู้คนจะต้องปฏิบัติตามคำฟัตวาของมัรญะอฺ โดยผู้ที่มีความรู้ก็จะทำหน้าที่เป็นมัรญะอฺ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฉายานาม อายะตุลลอฮฺ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆ ปัจจุบันมีประมาณ 70 คน

อัคบารีย์ คือพวกที่เชื่อว่า ทุกคนจะต้องตามกฏบัญญัติที่มีอยู่ในอัลกุรอานและฮะดีษของศาสดามุฮัมมัด(ศ) และบรรดาอิมามโดยตรง และต่อต้านการอิจญ์ติฮาด(วินิจฉัย)ของผู้รู้ และผู้รู้ไม่มีสิทธิในการออกฟัตวา เพื่อบังคับให้ผู้คนตาม และผู้ที่มีสิทธิในการที่จะเรียกตนเองว่า อายะตุลลอฮฺ ก็คืออิมามมะฮฺดีเท่านั้น ลัทธิย่อยนี้มีผู้นับถือในบัศเราะฮฺ ประเทศอิรัก และประเทศบาห์เรน

ชัยคีย์ คือพวกที่นิยมลัทธิศูฟีย์ จึงผสมผสานความคิดศูฟีย์มาผสมผสานกับลัทธิชีอะฮฺ โดยมีคำสั่งสอนที่เน้นเรื่องการมาของอิมามมะฮฺดี ลัทธิย่อยนี้มีผู้นับถือในบัศเราะฮฺ ประเทศอิรัก ลัทธิชัยคีย์นี่เองที่เป็นต้นตอของศาสนาบาบีย์และบะฮาอีย์(บาไฮ)ในเวลาต่อมา ผู้สมาชิกจำนวนมากได้เข้ารับนับถือศาสนาบาไฮ เมื่อสมาชิกคนหนึ่งผู้มีชื่อว่า บะฮาอุลลอฮฺ (ไทยเรียกว่า พระบาฮาอุลลาห์) อ้างว่าตนคือศาสดาคนใหม่

นิกายมัซฮับอิสมาอีลีย์ เกิดขึ้นเมื่ออิสมาอีล เสียชีวิตก่อนอิมามอัศศอดิก ผู้เป็นบิดา หนึ่งปี อันที่จริงอิมามอัศศอดิกได้แต่งตั้งอิสมาอีลเป็นอิมามคนต่อไป แต่เมื่ออิสมาอีลมาเสียชีวิตเสียก่อน ตำแหน่งอิมามจึงเป็นของอิมามกาซิม แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่า อิสมาอีลยังไม่ตาย และยังคงมีสิทธิ์ในการเป็นอิมาม และอ้างอีกว่า อิสมาอีลมีลูกชายคนหนึ่งชื่อมุหัมมัด เป็นอิมามมะฮฺดี ซึ่งจำเป็นต้องซ่อนตัว และจะกลับมาโปรดโลกเมื่อถึงเวลา

มัซฮับอิสมาอีลีย์แตกแยกออกเป็นลัทธิย่อยอีกหลายลัทธิ ซึ่งส่วนหนึ่งก็สูญหายไปกับกาลเวลา แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ลัทธิอิสมาอีลีย์ย่อยที่มีอยู่ในปัจจุบันได้แก่

นิซารีย์ มีอากาข่านเป็นประมุข โดยอ้างว่าสืบเชื้อสายของอิสมาอีล และเป็นอิมามคนที่ 49 ในทศวรรษที่ 1840 อิมามที่ 46 ของนิซารีย์ได้ก่อกบฏเพื่อแย่งบัลลังก์จากชาห์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพาพรรคพวกหนีไปตั้งหลักแหล่งในมุมไบ

มุสตะอฺลีย์ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ อีกหลายกลุ่มเช่น ดาวูดีโบห์รา สุลัยมานีโบห์รา อะละวีย์โบห์รา และเฮบตียะห์โบห์รา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอีกหลายกลุ่มที่เกิดขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งในการเป็นผู้นำ ส่วนใหญ่พวกนี้อาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย

ดรุซ คือพวกอิสมาอีลีย์พวกหนึ่ง ที่แตกแยกออกไปเป็นศาสนาใหม่ โดยผสมผสานความเชื่อของอิสลามเข้ากับความเชื่อและหลักปรัชญาของชนชาติต่าง ๆ

นิกายมัซฮับซัยดีย์ เป็นพวกที่ถือว่าซัยดฺ บุตรของอะลีซัยนุลอาบิดีนเป็นอิมาม พวกซัยดีย์เชื่อว่าบรรดาอิมามเชื้อสายอะฮฺลุลบัยตฺไม่ได้เป็นมะอฺศูม (ไร้บาป) อย่างที่ชีอะฮฺสายอื่น ๆ อ้างกัน พวกซัยดีย์แตกแยกออกเป็นมัซฮับย่อยอีกหกมัซฮับ ซึ่งจะไม่นำเสนอ ณ ที่นี่

นิกายชีอะฮฺฆุลาต คือพวกชีอะฮฺที่ออกนอกลู่นอกทางศาสนาอิสลามมากหรือน้อย ด้วยการยกย่องอะลีและวงศ์วานของนบีจนเกินเลย เช่น เชื่อว่าพวกเขามีคุณสมบัติความเป็นพระเจ้า หรือเสมอเหมือนพระเจ้า มีหลายสาขา เช่น

     นุศ็อยรียะฮฺ ในซีเรีย ตุรกี และเลบานอน

อาเลวี ในตุรกี ในอดีต คำนี้หมายถึงผู้ที่เชื่อว่าอิมามอลี(อ.)มีสถานะที่เหนือกว่าผู้อื่น แต่ในยุคหลังกลับมีนัยยะเพียงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านใดด้านหนึ่งกับอิมามอลี(อ.)เท่านั้น

     อะห์เลฮัก ในอิหร่านก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยสุลฏอน สาฮัก เป็นลัทธิที่ได้รับอิทธิพลจากโซโรอัสเตอร์และศาสนาอื่น ๆ ในภูมิภาค

นิกาย รอฟิฏี “ร็อฟฏุน”แปลว่าการหันห่าง, ละทิ้ง, วางเฉย. กลุ่มผู้คัดค้านชีอะฮ์มักใช้คำนี้เพื่อการประณามชีอะฮ์ เกี่ยวกับที่มาของคำนี้ ว่ากันว่าเกิดจากการที่ชีอะฮ์ปฏิเสธความเหมาะสมของเคาะลีฟะฮ์สองท่านแรก จึงถูกประณามว่าเป็นพวก“รอฟิฏี” บ้างเชื่อว่าที่มาของคำนี้ เกิดจากการที่ชีอะฮ์ท้วงติงและปลีกตัวจากกองทัพของท่านซัยด์ เนื่องจากไม่พอใจที่ท่านมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเกี่ยวกับประเด็นตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของสองท่านแรก อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าคำนี้มีที่มาอย่างไร คำนี้ก็ย่อมมีความหมายไม่กว้างเท่าคำว่าชีอะฮ์อย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะคำว่ารอฟิฏีไม่รวมถึงสาขาซัยดียะฮ์

นิกาย คอศเศาะฮ์ คำนี้จะใช้ในแวดวงวิชาฟิกเกาะฮ์(นิติศาสตร์อิสลาม)เป็นส่วนใหญ่ โดยใช้เพื่อจำแนกจากคำว่า“อามมะฮ์”อันหมายถึงมัซฮับอื่นๆที่ไม่ไช่ชีอะฮ์ ทั้งนี้คำว่าคอศเศาะฮ์หมายถึงชีอะฮ์ แต่หากเจาะจงมากกว่านี้ก็จะหมายถึงชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์ เนื่องจากได้รับหลักฟิกเกาะฮ์มาจากอิมามมะอ์ศูมทั้งสิบสองท่าน

                นิกายฟาฏิมี คำนี้มีนัยยะเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลเป็นหลัก โดยมักใช้เพื่อจำแนกลูกหลานท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)ออกจากลูกหลานของ มุฮัมมัด บินฮะนะฟียะฮ์ ซึ่งเป็นที่เชิดชูของสาขานิกายกัยซานียะฮ์ ทั้งนี้ก็เพราะ แม้มุฮัมมัดบินฮะนะฟียะฮ์จะเป็นบุตรของอิมามอาลี(อ.)ก็จริง แต่หาได้เป็นบุตรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ส.)ไม่.
                นิกายฏอลิบี คำนี้ก็มีนัยยะในแง่วงศ์ตระกูลเช่นกัน แต่ความหมายของคำนี้จะกว้างกว่าสองคำก่อน เนื่องจากคำนี้หมายถึงวงศ์วานของอบูฏอลิบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสายตระกูลอื่นที่มิไช่อิมามอาลี(อ.)ด้วย หากต้องการทราบรายละเอียดของคำนี้มากขึ้น กรุณาศึกษาจากหนังสือ“มะกอติลุฏฏอลิบียีน”ประพันธ์โดย อบุลฟะร็อจ อิศฟะฮานี ซึ่งรวบรวมเนื้อหาการต่อสู้ของสมาชิกสายตระกูลอบูฏอลิบทั้งหมด อาทิเช่นสายตระกูลของญะอ์ฟัร บิน อบีฏอลิบ(อัฏฏ็อยย้าร)

 

 

 

 

 

 

 

แสดงความเห็น