การพิชิตค็อยบัรและความประเสริฐที่ไม่มีใครเหมือนของอิมามอะลี (อ.)
การพิชิตค็อยบัรและความประเสริฐที่ไม่มีใครเหมือนของอิมามอะลี (อ.)
โดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
ในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 7 ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้ตัดสินใจที่จะทำให้แผนการร้ายต่างๆ ของชาวยิวแห่งค็อยบัรสิ้นสุดลง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชาวมุสลิมแห่งมะดีนะฮ์ เนื่องจากตำบลค็อยบัรนั้นนับตั้งแต่เริ่มต้นการปรากฏตัวของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ในนครมะดีนะฮ์ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการวางแผนร้ายเพื่อทำลายศาสนาอิสลาม และชาวยิวแห่งค็อยบัรก็ไม่เคยละความพยายามในการที่จะสร้างอันตรายให้เกิดกับสังคมที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ของอิสลาม
สถานะของตำบลค็อยบัร
ตำบลค็อยบัรปัจจุบันตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองมะดีนะฮ์ในระยะทาง 165 กิโลเมตร ตำบลนี้ประกอบไปด้วยหมู่บ้านต่างๆ ไร่สวนที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำในการทำการเกษตรและมีประชากรผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ก่อนการแต่งตั้ง (บิอ์ซะฮ์) ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) บางเผ่าของชาวยิวได้ตั้งรกรากอยู่ในตำบลนี้ และเนื่องจากสภาพที่เหมาะสมของสถานที่ พวกเขาจึงมีทักษะและความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในกิจการด้านการเกษตร การสะสมความมั่งคั่งและการจัดเตรียมอาวุธ ประชากรของพวกเขาในขณะนั้นมีจำนวนถึงสองหมื่นคน และจะพบเห็นนักรบได้เป็นจำนวนมากในหมู่พวกเขา [1]
เพื่อที่จะป้องกันตนเองและแผ่นดินของตน ชาวยิวในตำบลค็อยบัรจึงได้สร้างป้อมปราการขึ้นจำนวนมากมาย โดยที่แต่ละป้อมปรากการนั้นจะมีชื่อเรียกเฉพาะของมัน และที่สำคัญที่สุดของป้อมปราการเหล่านั้นได้แก่ นาอิม, กอมูศ, กุตัยบะฮ์, นัสฏอฮ์, ชักก์ วะเฏี๊ยะห์ และซะลาลัม นอกจากนี้เพื่อที่จะป้องกันป้อมปราการเหล่านี้ชาวยิวได้สร้างหอคอยสังเกตการณ์ขึ้นเคียงข้างแต่ละป้อมปราการเหล่านี้เพื่อพิทักษ์ปกป้องและสอดส่องดูแลสถานการณ์ต่างๆ นอกป้อมปราการ และคอยรายงานเข้าไปให้ด้านในได้รับรู้ ชนิดของอาคารของป้อมปราการทั้งหลายก็เป็นไปในลักษณะที่ว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ด้านในสามารถมองเห็นและสามารถควบคุมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากด้านนอกของป้อมปราการได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดการกับศัตรูได้ด้วยการยิงก้อนหินด้วยแท่นยิง (มันญะนีก) และอื่นๆ [2]
การเริ่มต้นสงคราม
ด้วยกับการมาถึงของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และชาวมุสลิมยังตำบลค็อยบัร สงครามจึงได้เริ่มต้นขึ้น และในวันแรกของสงครามชาวมุสลิมจำนวนห้าสิบคนได้รับบาดเจ็บ ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ตั้งค่ายพักอยู่ในบริเวณที่มีชื่อว่า “ร่อเญี๊ยะอ์” เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน และทุกวันจะออกไปทำสงครามกับชาวยิวพร้อมกับชาวมุสลิม โดยแต่ละกลุ่มจะมีธงรบ ในคืนที่หกชายชาวยิวผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในป้อมปราการ “นิฏอฮ์” ซึ่งมีนามว่า “ซัมมาก” ได้มาพบท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และขอความคุ้มครองจากท่านโดยสัญญาว่าจะนำทางชาวมุสลิมเข้าสู่ป้อมปราการนี้ เขาได้เปิดเผยว่าในป้อมปราการนิฏอฮ์นี้เป็นที่ตั้งของคลังเก็บอาหารและสรรพาวุธต่างๆ ของชาวยิว และผู้ที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการนี้ก็ประสบกับความสับสนอลหม่านและหวาดความกลัวและกำลังจะหนีออกไปจากป้อมปราการนี้ ในวันรุ่งขึ้นชาวมุสลิมได้พิชิตป้อมปราการนิฏอฮ์ และต่อมาชาวยิวผู้นั้นก็ได้เข้ารับอิสลาม [3]
สงครามชี้วัดชะตากรรม
หลังจากไม่กี่วันป้อมปราการอื่นๆ อย่างเช่น นาอิมและกอมูศก็ถูกพิชิตโดยกองทัพอิสลาม และชาวมุสลิมโดยการนำของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ก็รุกคืบไปยังป้อมปราการวะเฏี๊ยะห์และซะลาลัม แต่ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างแข็งแกร่งของชาวยิวที่อยู่ด้านนอกของป้อมปราการ บรรดาทหารผู้หาญกล้าของอิสลามแม้จะยอมพลีชีวิตและความสูญเสียที่หนักหน่วงไปก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ และได้ทำการต่อสู้กับนักรบของชาวยิวมากกว่าสิบวัน และในแต่ละวันก็ต้องกลับสู่ที่มั่นของตนเองโดยไม่ได้รับผลใดๆ
ในวันหนึ่ง คอลิฟะฮ์ที่หนึ่ง (อบูบักร) ได้รับคำสั่งให้นำทัพออกไปทำสงคราม เขาได้ถือธงสีขาวไปยังด้านหน้าของป้อมปราการและชาวมุสลิมก็เคลื่อนพลไปภายใต้การบัญชาการของเขา แต่เพียงระยะเวลาไม่นานนักเขาก็ได้ยกทัพกลับโดยปราศจากชัยชนะ และผู้บัญชาการและกองทัพต่างก็โยนความผิดให้แก่กันและกัน วันต่อมาการบัญชาการกองทัพได้ถูกมอบให้เป็นหน้าที่ของค่อลีฟะฮ์ที่สอง (อุมัร) เขาก็เช่นเดียวกับค่อลีฟะฮ์ที่หนึ่งที่ไม่สามารถจะทำอะไรศัตรูได้ และหลังจากยกทัพกลับมาจากสนามศึกก็ได้บรรยายถึงความองอาจและความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาของนักรบชาวยิว จนทำให้บรรดาสาวกของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) รู้สึกหวาดกลัว [4]
ในสถานการณ์ของสงครามที่ยืดเยื้อ จิตวิญญาณของชาวมุสลิมก็เลวร้ายลงทุกวัน ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้เรียกรวมบรรดาสาวกของท่านและกล่าวว่า :
لُاعطِینَّ الرّایةَ غَدا رَجُلاً یحِبُّ اللّهَ ورَسولَهُ، ویحِبُّهُ اللّهُ ورَسولُهُ، کرّارا غَیرَ فَرّارٍ، لا یرجِعُ حَتّى یفتَحَ اللّهُ عَلى یدَیهِ.
"พรุ่งนี้ฉันจะมอบธงให้บุรุษผู้หนึ่งที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์รักเขา และเขาก็รักอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ โดยที่เขาจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกโดยไม่ถอยหนี เขาจะไม่กลับมาจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงพิชิตด้วยมือของเขา” [5]
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ คลื่นแห่งความหวังและความปิติได้ปกคลุมในหมู่ชาวมุสลิม ทุกคนต่างเฝ้ารอดูว่าบุคคลผู้นี้คือใครกันที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวถึงเขาด้วยคุณลักษณะเหล่านี้
วันรุ่งขึ้นเราทุกคนต่างรอคอยการแนะนำตัวผู้ที่จะมาทำการพิชิตผู้นี้ ทันใดนั้นท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ก็ถามหาท่านอิมามอะลี (อ.) มีผู้กล่าวว่า “เขามีอาการเจ็บตา” ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ลูบมือไปบนดวงตาของท่านและได้วิงวอนขอพรต่ออัลลอฮ์ให้แก่ท่าน จากนั้นได้ออกคำสั่งให้ท่านออกสู่สงคราม พร้อมกับย้ำว่า ก่อนเริ่มสงครามให้ส่งตัวแทนกลุ่มหนึ่งไปยังบรรดาแกนนำของป้อมปราการและเชิญชวนพวกเขาสู่อิสลาม หากพวกเขาปฏิเสธก็ให้แนะนำพวกเขาให้รับรู้ถึงหน้าที่ต่างๆ ของตนในรัฐอิสลาม ได้แก่การจ่ายภาษีอากรและการวางอาวุธ หากมิเช่นนั้นแล้วจะทำสงครามกับพวกเขา [6]
ในวันนั้นท่านอมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) โดยการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของตน จนกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความพิศวงของทุกคน และไม่เพียงแต่สามารถพิชิตป้อมปราการนี้ได้เท่านั้น ทว่ายังเป็นสื่อนำไปสู่การพิชิตป้อมปราการอื่นๆ อีกด้วย
อิมามฟัครุรรอซี ในหนังสือ “ตัฟซีรอัลกะบีร” ของท่าน ภายใต้โองการอัลกุรอานที่ว่า :
أَمْ حَسِبْتَ أَنَّ أَصْحَابَ الْكَهْفِ وَالرَّقِيمِ كَانُوا مِنْ آيَاتِنَا عَجَبًا
"เจ้าคิดไหมว่า ชาวถ้ำและแผ่นจารึกนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากสัญญาณของเราที่มหัศจรรย์?"
(อัลกุรอานบทอัลกะฮ์ฟี โองการที่ 9)
เขาได้เขียนว่า : ใครก็ตามที่มีความเข้าใจถึงสภาพต่างๆ ของสิ่งเร้นลับ (ฆ็อยบ์) มากกว่า เขาก็จะมีหัวใจที่เข้มแข็งมากกว่า มีสมาธิที่มั่นคงมากกว่า และมีอำนาจมากกว่า ด้วยเหตุนี้เองท่านอะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) จึงกล่าวว่า :
والله ما قلعت باب خیبر بقوة جسدانیة ولکن بقوة ربانیة
“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่ได้ยกประตูค็อยบัรนี้ด้วยพละกำลังของร่างกาย แต่ทว่าฉันได้ยกมันด้วยพลังอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า” [7]
แหล่งที่มา :
[1] ตารีค ยะอ์กูบี, สำนักพิมพ์ ดารุซซอดิร, เบรุต, พิมพ์ครั้งที่ 1, เล่มที่ 2, หน้าที่ 56
[2] อัซซีเราะฮ์ อัลหะละบียะฮ์, สำนักพิมพ์ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์, เบรุต, พิมพ์ครั้งที่ 1, เล่มที่ 3, หน้าที่ 49
[3] กิตาบ อัลมะฆอซี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 644 – 648
[4] ตารีค อัฏฏอบะรี, เล่มที่ 3, หน้าที่ 12
[5] ฟูศูลุลมัฮิมมะฮ์, อิบนุศ็อบบาฆ, หน้าที่ 21 ; ซะคออิรุลอุกบา, หน้าที่ 72 ; กิฟายะตุฏฏอลิบ, หน้าที่ 98 ; อุซุดุลฆอบะฮ์, เล่มที่ 4, หน้าที่ 28 ; อัซซีเราะฮ์ อัลหะละบียะฮ์, เล่มที่ 3, หน้าที่ 51
[6] บิฮารุ้ลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่มที่ 2, หน้าที่ 29
[7] ตัฟซีรอัลกะบีร หรือ มะฟาตีหุลฆ็อยบ์, เล่มที่ 21, หน้าที่ 77
ที่มา - http://islamicstudiesth.com
แสดงความเห็น