ความสำคัญของเยเมนและชาวเยเมนในหลักฐานของอิสลาม ตอนที่ 1
ความสำคัญของเยเมนและชาวเยเมนในหลักฐานของอิสลาม ตอนที่ 1
ประเทศเยเมนในวันนี้เนื่องจากการรุกรานและการโจมตีอย่างป่าเถื่อนของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้กลายเป็นจุดสนใจของชาวมุสลิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชีอะฮ์ การทบบวนสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลายเกี่ยวกับเยเมนและชาวเยเมน แสดงให้เห็นว่าดินแดนนี้เป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมและประชาชนที่มีการศึกษาสูง และเป็นที่รักของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหลายไปสู่เยเมนและชาวเยเมนในวันนี้ ก็คือบทบาทที่ถูกกล่าวถึงสำหรับชาวเยเมนในริวายะฮ์ (คำรายงาน) ต่างๆ ที่เกี่ยวกับยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) และการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ (อ.ญ.) และเป็นตัวสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าบางทีเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในเยเมนขณะนี้ คือไพ่ใบหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการใกล้บรรลุความจริงของสัญญาณที่แน่นอนของการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของอิมามมะฮ์ดี (อ.) เนื้อหาต่อไปนี้เป็นการพิจารณาโดยสังเขปเกี่ยวกับริวายะฮ์ (คำรายงาน) ต่างๆ เกี่ยวกับเยเมนที่ถูกพบในหนังสือริวายะฮ์ของชีอะฮ์และบางส่วนของตำราพี่น้องซุนนี ซึ่งจะขอนำเสนอในสามส่วนดังต่อไปนี้
ก. การยกย่องสรรเสริญเยเมนและชาวเยเมนในริวายะฮ์ (คำรายงาน) ต่างๆ
ข. บุคคลสำคัญของเยเมนในอิสลามและในสายธารชีอะฮ์
ค. บทบาทของชาวเยเมนในการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.)
ก. การยกย่องสรรเสริญเยเมนและชาวเยเมนในริวายะฮ์ (คำรายงาน)
ชาวเยเมนคือกลุ่มชนแรกที่ตอบรับการเรียกร้องของศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ในการทำฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮ์ ในหนังสืออัลกาฟี มัรฮูมเชคกุลัยนี ได้รายงานจากท่านอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.) ว่า
إِنَّ إِبْرَاهِيمَ أَذَّنَ فِي النَّاسِ بِالْحَجِّ فَقَالَ أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي إِبْرَاهِيمُ خَلِيلُ اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تَحُجُّوا هَذَا الْبَيْتَ ... وَ كَانَ أَوَّلُ مَنْ أَجَابَهُ مِنْ أَهْلِ الْيَمَن
“แท้จริงอิบรอฮีมได้ประกาศในหมู่ประชาชนให้ไปทำฮัจญ์โดยเขากล่าวว่า โอ้ประชาชนเอ๋ย! แท้จริงฉันคืออิบรอฮีม ค่อลีลุลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงบัญชาให้พวกท่านบำเพ็ญฮัจญ์ ณ บ้านแห่งนี้... และคนกลุ่มแรกที่ตอบรับเขาก็คือชาวเยเมน” (อัลกาฟี, เล่มที่ 4, หน้าที่ 205)
ชาวเยเมนเข้ารับอิสลามโดยท่านอิมามอะลี (อ.) : ส่วนหนึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดนั้นก็คือ ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ส่งคอลิด บินวะลีด พร้อมด้วยมุสลิมกลุ่มหนึ่งซึ่งในจำนวนนั้นมีบัรรออ์ บินอาซิบรวมอยู่ด้วยไปยังดินแดนเยเมน เพื่อทำการเรียกร้องเชิญชวนประชาชนในดินแดนดังกล่าวมาสู่อิสลาม แต่หลังจากความพยายามเป็นเวลาถึงหกเดือนก็ไม่มีผู้ยอมรับอิสลามแม้แต่เพียงคนเดียว สิ่งนี้ได้สร้างความไม่สบายใจให้กับท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และด้วยเหตุนี้เองท่านจึงได้เรียกหาท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) เพื่อส่งท่านไปยังเยเมน และศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวกับท่านว่าให้ส่งตัวคอลิด บินวะลีดและเพื่อนร่วมทางของเขากลับสู่มะดีนะฮ์ อย่างไรก็ตามท่านศาสดาได้กล่าวว่า หากมีใครจากพวกเขาที่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับท่านอะลี (อ.) ต่อ ณ ที่นั้น ก็อย่าได้ห้ามเขา
บัรรออ์ บินอาซิบ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ขออยู่ต่อพร้อมกับท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) เขากล่าวว่า : เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านอะลี (อ.) ได้มายังเยเมน พวกเขาได้มาหาท่านและได้รายล้อมอยู่รอบตัวท่าน หลังจากที่ท่านอะลี (อ.) ได้นำนมาซซุบฮ์เราแล้วท่านได้ยืนขึ้น และหลังจากการสรรเสริญสดุดีพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้อ่านจดหมายของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แก่ประชาชน และในวันนั้นเองที่ประชาชนเผ่าฮัมดานทั้งหมดได้เข้ารับอิสลาม ท่านอะลี (อ.) ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพื่อแจ้งข่าวการเข้ารับอิสลามของชาวฮัมดานซึ่งเป็นเผ่าสำคัญของเยเมน เมื่อท่านศาสดาได้อ่านจดหมายของท่านอะลี (อ.) ท่านรู้สึกปิติยินดีอย่างมากและได้ทำการซุหญูดขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า และหลังจากเงยขึ้นจากซุหญูดท่านกล่าวว่า
السلام على همدان، السلام على همدان
“ขอความสันติจงมีแด่ฮัมดาน ขอความสันติจงมีแด่ฮัมดาน” และหลังจากนั้นไม่นานเผ่าอื่นๆ ของเยเมนก็เปลี่ยนมาเข้ารับอิสลาม
(อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่มที่ 1, หน้าที่ 62 ; บิฮารุลอันวาร, เล่มที่ 21, หน้าที่ 363)
เหตุการณ์นี้นอกจากจะถือว่าเป็นความประเสริฐประการหนึ่งสำหรับท่านอิมามอะลี (อ.) แล้ว ยังถือเป็นความประเสริฐประการหนึ่งสำหรับชาวเยเมนอีกด้วยที่ได้เข้ารับอิสลามโดยมือของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอิสลามหลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และดูเหมือนว่าการที่พวกเขาไม่เข้ารับอิสลามโดยการเชิญชวนของคอลิด บินวะลีดนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธหรือต่อต้านอิสลาม แต่ด้วยเหตุผลเพื่อที่จะได้รับการยกย่องเชิดชูที่งดงามที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดแก่พวกเขา และนั่นก็คือการเข้ารับอิสลามโดยมือของท่านอิมามอะลี (อ.)
“ใครก็ตามที่รักชาวเยเมนเขาก็รักฉันด้วย และใครที่เกลียดชังพวกเขาดังนั้นเขาก็เกลียดชังฉันด้วย” : ท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) ได้รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านกล่าวว่า
مَنْ أَحَبَّ أَهْلَ الْيَمَنِ فَقَدْ أَحَبَّنِي وَ مَنْ أَبْغَضَهُمْ فَقَدْ أَبْغَضَنِي
“ใครก็ตามที่รักชาวเยเมน ดังนั้นเขาก็รักฉันด้วย และใครที่เกลียดชังพวกเขา ดังนั้นเขาก็เกลียดชังฉันด้วย”
(กะมาลุดดีน วะตะมามุนเนี๊ยะอ์มะฮ์, เล่มที่ 2, หน้าที่ 541 ; กันซุลฟะวาอิด, เล่มที่ 2, หน้าที่ 15 ; บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 34, หน้าที่ 333)
กลุ่มชนของชุอัยบ์ (อ.) และนักวิชาการที่ดีของมูซา (อ.) : อิบนิอับบาสได้เล่าว่า คราใดก็ตามที่กลุ่มชนจากชาวเยเมนได้เข้ามาพบท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านจะกล่าวว่า
مرحبا برهط شعيب و احبار موسى
“ยินดีต้อนรับวงศ์วานของชุอัยบ์และปวงปุโรหิต (ปวงปราชญ์) ของมูซา”
(อัลอุซูล อัซซิตตะ อะชัร, หน้าที่ 251 ; บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 57, หน้าที่ 222)
จากริวายะฮ์ (คำรายงาน) บทนี้สามารถรับรู้ได้ว่า วงศ์วาน (เราะฮ์ฏุน) ของศาสดาชุอัยบ์ (อ.) ซึ่งเป็นหมู่ชนของศาสดาชุอัยบ์ (อ.) ให้ความเคารพรัก และปวงปราชญ์ (ปุโรหิต) ที่ปฏิบัติตามศาสดามูซา (อ.) นั้นคือชาวเยเมนหรือมีเชื้อสายเป็นชาวเยเมน
ลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตามายังฉันจากเยเมน : ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า
إِنَ نَفَسَ الرَّحْمَنِ يَأْتِينِي مِنْ قِبَلِ الْيَمَنِ فَحَيِيَتْ بِذَلِكَ النَّفَسِ صُورَةُ الْإِيمَان
“แท้จริงลมหายใจของ (พระผู้เป็นเจ้า) ผู้ทรงเมตตา จะมายังฉันจากเยเมน โดยที่รูปลักษณ์ (และรากฐาน) ของความศรัทธาจะมีชีวิตขึ้นด้วยลมหายใจนั้น”
(อะวาลิลละอาลี, เล่มที่ 4, หน้าที่ 97)
เนื้อหาที่คล้ายคลึงกันนี้ถูกรายงานไว้ในอีกรูปหนึ่งว่า
إِنَّ الإِيمَانَ يَمَانٍ ، وَإِنَّ الْحِكْمَةَ يَمَانِيَةٌ ، وأَجِدُ نَفَسَ رَبِّكُمْ مِنْ قِبَلِ الْيَمَنِ
“พึงรู้เถิดว่าแท้จริงความศรัทธานั้นแบบชาวเยเมน และวิทยปัญญานั้นแบบเยเมน และฉันจะสัมผัสลมหายใจของพระผู้อภิบาลของพวกท่านจากทิศทางของเยเมน”
(มุสนัด อะห์มัด อิบนิฮันบัล, เล่มที่ 3, หน้าที่ 541)
ในการอธิบายริวายะฮ์บทนี้ บรรดามุฮัดดิษีน (นักรายงานฮะดีษ) ได้กล่าวว่า เนื่องจากชาวเยเมนและรวมทั้งชาวอันซ๊อรซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวเยเมนเป็นกลุ่มชนที่ให้การสนับสนุนศาสดา (ซ็อลฯ) มากที่สุด ท่านจึงได้ยกย่องเชิดชูพวกเขาเช่นนี้
ชาวเยเมนเป็นคนที่มีเมตตา มีจิตใจอ่อนโยนและมั่นคงในการเชื่อฟัง : ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวเกี่ยวกับชาวเยเมนไว้ว่า
أَهلُ اليَمنِ هُمْ أَرَقُّ قُلوباً وأَلْيَنُ أَفئدةً وأَبْخَعُ طَاعَةً
“ชาวเยเมนมีจิตใจเมตตาและอ่อนโยน เป็นผู้ที่มีความจริงใจและมั่นคงในการเชื่อฟังมากที่สุด”
(ชัรห์ อุซูลุลกาฟี, มุลลา มาซันดารอนี, เล่มที่ 4, หน้าที่ 281)
ความภาคภูมิใจที่ไม่มีใครเหมือนสำหรับชาวเยเมนในหนังสือ “อัลฆ็อยบะฮ์” ของนุอ์มานี ได้รายงานจากญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อัลอันซอรี ซึ่งเล่าว่า : ชาวเยเมนได้มาพบท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ด้วยใบหน้าที่เบิกบานและมีความสุข เมื่อพวกเขาเขาไปยังท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ท่านกล่าวว่า “หมู่ชนผู้มีจิตใจเมตตาสงสาร มีศรัทธาที่มั่นคงแข็งแกร่ง และมันซูร (ผู้ได้รับการช่วยเหลือ) จะมาจากพวกเขา เขาจะยืนหยัดขึ้นพร้อมกับนักต่อสู้จำนวนเจ็ดหมื่นคน เพื่อช่วยเหลือลูกหลาน (คอลัฟ) ของฉันและลูกหลานของผู้สืบทอด (วะซีย์) ของฉัน สายสะพายดาบของพวกเขาคือมะซัด (เชือกที่ทำจากเส้นใยหรือใบของต้นอินทผาลัม)”
พวกเขาได้กล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! วะซี (ผู้สืบทอด) ของท่านคือใคร” ท่านกล่าวว่า “คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงบัญชาให้พวกท่านยึดมั่นต่อเขา โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا
“และพวกเจ้าจงยึดมั่นต่อสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมเพียงกันและจงอย่าแตกแยกกัน”
(อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 103)
พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! โปรดอธิบายแก่พวกเราเถิดว่าสายเชือกนี้คืออะไร” ท่านกล่าวว่า “มันคือพระดำรัสของอัลลอ์ที่ทรงตรัสว่า
إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
“(ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ) นอกจากการยึดสายเชือกหนึ่งจากอัลลอฮ์ และสายเชือกหนึ่งจากมนุษย์”
(อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 112)
“โดยที่สายเชือกจากอัลลอฮ์นั้นคือคัมภีร์ของพระองค์ และสายเชือกจากมนุษย์นั้นคือวะซี (ผู้สืบทอด) ของฉัน” พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! วะซี (ผู้สืบทอด) ของท่านคือใคร”
ท่านกล่าวว่า “คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเขาว่า
أَن تَقُولَ نَفْسٌ يَا حَسْرَتَا عَلَىٰ مَا فَرَّطتُ فِي جَنبِ اللَّهِ
“(หรือก่อนที่จะถึงวาระที่) แต่ละชีวิตจะพากันกล่าวว่า โอ้ความเศร้าโศกเสียใจของข้าเอ๋ย! เป็นเพราะการละเลยของข้าต่อสิ่งที่อยู่เคียงข้างอัลลอฮ์”
(อัลกุรอานบท อัซซุมัรโองการที่ 56)
พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! สิ่งที่อยู่เคียงข้างอัลลอฮ์นั้นคืออะไร” ท่านกล่าวว่า “เขาคือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเขาว่า
وَيَوْمَ يَعَضُّ الظَّالِمُ عَلَىٰ يَدَيْهِ يَقُولُ يَا لَيْتَنِي اتَّخَذْتُ مَعَ الرَّسُولِ سَبِيلًا
“และวันที่ผู้อธรรมจะกัดมือของเขาแล้วจะกล่าวว่า โอ้ความหวังของฉัน! ฉันน่าจะยึดแนวทางอยู่กับศาสนทูต”
(อัลกุรอานบทอัลฟุรกอน โองการที่ 27)
“เขาคือวะซี (ผู้สืบทอด) ของฉัน และเป็นแนวทางไปสู่ฉันภายหลังจากฉัน” พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! ด้วยสิทธิของ (อัลลอฮ์) ผู้ทรงแต่งตั้งท่านมาพร้อมด้วยสัจธรรม โปรดทำให้พวกเราได้เห็นเขาเถิด พวกเราปรารถนาที่จะได้เห็นเขา”
ท่านกล่าวว่า “เขาคือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์สำหรับปวงศรัทธาชนผู้มีวิจารณญาณ ดังนั้นหากพวกท่านได้มองไปยังเขาด้วยการมองของผู้ที่มีหัวใจหรือผู้ที่มีหูในการรับฟังโดยที่เขาเป็นสักขีพยานแล้ว พวกท่านก็จะรู้ได้ว่าเขาคือวะซี (ผู้สืบทอด) ของฉัน เหมือนกับที่พวกท่านรู้ว่าฉันคือศาสดาของพวกท่าน พวกท่านจงค้นหาดูในแถวทั้งหลายและจงตรวจสอบดูใบหน้าทั้งหลายเถิด ผู้ใดก็ตามที่หัวใจของพวกท่านโน้มเอียงไปยังเขา เขาก็คือบุคคลผู้นั้น เนื่องจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกริกเกียรติผู้ทรงเกรียงไกร ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า
فَاجْعَلْ أَفْئِدَةً مِّنَ النَّاسِ تَهْوِي إِلَيْهِمْ
“ดังนั้นขอพระองค์ทรงทำให้จิตใจของปวงมนุษย์โน้มเอียงไปสู่ความรักในพวกเขาด้วยเถิด”
(อัลกุรอานบทอิบรอฮีม โองการที่ 37)
“ทั้งโน้มเอียงไปสู่ความรักในตัวเขาและในตัวเชื้อสายของเขา”
ญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อัลอันซอรี ได้กล่าวว่า : อบูอามิร อัลอัชอะรี ได้ยืนขึ้นท่ามกลางชาวเผ่าอัชอัร และอบูฆุรเราะฮ์ อัลเคาลานี ได้ยืนขึ้นท่ามกลางชาวเผ่าเคาลานและศ็อบยาน และอุษมาน บินเกซและอุรนะฮ์ อัดเดาซี ก็ได้ยืนขึ้นท่ามกลางชาวเผ่าเดาซ์ และลาฮิก บินอะลาเกาะฮ์ก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน พวกเขาได้มองไปยังแถวต่างๆ และตรวจสอบดูใบหน้าทั้งหลาย และพวกเขาได้จับไปที่มือของท่านอะลี (อ.) และกล่าวว่า “หัวใจของพวกเราโน้มเอียงไปยังบุคคลผู้นี้ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์!” ดังนั้นท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงกล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์ พวกท่านรู้จักวะซี (ผู้สืบทอด) ของศาสนทูตของอัลลอฮ์ก่อนที่พวกท่านจะถูกแนะนำให้รู้จักเขา และพวกท่านก็รู้ว่าวะซีของฉันคือเขาผู้นี้”
ในช่วงเวลานั้นเองพวกเขาได้ร้องไห้ด้วยเสียงดัง พร้อมกับกล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! พวกเราได้มองไปยังแต่ละคนของกลุ่มชนเหล่านี้ แต่หัวใจของพวกเราไม่โน้มเอียงไปยังพวกเขาเลย แต่เมื่อพวกเราได้มองเห็นเขา (อะลี) หัวใจของพวกเราก็สั่นเทา จากนั้นจิตใจของพวกเราก็รู้สึกสงบมั่น ตับไตของพวกเราผันผวน ดวงตาของพวกเราต้องหลั่งน้ำตา และจิตใจของพวกเราเย็นฉ่ำและเกิดความสงบ ประหนึ่งว่าเขาคือบิดาของพวกเราและพวกเราเป็นลูกๆ ของเขา” ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
وَ مَا يَعْلَمُ تَأْوِيلَهُ إِلَّا اللَّهُ وَ الرَّاسِخُونَ فىِ الْعِلْم
“และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่เชี่ยวชาญในความรู้เท่านั้น”
(อัลกุรอานบทอาลุอิมรอน โองการที่ 7)
“เนื่องจากสถานะที่พวกท่านมีต่อพวกเขา (อะฮ์ลุลบัยต์) ทำให้พวกท่านได้รับความดีงามจากอัลลอฮ์ และพวกท่านคือผู้ที่ห่างไกลจากไฟนรก”
ญาบิรได้กล่าวว่า : บรรดาหมู่ชน (ชาวเยเมน) ผู้มีวิจารณญาณเหล่านี้ได้คงอยู่ (ในมะดีนะฮ์) จนกระทั่งได้เข้าร่วมในสงครามญะมั้ลและสงครามซิฟฟีนเคียงข้างท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) และอัลลอฮ์ทรงเมตตาพวกเขาทั้งหมด โดยที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้แจ้งข่าวดีต่อพวกเขาด้วยสรวงสวรรค์ และได้บอกแก่พวกเขาว่า พวกเขาจะเป็นชะฮีด (พลีชีพ) เคียงข้างท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ.) (อัลฆ็อยบะฮ์, นุอ์มานี, หน้าที่ 39 ; บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 36, หน้าที่ 112)
มัรฮูมอายะตุลลอฮ์มีรซาอบุลฮะซัน ชะอ์รอนี (เสียชีวิตในวันที่ 7 เดือนเชาวาล ฮ.ศ.1393) ได้เขียนในเชิงอรรถของท่านในหนังสือ “ชัรห์ อุซูลุลกาฟี” ของ “มุลลาซอและห์ มาซันดารอนี” เกี่ยวกับชาวเยเมนว่า : ชาวเยเมนได้รับการยกย่องเชิดชูไว้ในฮะดีษ (วจนะ) จำนวนมากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กระทั่งว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า
أَجِدُ نَفَسَ الرحمان مِنْ قِبَلِ الْيَمَنِ
“ฉันสัมผัสลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตามาจากทิศทางของเยเมน”
ชาวเยเมนเป็นชีอะฮ์มาแต่เดิมและมัซฮับชีอะฮ์นั้นได้แผ่ขยายออกไปทั่วโลกโดยสื่อพวกเขา และท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) คือบุคคลแรกที่ได้ชี้นำทาง (ฮิดายะฮ์) พวกเขามาสู่อิสลามโดยคำสั่งของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ส่วนใหญ่ของชาวชีอะฮ์ในเมืองกูฟะฮ์คือชนเผ่าต่างๆ ที่อพยพไปจากเยเมน และชาวเผ่าอัชอัร (อัชอะรี) ซึ่งได้อพยพไปยังเมืองกุม (ประเทศอิหร่าน) ก็เป็นชาวเยเมน และเป็นสาเหตุทำให้สายธารชีอะฮ์แผ่ขยายอย่างกว้างขวางจากเมืองกุมไปสู่เมืองอื่นๆ
ชาวเยเมนรอดพ้นจากการรุกรานของชาวมองโกล ตรงข้ามกับประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ที่ยังคงดำรงมั่นอยู่บนหลักการต่างๆ ของอิสลามในการปกครองของพวกเขา และวัฒนธรรมของฝรั่งมังค่า จารีตของชาวคริสต์และขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรดาผู้ปฏิเสธ (กุฟฟาร) ที่อันตรายและความเสียหายของมันที่มีต่ออิสลามและชาวมุสลิมนั้นก็มีมากยิ่งกว่าการรุกรานของมองโกล แต่จวบจนถึงยุคสมัยของเราก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อชาวเยเมนเลย และจนถึงขณะนี้พวกเขายังมั่นคงอยู่บนบทบัญญัติ (อะห์กาม) และมารยาทต่างๆ แบบอิสลาม และในทุกพื้นที่พวกเขาสามารถต้านทานอารยธรรมตะวันตกและรักษามรดกของอิสลามไว้ได้
อินชาอัลลอฮ์ (หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์) ขอพระองค์โปรดทรงพิทักษ์ปกป้องพวกเขาจากการกระซิบกระซาบของบรรดามารร้าย (ชัยฏอน) ชาวฝรั่ง และทรงทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่บนแนวทางอันเที่ยงตรงของอิสลาม และขอพระองค์ทรงโปรดชี้นำชาวมุสลิมทั้งหลายไปสู่แนวทางของประชาชนชาวเยเมน และด้วยสิทธิของมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และวงศ์วานของมุฮัมมัด (อ.) ขอพระองค์ทรงทำให้อุตริกรรม (บิดอะฮ์) ความหลงผิด ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกปฏิเสธ (กุฟฟาร) ห่างไกลจากพวกเขาด้วยเถิด (ชัรห์ อุซูลุลกาฟี, เล่มที่ 4, หน้าที่ 281)
ขอขอบคุณเว็บไซต์ islamicstudiesth.com
แสดงความเห็น