ผ่ากระแสโลกตะวันออกกลาง วิเคราะห์สถานการณ์ในตะวันออกกลาง

ผ่ากระแสโลกตะวันออกกลาง วิเคราะห์สถานการณ์ในตะวันออกกลาง

 

ด้วยพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงกรุณา ปราณี ยิ่งเสมอ

 

สถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นสถานการณ์ที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะเกิดการพลิกผัน แปรปวน และมีสมาชิกใหม่ๆเข้าสู่สมรภูมิอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศึกถล่มเยเมน ของพี่เบิ้มจากโลกอาหรับ นำโดยซาอุดิอาราเบีย และพันธมิตรที่มาจากชาติอาหรับ หรือการประกาศทำสงครามปราบปรามไอซีส โดยกองทัพหมีขาว ของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ล้วนเป็นที่จับตาของประชาคมโลกยิ่งนัก

 

 เริ่มต้นศตวรรษที่21 สมรภูมิแห่งศึกสงคราม ล้วนตกอยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งมีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ มีเหตุผลใดและมีเป้าหมายเพื่ออะไร?

เป็นที่ยอมรับว่า อิทธิพลของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กำลังขยายออกสู่ประเทศในตะวันออกกลาง หลังเกิดเหตุการณ์ “การตื่นตัวของโลกอิสลาม หรือ อาหรับสปริง” อิหร่านยืนหยัดต่อสู่กับชาติมหาอำนาจ ที่ปิดล้อมเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนหรืออื่นๆ มากกว่า36ปี แต่กลับสามารถประกาศความเป็นชาติมหาอำนาจ ในตะวันออกกลางได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางแรงกดดันจากกลุ่มประเทศอาหรับและชาติตะวันตก

 

สหรัฐพยายามส่งออกอิทธิพลและอำนาจของตนที่มีอยู่ เพื่อเป็น “อำนาจครอบงำ หรือ Hegemony” ในการเป็นอำนาจหนึ่งเดียวในโลก แต่ประสบปัญหาจากขั่วอำนาจซีก คอมมิวนิสต์ นำโดย รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และบางประเทศจากลาตินอเมริกา และอีกขั่วอำนาจหนึ่ง ก็คือจากโลกอิสลาม นำโดยอิหร่าน ซีเรียและเลบานอน สหรัฐ ชาติตะวันตก และอิสราเอล จึงระดมมันสมองเพื่อผลึกกำลัง และสรรหายุทธวิธีใหม่ ในการเผชิญหน้า

 

สหรัฐ อิสราเอลและชาติตะวันตก จึงต้องหามาตรการใหม่ ในการทำลายอิหร่าน และโลกอิสลาม และจึงนำ “ทฤษฏีเคออส หรือ Chaos Theory” มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ทฤษฎีดังกล่าว ยังไม่มีการบัญญัติศัทพ์ในภาษาไทยอย่างเป็นทางการ แต่ที่เรียกใช้กันคือ “ทฤษฎี สับสนอลหม่าน ทฤษฎีแห่งความยุ่งเหยิง ทฤษฎีไร้ระบบระเบียบ หรือทฤษฎีสร้างความโกลาหล” ทฤษฎีดังกล่าว มักนำใช้ในเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือวิทยาศาสตร์ แต่ปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ กลับมาใช้ เพื่อเป็นกรอบและแบบแผนของการขับเคลื่อน นโยบายต่างประเทศ ของชาติมหาอำนาจ กล่าวคือ ทฤษฎีเคออส มีปัจจัยที่สำคัญ ในการกำหนดสภาพความเป็นไปของปรากฏการณ์ หรือระบบ คือ Initial Condition ( เงื่อนไขเริ่มต้น หรือจุดเริ่มต้น) เพราะการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน จะทำให้เกิดผลที่แต่งต่างเช่นกัน นั้นหมายถึง ในความโกลาหล สับสนอลหม่าน หรือยุ่งเหยิง ดูเหมือนว่า จะไม่มีความเป็นระบบระเบียบอยู่ แต่ในความจริงแล้ว ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีความเป็นระบบระเบียบที่ซ้อนกันอยู่ หมายถึงการเข้ามาแทรงแซงโดยตรง ของเหล่านักล่าอาณานิคมปัจจุบัน ต่อกลุ่มประเทศ ที่กำลังเผชิญกับความวุ่นวายภายในอยู่ โดยการแอบอ้างถึง การจัดระเบียบใหม่ให้ประเทศนั้น จึงเป็นที่มาของการเกิดปฏิวัติรัฐประหาร หรือเกิดสงครามกลางเมืองในบางประเทศ ซึ่งมีชาติมหาอำนาจคอยกุมบังเหียนอยู่เบื้องหลัง และรอจังหวะที่จะเข้ามาแทรกแซง

 

ยุทธศาสตร์การสร้างและการทำลายจึงอุบัติขึ้น หมายถึงการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ดังเช่น ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อสองเป้าหมายหลักด้วยกัน หนึ่ง เพื่อเกิดการไร้เสถียรภาพความมั่นคง ประชาชนต่างอพยพหนีตายอย่างโกลาหล บ้านเมืองถูกทำลาย ไร้ระบบระเบียบ แล้วตนจะเข้ามาสร้างระเบียบใหม่ให้เกิดขึ้น นั้นหมายถึง อำนากองทัพของตน จะอยู่ เพื่อรักษาความสงบสุขให้เกิดขึ้น เสมือนที่อิรัค หลังจากที่ตนได้ทำลายลงไปก่อนหน้า ในกรณีในซีเรีย เมื่อความวุ่นวายเกิดขึ้น หมายถึงความมั่นคงของอิสราเอล จะถูกรับประกันทันที และเป็นที่มาของการปรากฏตัวขบวนการก่อการร้ายในนามไอซีส (ISIS) ที่สหรัฐและอิสราเอลเป็นผู้สร้างขึ้นมา ใช้เป็นหมากเดินเกมส์ศึกสงครามนี้ ในนามสงครามตัวแทน Proxy War หรือ กองทัพตัวแทน Proxy Army ในช่วงเริ่มต้นของศึกสงคราม รัฐบาลสหรัฐ ต่างปฏิเสธถึงการสร้างสงครามตัวแทน จนเมื่อประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า กล่าวในการสัมภาษณ์ของรายการ 60 Minutes เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลสหรัฐ ในการทุ่มงบประมาณถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ( 1.7หมื่นล้านบาท) ที่ใช้ในการสร้างกองทัพตัวแทน เพื่อปฏิบัติการในซีเรีย โดยสหรัฐ ออกมายอมรับว่า เขาคือผู้ที่สนับสนุนกลุ่มกบฏในซีเรีย เพื่อให้ต่อสู่กับรัฐบาล บัชชาร อัลอะซัด จนประชาชนผู้บริสุทธิ์ ล้วนถูกสังเวยลง จากอาชญากรรมที่ชาติมหาอำนาจได้สร้างขึ้นมา

 

สอง เพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น ต่อประชาชาติอิสลาม ในเรื่องความต่างทางนิกายหรือมัซฮับ เพราะอิหร่านกำลังถูกนำเสนอ ให้เป็นหนึ่งในต้นแบบ หรือโมเดล แห่งการปกครองรัฐอิสลาม มหาอำนาจจึงต้องปลุกปั่น ให้โลกอิสลาม เกิดการต่อสู่ระหว่างนิกาย และส่งออกแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา เพื่อเป็นเครื่องมือ ในการสร้างกระแสความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอิสลาม และทำให้ “อิหร่านโมเดล” นั้น ถูกลบออกจากสังคมอิสลาม โดยการสร้างผู้รู้นอกรีต ที่มาจากนิกายชีอะห์ ทั้งที่อยู่สหรัฐและอังกฤษ และใช้อุลามา ราชสำนักจากสำนักคิดวะฮาบี เพื่อสนองความต้องการของตน ในการออกคำสั่งทางศาสนา หรือคำวินิจฉัย(ฟัตวา) ที่ขัดต่อหลักความเป็นจริง เช่น ชีอะห์ไม่ใช่อิสลาม หรือนำเสนอแนวคิดที่รุนแรง เพื่อนำไปสู่การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย ดังเช่น กลุ่มตักฟีรี (ยัดเยียดการเป็นผู้ปฏิเสธให้ผู้อื่น)

ศัตรูอิสลาม ทำทุกวิธีทาง ให้เกิดความแตกแยก ระหว่างประชาชาติอิสลาม เกิดการเข่นฆ่า การล้างแค้น และนำมาซึ่งความสูญเสีย ความมั่งคงของโลกอิสลาม ก็จะทยอยหายไป ท่านอิมามซัยยิดอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านจึงกล่าวว่า “ทั้งชีอะห์ที่มาจากสหรัฐและอังกฤษ และซุนนีที่เรียกร้องสู่ความแตกแยกในประชาชาติอิสลาม ทั้งสอง คือพลพรรคของชัยฏอนมารร้าย” โดยท่านผู้นำสูงสุดมีความเชื่อว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนเป็นแผนการที่เตรียมไว้ล่วงหน้า จากสหรัฐและอิสราเอล เพราะการที่ชาติมุสลิมห่ำหันกัน จะทำให้ลืมประเด็นสำคัญในเรื่องปาเลสไตน์ และอิสราเอลจะรู้สึกปลอดภัยจากโลกอิสลามขึ้นมาทันที

 

สถานการณ์ในเยเมน คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญในตะวันออกกลาง อาจมีคำถามขึ้นมาได้ว่า เหตุใด ซาอุดิอาราเบีย ถึงปฏิบัติการในเยเมน ซาอุดิอาราเบีย จะได้อะไรจากสงครามนี้ และทำไมอาหรับบางชาติ ถึงกระโดดเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า สาเหตุที่หนึ่ง การปรากฏของกลุ่ม ไอซีส(ISIS) ในตะวันออกกลาง ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ซาอุดิอาราเบีย และอาหรับบางชาติ เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของ บัชชาร อัลอะซัดในซีเรีย และการโค่นล้มรัฐบาล นูรี มาลิกี ของอิรัค ซึ่งหมายถึง การโค่นล้มสองรัฐบาล ที่มีอิหร่านให้การสนับสนุนอยู่ในภูมิภาค และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น อิสราเอลจะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ จากชัยชนะของสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะซีเรียและเลบานอนเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสราเอลมาอย่างช้านาน ถ้าสามารถกำจัดสองชาตินี้ได้ อิสราเอลจะมีความมั่นคงในระดับสูงสุด อิหร่านจึงต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพื่อสกัดกั้น แผนการร้ายของศัตรูอิสลาม และซาอุดิอาราเบีย เพราะรัฐบาลซาอุดิอาราเบีย มีความเชื่อมั่นว่า เขาสามารถพิชิตซีเรียในเร็ววัน ดังคำรายงานของ บันดัร บิน ซุลฏอน อดีตหัวหน้าข่าวกรองซาอุดิอาราเบีย ต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ หลังจากสงคราม ได้เริ่มต้นขึ้นเพียงหกเดือน ว่า “เราสามารถจบสงครามในซีเรียได้อย่างรวดเร็ว” แต่จนถึงขณะนี้ สงครามในซีเรีย ยืดเยื้อมากกว่าสี่ปี ท่อน้ำเลี้ยงอย่างมหาศาล จากชาติตะวันตก และราชวงศ์ซาอูด ไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลบัชชารได้ เพราะมีอิหร่านหนุนอยู่

 

สอง การต่อสู้ในซีเรีย หมายถึงสงครามตัวแทน ระหว่างซาอุดิอาราเบียและอิหร่านในภูมิภาค เพื่อรักษา ภูมิรัฐศาสตร์ ( Geopolitics) หมายถึงการขยายอำนาจความมั่นคงในภูมิภาค เช่นใน อิรัค บะฮ์เรน และเยเมน การลุกขึ้น และการปฏิวัติของประชาชน ร่วมกับการช่วยเหลือของกลุ่มอันศอรุลลอฮ์ของเฮาซี ในการโค่นล้มการปกครองของอับดุลลอฮ์ บิน ศอเลห์ หรือมันซูร ฮาดี ซึ่งทั้งสอง ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอาราเบีย หมายถึงความพ่ายแพ้ของซาอุดิอาราเบียในภูมิภาค และเป็นความพ่ายแพ้ที่ใกล้บ้านตนเองที่สุด

 

สาม การเปลี่ยนแปลงในเยเมนที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยมีกลุ่ม เฮาซี เป็นผู้นำ หมายถึง การปรากฏตัวของอิหร่านในเยเมน การครอบครองช่องแคบ มันเดบ และเมืองท่า เอเดน จะกลับมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล และประชาชน ที่มีความชอบธรรม มากกว่าในอดีต ซึ่งทั้งสองเมืองดังกล่าว มีชายแดนติดกับซาอุดิอาราเบีย จะทำให้ความมั่นคงของซาอุดิอาราเบีย และชาติอาหรับบางชาติ ที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐสั่นคลอนลง และด้วยเหตุผลนี้เอง พันธมิตรจากชาติอาหรับ มองเห็นถึงความสูญเสียของตนในอนาคต ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเข้าร่วมกินโต๊ะ ทำศึกสงครามต่อเยเมน เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของตน และชาติตะวันตก โดยการสร้างอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุด ในหน้าประวัติศาสตร์ คือการเข่นฆ่ามุสลิมด้วยกัน ทิ้งระเบิดใส่บ้านเรือนพลเรือน และสังหารประชาชน จนประชาชนผู้บริสุทธ์ิชาวเยเมน ทั้งเด็ก สตรี คนชรา ต่างบาดเจ็บ และล้มตายเป็นจำนวนมาก

 

ดังนั้น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง เป็นสถานการณ์ที่สำคัญ และเป็นดัชนีชี้วัด ถึงความมั่นคงของโลกอิสลาม ฝ่ายหนึ่ง แอบอ้างถึงการเป็นแกนนำของชาติมุสลิม ในขณะที่ตน จับมือกับสหรัฐและอิสราเอล สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ให้เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เป็นมุสลิม สร้างอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุด ในนามอิสลาม เสมือนกับเป็น “ฆาตกรในคราบนักบุญ” และตนก็เปิดศึกสงคราม เข่นฆ่ามุสลิมด้วยกัน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง เชิญชวนสู่เอกภาพของประชาชาติอิสลาม และยกประเด็นปัญหา “ปาเลสไตน์” ให้เป็นประเด็นที่สำคัญ และเป็นวาระเร่งด่วนของโลกอิสลาม พร้อมประกาศถึงความเป็นศัตรูต่อไซออนิสต์ อิสราเอล อย่างเปิดเผย ลองตัดสินกันดูล่ะกันว่า ใครคือมิตรและใครคือศัตรูที่แท้จริง…..

 

 บทความโดยซัยยิด มุบาร็อก ฮูซัยนี


ที่มาเว็บไซต์อัลวิลายัต

แสดงความเห็น