ผู้นำอิหร่านมีกำหนดเยือนอิตาลีและฝรั่งเศส
ผู้นำอิหร่านมีกำหนดเยือนอิตาลีและฝรั่งเศส
ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำอิหร่าน มีกำหนดเดินทางเยือนอิตาลีและฝรั่งเศสในสัปดาห์หน้าเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรป โดยการเดินทางเยือนต่างประเทศหนนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ที่นำไปสู่การที่นานาชาติยอมยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ในที่สุด
สำนักข่าวทีวีชีอะฮ์ ฝ่ายข่าวต่างประเทศ รายงานว่าการเดินทางเยือนยุโรปของประธานาธิบดีอิหร่านซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันจันทร์ (25 ม.ค.) ได้เลื่อนมาจากกำหนดเดิมเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่งเกิดการโจมตีของสมาชิกกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) 6 จุดกลางกรุงปารีสของฝรั่งเศส เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 130 ราย
การเดินทางเยือนยุโรปครั้งนี้ ประธานาธิบดีรูฮานีได้นำคณะผู้แทนระดับสูงทั้งทางการเมืองและภาคธุรกิจของอิหร่านติดตามไปด้วยและมีกำหนดเข้าพบกับทั้งประธานาธิบดีแซร์โจ มัตตาเรลลา และนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ก่อนจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในเวทีประชุมด้านเศรษฐกิจ
ผู้นำอิหร่านยังมีกำหนดเข้าพบสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ณ นครรัฐวาติกันด้วยเช่นกัน ซึ่งจะถือเป็นประธานาธิบดีอิหร่านคนแรกที่เข้าพบประมุขแห่งคริสตจักรคาทอลิกอย่างเป็นทางการถัดจากอดีต
หลังเสร็จสิ้นการเยือนอิตาลี ประธานาธิบดีของอิหร่านมีกำหนดเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส เพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำแดนน้ำหอม ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่าการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานจะเป็นหัวข้อหลักที่ผู้นำอิหร่านจะนำมาหารือระหว่างการเยือนฝรั่งเศสครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เมื่อ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านออกโรงยืนยัน โดยระบุ มาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงของนานาชาติต่อสาธารณรัฐอิสลามถูกยกเลิกหมดสิ้นแล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านนายมูฮัมหมัด ญะวาด ซาริฟ เปิดเผย ระหว่างเดินทางเยือนกรุงเวียนนา เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานการออกรายงานฉบับสุดท้ายของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่งมีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า อิหร่านได้ปฏิบัติตามทุกขั้นตอนตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับนานาชาติ รวมถึงข้อสรุปที่ว่าโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแอบแฝงในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์
อิหร่านและมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติ (กลุ่ม P5+1) ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชาติ “สมาชิกถาวร” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน บวกกับอีก 1 ประเทศมหาอำนาจจากฝั่งยุโรปอย่างเยอรมนี สามารถบรรลุความตกลงประวัติศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์กันได้เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการเจรจาแบบมาราธอนที่ใช้เวลายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ และว่ากันว่านี่อาจเป็นข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูประกาศว่าจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางทำลายล้างข้อตกลงอัปยศฉบับนี้ซึ่งฝ่ายอิสราเอลมองว่า เป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์” ของสหรัฐฯ และฝ่ายโลกตะวันตก ให้กับชาติที่ชั่วร้ายอย่างอิหร่าน
ภายใต้ข้อตกลงนี้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้มายาวนานจะถูกยกเลิก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลเตหะราน ยอมตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งสหรัฐฯ และโลกตะวันตกสงสัยมาโดยตลอดว่ามีเป้าหมายในการสร้าง “ระเบิดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานยืนกรานปฏิเสธ
ด้านสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า ผลของข้อตกลงนี้จะทำให้อิหร่านได้รับเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดไว้กลับคืนมา ขณะที่บรรดามาตรการคว่ำที่มีต่อธนาคารกลาง บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทชิปปิ้ง และสายการบินของอิหร่านจะถูกยกเลิก ถึงแม้มาตรการขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องการคว่ำบาตรห้ามซื้อขายอาวุธกับอิหร่านจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป อีก 5 ปี และห้ามอิหร่านจัดซื้อเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธอีกนาน 8 ปี
ผลประโยชน์ที่อิหร่านจะได้รับจากข้อตกลงคราวนี้อาจสร้างความกังวลต่อชาติพันธมิตรอาหรับของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่ปกครองโดยมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เชื่อว่าอิหร่านซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะห์ให้การสนับสนุนต่อศัตรูของตนทั้งในสมรภูมิที่ซีเรีย เยเมน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ในอีกด้านหนึ่ง การยุติมาตรการคว่ำบาตรทั้งปวงจะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอิหร่านเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถกลับเข้าสู่ “ตลาดน้ำมัน” ได้อีกครั้ง
แสดงความเห็น