วิถีการต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ตอนที่๒



วิถีการต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ตอนที่๒


 

 

            ข. การทดสอบประชาชาติ

 

            ธรรมชาติของอัลลอฮฺ (ซบ.) คือการทดสอบประชาชน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยมนุษย์ไปโดยปราศจากการทดสอบเด็ดขาด คนดีที่ผ่านการทดสอบจะได้รับตำแหน่งและฐานันดรอันสูงส่ง ส่วนคนไม่ดีที่ไม่ผ่านการทดสอบ จะถูกส่งไปอยู่ในสถานที่ต่ำต้อยและอัปยศที่สุด

 

            แน่นอนว่า การทดสอบสำหรับบุคคลที่อยู่ในฐานะอันสูงส่งอยู่แล้ว หรือผู้ที่ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว จะไม่ถือว่านั่นเป็นการทดสอบ เนื่องจากพวกเขาผ่านการทดสอบระดับนี้ไปแล้ว ทว่าการทดสอบบางอย่างที่มีต่อบรรดาเหล่านั้น อย่างเช่น ซัยยิดชุฮะดา (อ.) เป็นเพียงการแสดงความเคารพภักดี และการก้าวไปสู่สถานภาพที่สูงส่งยิ่งกว่า สำหรับท่านแล้วจะได้รับตำแหน่งและฐานันดรต่างๆ ในสรวงสวรรค์มากมาย แน่นอน นอกจากการเป็นชะฮีดแล้วจะไม่มีวันได้รับตำแหน่งเหล่านั้น[6]

            ตามความเป็นจริงแล้ว การทดสอบสำหรับมวลผู้ศรัทธาคือการขับเคลื่อนไปสู่ตำแหน่ง ผู้บริสุทธิ์ แต่สำหรับซัยยิดชุฮะดา (อ.) คือ การแสดงความเคารพภักดีในฐานะบ่าวผู้บริสุทธิ์ ซึ่งอัลลอฮฺได้กำหนดหน้าที่นั้นแก่ท่าน ทำนองเดียวกันสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และกระทำความผิด เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความชั่วและความเลวร้ายภายในของพวกเขา

            แน่นอนว่าประเภทต่างๆ ของการทดสอบได้มีกล่าวไว้ ทั้งจากคำพูดของท่นอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และบรรดาอิมามท่านอื่นๆ เช่น

            1) ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าวแก่กลุ่มของญินว่า “ถ้าหากฉันดำรงอยู่ในที่ของฉัน ประชาชาติที่หายนะแล้วเช่นพวกเขาเหล่านี้ จะถูกทดสอบด้วยอะไร แล้วมาตรฐานของคนดีกับคนเลวจะแยกออกจากกันได้อย่างไร[7]

            2) ในค่ำอาชูรอเมื่อพลทหารม้าของ อัมรฺ บิน สะอฺด์ ได้ออกตรวจความเรียบร้อย และขี่ม้าผ่านท่านไป ท่านได้กล่าวถึงโองการที่ว่า “อัลลอฮฺ จะไม่ทรงปล่อยมวลผู้ศรัทธาไป ขณะที่ท่านยังอยู่กับพวกเขา เพื่อว่าพระองค์จะได้จำแนกคนชั่วออกไปจากหมู่คนดี”

            3) คำเทศนาของฟาฏิมะฮฺ ซุฆรอ (อ.) กล่าวว่า “แน่นอน พวกเราคืออะฮฺลุลบัยตฺ อัลลอฮฺ ผู้ทรงเกรียงไกรทรงทดสอบพวกท่านด้วยพวกเรา และทรงทดสอบพวกเราด้วยพวกท่าน แต่การทดสอบของพวกเรานั้นดีกว่า”[8]

            4) ท่านอิมามฮะซัน (อ.) กล่าว่า “อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงทดสอบอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และเหล่าสหายของท่าน ด้วยการถูกสังหารด้วยน้ำมือของกองทัพศัตรู”[9]

 

            ค. เพื่อให้ข้อพิสูจน์ครบสมบูรณ์

 

            อีกเหตุผลหนึ่งของการยืนหยัดของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือ การทำให้ข้อพิสูจน์สมบูรณ์ สำหรับประชาชนที่ส่งจดหมายถึงท่าน เพื่อให้ท่านไปสอน และช่วยเหลือพวกเขาต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮฺ

 

 

            ง. ขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางความก้าวหน้าของอิสลาม

 

            ประวัติศาสตร์อาชูรอบันทึกไว้ว่า การต่อสู้กับฝ่ายศัตรูทุกครั้งได้เกิดขึ้นหลังจากข้อพิสูจน์ได้สมบูรณ์แล้ว ท่านได้ต่อสู้กับประชาชาติที่ปฏิเสธศรัทธา และอธรรม รายงานกล่าวว่าท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้สังหารพวกเขาเป็นจำนวนมาก จนทำให้ประชาชนลืมการสังหารของท่านอิมามอะลี (อ.) ในสงครามต่างๆ เสียด้วยซ้ำไป[10] เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การสังหารของท่านอิมาม (อ.) มิได้เกิดจากอารมณ์ความแค้นแต่อย่างใด เนื่องอารมณ์ไม่มีความคู่ควรกับตำแหน่งมะอฺซูม (ผู้บริสุทธ์) และตำแหน่งวิลายะฮฺแต่อย่างใด ซึ่งสามารถกล่าวได้ในอันดับแรกคือ การปฏิบัติตามหน้าที่ในการแสดงความเคารพภักดีของบ่าว สอง,เป็นการขจัดอุปสรรคที่คอยขัดขวางความก้าวหน้าของอิสลาม และด้วยการตระหนักของมะอฺซูมและอิมามะฮฺ การทำให้สิ่งนั้นสมจริงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ดังเช่น นะบีนูฮฺ (อ.) ขณะสาปแช่งหมู่ชนของท่าน ท่านกล่าวว่า “นูฮฺกล่าวว่า โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ ขออย่าได้ปล่อยให้พวกปฏิเสธหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินแม้แต่คนเดียว เพราะถ้าพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ พวกเขาจะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขาจะให้กำเนิดเฉพาะพวกเลวทราม และพวกปฏิเสธเท่านั้น[11]

 

            จ. สำแดงการญิอาดให้ประจักษ์ชัดทั้งการญิฮาดใหญ่และเล็ก

            การ ญิฮาดในอิสลามมี 2 ชนิด ได้แก่การญิฮาดอักบัร (สงครามใหญ่) หมายถึงการต่อสู้กับจิตใจและอำนาจฝ่ายต่ำของตน สงครามครั้งหนึ่งหลังจากการสงครามเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาเซาะฮาบะฮฺได้กล่าวขอบคุณอัลลอฮฺ พร้อมกับแสดงความดีใจว่าการสงครามได้ยุติลงแล้ว ท่านนะบี (ซ็อลฯ) กล่าวว่า ส่งครามที่เสร็จสิ้นไปนั้นเป็นเพียงสงครามเล็กๆเท่านั้น แต่ยังมีสงครามใหญ่ยังรอพวกท่านอยู่ บรราเซาะฮาบะฮฺ ได้ถามว่ายังมีสงครามยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหรือ ท่านนะบี (ซ็อลฯ) ตอบว่า “ใช่ และนั่นคือ การต่อสู้กับจิตใจและอำนาจฝ่ายต่ำของตน” ส่วนสงครามอีกประเภทหนึ่งคือการ ญิฮาดอัซฆัร หมายถึงสงคราเล็กคือ การต่อสู้กับศัตรูด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือการทำสงครามนั่นเอง ดังนั้น ตั้งมากหมายที่บางคนเป็นวีรบุรุษของสงรามเล็ก แต่พ่ายแพ้ชนิดราบคาบในสงครามใหญ่ และทั้งสองสงครามนั้น ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) พร้อมกับสหายของท่านได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตาแล้วว่า ท่านคือผู้ชนะทั้งสองสงคราม เพราะก่อนเดินทางออกจากมะดีนะฮฺ อัมมะริบนิ สะอฺดฺ ได้เสนอให้ท่านเป็นผู้ปกครองเมืองเรย์ แทนการเดินทางไปมักกะฮฺ แต่ท่านปฏิเสธตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์เหล่านั้นโดยสิ้นเชิง โดยทดแทนตำแหน่งผู้ปกครองเมืองเรย์ ด้วยการเป็น นายแห่งบรรดาชะฮีด (ซัยยิดุชชุฮะดา)

            ส่วนสงครามอัซฆัร นั้นท่านได้ต่อสู้กับศัตรูอย่างองกาจกล้าหาญ ด้วยศักดิ์ศรีของอะฮฺลุลบัยตฺ ไม่ยอมก้มศีรษะให้ศัตรู จนกระทั่งถูกทำชะฮาดัต ซึ่งทั้งสองสงครามนี้ ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้นำเสนอทั้งขบวนการ และวิถีการต่อสู้แก่สังคม ซึ่งไม่ว่าผู้ใดก็ตามได้เจริญรอยตามแบบอย่างของท่าน ล้วนแต่ได้รับชัยชนะทั้งสิ้น ดังตัวอย่างการปลดปล่อยประเทศอินเดีย ให้ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ โดยน้ำมือของ มหาคานธีร์ หรือการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน โดยน้ำมือของท่านอิมามโคมัยนี

           

สรุป

            การต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือ แบบอย่างที่แท้จริงของการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ เป็นแบบอย่างที่หลุดพ้นจากอัตราตัวตน ความเห็นแก่ตัว และพรรคพวกเพื่อนพ้อง โดยมีเจตนาเพื่ออัลลอฮฺ และมีความจริงใจเพื่อพระองค์ ด้วยเหตุนี้เองแบบอย่างการต่อสู้ของท่านจึงยั่งยืน และถูกกล่าวขานถึงแม้จะนานเพียงใดก็ตาม ผิดแปลกไปจากการต่อสู้ของคนอื่น เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานขบวนการต่อสู้เหล่านั้น ก็ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น หรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญอีกต่อไป

           

           

 

 

 

 

[6] บิฮารุลอันวาร เล่ม 44, หน้า 328

[7] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 331

[8] ซะรีอะตุล นะญาฮฺ หน้า 172

[9] บิฮารุลอันวาร เล่ม 45, หน้า 90 รายงานที่ 29

[10]  ซะรีอะตุล นะญาฮฺ หน้า 135, 136

[11] นูฮฺ 26-27

แสดงความเห็น