วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๕



วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๕


 

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของเอกองค์อัลลอฮฺ (ซบ.)ขอความจำเริญอันประเสริฐสุด พึงมีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)ผู้บริสุทธิ์ยิ่ง และแด่ลูกหลานผู้ทรงเกียรติของท่าน

สิ่งที่บทความนี้จะกล่าวถึง คือ เรื่องพินัยกรรมในวันพฤหัสทมิฬแห่งช่วงชีวิตอันจำเริญของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เนื่องจากในวันดังกล่าวท่านศาสดาได้สั้่งให้นำเอากระดาษและปากกามาให้ท่านเพื่อบันทึกข้อความบางอย่าง แต่บังเอิญว่าเกิดความขัดแย้งในหมู่สาวกของท่านขึ้นเสียก่อน ซึ่งบางสนับสนุนให้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดา แต่บางคนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้นเนื่องจากศาสดาป่วยหนักเกรงว่าจะเป็นการรบกวนท่าน จึงห้ามปรามและขัดขวางมิให้มีการบันทึกพินักกรรมนั้น แต่สิ่งที่ปรารถนาให้บรรดามุสลิมทั้งหลายร่วมพิจารณากันก่อนเป็นอันดับแรก คือ ความจำเป็นในการบันทึกพินัยกรรม

การบันทึกพินัยกรรมเป็นแบบฉบับอันดีงามของมนุษยชาติ นับตั้งแต่มนุษย์นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะการบันทึกพินัยกรรมนั้นเปรียบดังสายเชือกที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ด้วยกันเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ชนรุ่นก่อนได้ทำไว้แด่ชนรุ่นหลัง และยังช่วยให้ชีวิตทางด้านปัจเจกบุคคล หรือสังคมส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบครอบครัวนั้นอยู่อย่างมีระเบียบและ สันติ  การทำพินัยกรรม ยังช่วยลดและป้องกันปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ชนรุ่นหลัง  และยังถือว่าเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ ของชนรุ่นก่อนที่เคยประสบมาแก่ชนรุ่นหลังเพื่อจะได้สืบทอดเจตนารมณ์อันดีงามนั้นต่อไป.


ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มาจากอัลลอฮฺ (ซบ.)ได้ให้ความสำคัญต่อแบบฉบับอันดีงามอันนี้ (การบันทึกพินัยกรรม) นับตั้งแต่ท่านศาสดาอาดัม (อ.) เรื่อยมาจนถึงท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)  ซึ่งได้มีบันทึกไว้ในหนังสือ ฮะดีซ (คำสั่งสอนที่มาจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ) และในพระมหาคัมภีร์อัล-กรุอาน ซึ่งมุสลิมทุกคนนั้นได้ยึดมั่นนำเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิตตลอดเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราพิจารณาไปยังหน้าประวัติศาสตร์ จะพบว่าท่านศาสดาทุกคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย ได้ทำแบบฉบับดีงามอันนี้ตลอดเรื่อยมา ซึ่งทั้งฮะดีซและประวัติศาสตร์ได้เน้นถึงการทำพินัยกรรมของบรรดาศาสดาที่มีต่อผู้สืบตำแหน่งภายหลังจากท่าน ที่มีหน้าที่ในการนำประชาชาติไปสู่ความดีงามต่างๆ  พวกเขาเป็นหุจญัติ (เหตุผล) สำหรับประชาชาติ และเป็นหลักประกันแห่งความอยู่รอดของสารธรรม

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)ได้กล่าวว่า:


قال رسول الله  (ص)  لكل نبي وصي ووارث وان عليا وصيي ووارثي

“สำหรับทุก ๆ ศาสดานั้นมีวะซีย์ และผู้สืบทอดแท้จริงอะลี คือ วะซีย์และผู้สืบทอดของฉัน”


قال علي (ع) لاتخلوالأرض من قائمِ للّه بحجة امّا ظاهراًمشهوراً وامّاخائفاًمغموراً

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “แผ่นดินนี้จะไม่ว่างเว้นจากข้อพิสูจน์ผู้เป็นตัวแทนของอัลลอลฮฺ ซึ่งอาจจะอยู่ในสภาพที่เปิดเผยและถูกรู้จัก หรืออาจจะอยู่ในสถานภาพที่ปิดบังซ่อนเร้น (เนื่องจากภัยต่างๆ)”


 ผู้ที่เป็นตัวแทนของท่านศาสดา  นั้นก็คือผู้อยู่ในฐานะภาพอันสูงส่ง และมีความสำคัญอย่างยิ่ง ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ได้รับตำแหน่งนี้ ภาระหน้าที่ของเขาก็คือภาระหน้าที่ของท่านศาสดา ทั้งด้านการเป็นผู้นำของสังคม และการเผยแพร่สารธรรม ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าผู้สืบทอดผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติอันเพียบพร้อมทีเหมือน กับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นั่นเอง และต้องมีคุณวิเศษณ์ที่เหนือกว่าบุคคลอื่นทั่วไปมีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้มิอาจมีได้เว้นเสียแต่ว่าเขาต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษจากอัลลอฮฺ (ซบ.) เพื่อเป็นผู้สืบทอดวิชาการของท่านศาสดา เป็นผู้นำเผยแพร่สารธรรม และสร้างความสมบูรณ์แก่แนวทางของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในการชี้นำประชาชาติทั้งหลายให้เดินไปบนวิถีทางที่ท่านศาสดาได้นำมาให้สืบต่อไปชั่วกาลนานจนกว่าโลกจะดับสลาย  และมรดกอิสลามที่ตกทอดมาสู่เรามีฮะดีซ และประวัติศาสตร์จำนวนมากได้ระบุไว้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ยืนยันถึงการเป็นตัวแทนของท่านอะมีรุ้ลมุอฺมินีนอะลี (อ.) ต่อจากท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) และสิ่งนั้นยังได้กล่าวอ้างถึงความบริสุทธิ์ของท่านอะลี (อ.) อันมีแหล่งที่มาจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดต่อหน้าที่สำคัญนี้ โดยปราศจากการคำนึงถึงความเป็นญาติ บุตรเขยและความใกล้ชิดที่มีต่อท่านศาสดา

ท่านศาสดา(ซ็อล ฯ)ได้กล่าวว่า.


قال رسول الله (ص) انّ وصيي ووارثي يقضي ديني وينجز موعدي علي بن ابي طالب

“แท้จริงตัวแทนและผู้สืบทอดของฉัน คือ ผู้ชำระหนี้สินของฉัน และเป็นผู้ปลดเปลื้องสัญญาของฉัน นั่นคือ อะลีบุตรของอบีฎอลิบ”

แสดงความเห็น