อิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์ ตอนที่๔


อิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์ ตอนที่๔



 

ความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับมิติที่สาม


บางคนคิดว่า เมื่อท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัว) ในฐานะของศาสดาท่านสุดท้ายได้จากไปแล้ว ความสัมพันธ์กับมิติที่สาม (ความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า) ได้จบลงด้วยเช่นกัน การคิดอย่างนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะคำว่าสุดท้าย (คอตะมุนนะบียีน) หมายถึง ภายหลังจากท่านแล้วไม่มีศาสนาใด และศาสดาท่านต่อไปอีก ไม่ได้หมายความว่า นับตั้งแต่บัดนั้นความสัมพันธ์ที่มีกับมิติที่สามจะถูกตัดขาดไปอย่างสิ้นเชิง


เนื่องจากมุสลิมนิกายชีอะฮฺ มีความเชื่อมั่นต่อตำแหน่ง วิลายะฮฺ (อำนาจปกครอง) และอิมามะฮฺอีก 12 ท่านภายหลังจากท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัว) โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่เช่นเดิม โดยผ่านขบวนการแห่งอิมามะฮฺ และสิ่งนี้ถือเป็นความพิเศษหนึ่งของนิกายชีอะฮฺ แน่นอน อิมามมุบีน นั้นหมายถึงสัจธรรม และบทบัญญัติ จากอัลลอฮฺ ซึ่งได้ประทานเทวโองการแก่ท่านศาสดา


ท่านซ็อดรุลมุตะอัลลิฮีน ได้เขียนไว้ในหนังสือ มะฟาตีหุลฆัยบฺ ว่า “เทวโองการหมายถึง การประทานมลาอิกะฮฺ ลงไปยังเป้าหมาย คือ ท่านศาสดาเพื่อแจ้งเทวโองการแก่ท่าน และแม้ว่าเทวโองการนั้นจะถูกตัดไปแล้วก็ตาม แต่ประตูของ การอิลฮาม (การดลทางจิต) ไม่มีวันปิด และเป็นไปไม่ได้ที่ประตูนี้จะปิด”



ในโลกปัจจุบันจะปฏิบัติตามอิสลามได้อย่างไร


ความต่ำทรามและอบายมุขบนโลกนี้ นับวันจะทวีคูณมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นผู้คนและเยาวชนจำนวนมากมายได้หลงไปกับอบายมุขเหล่านั้นนับวันยิ่งมีจำนวนมากขึ้นอย่างหน้าเป็นห่วง บั้นปลายสุดท้ายของมันก็คือการทำลายล้างวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ดีงามของมนุษย์ให้หมดไป และคงไว้ซึ่งความเสื่อมทรามและความเป็นเดรัจฉานที่ฝังแน่นอยู่ในตัวมนุษย์อย่างชนิดที่ไม่มีวันสลัดมันออกไปพ้นตัวได้ ทว่ายังโชคดีสำหรับมวลผู้ศรัทธาที่บุรุษหนึ่งได้มาสอนสั่งวิธีการเอาชนะอบายมุขเหล่านั้นแก่เรา ดังนั้นด้วยกับอิสรภาพที่มีอยู่บนตัวเราจึงได้บอกกับเราว่า ต้องยืนหยัดต่อสู้กับความหลงผิดเหล่านั้น

แน่นอน การปรับปรุงแก้ไขสภาพสังคม ถือเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ทุกคน บรรดาศาสดาทั้งหลายนอกจากจะเชิญชวนให้มนุษย์ให้ไปเคารพสักการะในพระเจ้าองค์เดียวแล้ว ยังได้สอนให้มนุษย์รู้จักการต่อสู้กับความหลงผิด และพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย บรรดาศาสดาไม่เคยตอบสนองคำเรียกร้องของบรรดาพวกหลงผิด อารมณ์ใฝ่ต่ำ และความโสมมของสังคม ท่านเหล่านั้นเป็นผู้จัดการกับสังคม มิใช่สังคมมาจัดการท่าน

ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัว) ได้วางรากฐานการต่อสู้กับความหลงผิด และความโสมมในยุคทมิฬ ไว้ด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งสังคมที่เสื่อมทรามในสมัยนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น


 ความขัดแย้งในเรื่องสีผิวและชนชั้น การดูถูกเหยียดหยามสตรีเพศ การเคารพบูชารูปปั้น สงครามการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ และการหลงผิดอื่นๆ เช่นความเคยชินต่อวัฒนธรรมในยุคโฉดเขลา และความเลื่อมใสของชนอาหรับในสมัยนั้น ได้ถูกท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัว) ทำลายจนหมดสิ้น


มีชนระดับแกนนำเผ่ากุเรช อย่างเช่น อุตบะฮฺ เขาแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งกับการกระทำของท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัว) ในเวลาต่อมาเขาได้จัดประชุมหลายครั้ง จนในที่สุดได้ข้อสรุปว่า ต้องทำการขัดขวางท่านศาสดาไม่ให้ทำการเผยแพร่อิสลามอีกต่อไป ท่านศาสดา ได้ตอบพวกเขาว่า “นี่คือภารหน้าที่ของฉัน ฉันขอสาบานในนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ถ้าหากนำเอาดวงอาทิตย์มาใส่ไว้ที่มือข้างหนึ่ง และนำเอาดวงจันทร์มาวางไว้ที่มืออีกข้างหนึ่ง ฉันก็จะไม่เลิกล้มการเผยแพร่ของฉันอย่างเด็ดขาด และจะไม่ยอมถอดถอนความศรัทธาออกจากหัวใจของฉัน ฉันจะยืนหยัดต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะหรือถูกฆ่าตาย” (ซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม หน้าที่ 295-266)



 จุดมุ่งหมายสูงสุด


ท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) เป็นศาสดาท่านสุดท้ายของศาสนาอิสลามและเป็นบรมศาสดาท่านสุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานลงมา พระผู้เป็นเจ้าหมายถึง อัลลอฮฺ ทรงประทานคำสอนโดยผ่านท่านศาสดาองค์นี้ คำสอนทั้งหมดปรากฏอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัล–กุรอาน และพระวจนะของท่านศาสดาซึ่งเป็นคำอธิบายเทวโองการของอัล-กุรอานอีกที่หนึ่ง คำสอนของศาสนาอิสลามมุ่งการปฏิบัติและการขัดเกลาตนเอง เพื่อเข้าใกล้ชิดต่อเอกองค์อัลลอฮฺ ดังนั้น อิสลาม จึงมีความหมายว่า การยอมจำนน หรือการนอบน้อม หรือการสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาล ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดี่ยว ศาสนาอิสลามเป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์จนถึงปัจจุบันและอนาคต


พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน อธิบายถึงคุณลักษณะของอัลลอฮฺไว้เป็นอเนกประการ ซึ่งแสดงให้เห็นพลังอำนาจสูงสุดของพระองค์ในสากลจักรวาล สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น ดังความหมายของโองการที่ว่า อัลลอฮฺ พระผู้ทรงรอบรู้ ไม่มีสิ่งใดในโลกหรือในชั้นฟ้าทั้งหลายซ่อนเร้นจากพระองค์ได้

บางโองการกล่าวว่า อำนาจของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือจักวาล

บางโองการกล่าวว่า อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

บางโองการกล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเราคือ ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นทรงชี้นำ

ดังนั้น หัวใจของศาสนาอิสลาม คือ การประกาศและเปิดเผยเอกภาพของอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า และส่งเสริมให้มอบตัวต่อพระองค์ ชีวิตในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ถาวรโลกเป็นเสมือนไร่นาที่เตรียมไว้เพื่อเพราะปลูก ซึ่งพืชผลนั้นได้แก่การกระทำของมนุษย์ ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า โลกนี้คือ การกระทำไม่มีการสอบสวน ส่วนโลกหน้าที่การสอบสวนไม่มีการกระทำ

การเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้าและศาสนทูตเพื่อแสวงความใกล้ชิดกับพระเจ้า และความโปรดปรานจากพระองค์

แสดงความเห็น