วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๒
วาซียัตศาสดา(ศ็อลฯ) ตอนที่๒
๒. ขณะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เดินทางกลับจากการทำหัจญ์ครั้งสุดท้าย (حجةالوداع)เมื่อมาถึงยังสถานที่หนึ่งนามว่า “เฆาะดีรคุม” ท่านได้สั่งให้กองคาราวานหยุด ณ ที่นั้นและได้กล่าวคุฏบะฮฺ (เทศนา) แก่บรรดาหุจญาตทั้งหลาย ซึ่งบรรดานักฮะดีซได้เรียกฮะดีซนี้ว่า “ฮะดีซ เฆาะดีร” ตอนกหนึ่งของคุฏบะฮฺท่านกล่าวว่า “ฉันไม่มีสิทธิ์เหนือตัวพวกท่านดอกหรือ”พวกเขาตอบว่า “ใช่แล้ว โอ้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)”ท่านได้กล่าวต่ออีกว่า“ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีก็เป็นผู้ปกครองของพวกเขาด้วยเช่นกัน โอ้องค์พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดช่วยเหลือแก่ผู้ที่ช่วยเหลือเขา และโปรดเป็นศัตรูแก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา และได้โปรดทำให้ผู้ที่ทำให้เขาตกต่ำ ตกต่ำด้วยเถิด” ฮะดีซนี้ถูกจัดว่าเป็นฮะดีซที่เซาะฮีย์ และมุตะวาติรฺตามทัศนะของนักฮะดีซทุกๆมัซฮับอีกด้วย (ถูกต้องทุกประการจนไม่อาจปฏิเสธได้)[๓]
๓. ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตอนหนึ่งของคุฏบะฮฺในหัจญตุลวะดา ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนามของฮะดีซ วะซียะฮฺ (สั่งเสีย) ว่า “แท้จริงฉันได้ทิ้งสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่ของพวกท่าน หากพวกท่านได้ยึดมั่นทั้งสอง พวกท่านจะไม่มีวันหลงทางหลังจากฉันเด็ดขาด สิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ(ซบ.) ซึ่งเป็นสายเชือกที่ทอดตรงมาจากฟากฟ้าสู่แดนดิน สิ่งที่สองคือทายาท (อะฮฺลุลบัยตฺ)ของฉัน ซึ่งทั้งสองนี้จะไม่มีวันแยกออกจากกัน จนกว่าจะกลับคืนสู่ฉัน ณ สระนํ้า และพวกท่านตรึกตรองดูเถิดว่าพวกท่านจะปฏิบัติเช่นไรกับสิ่งทั้งสองนี้ หลังจากฉัน”
ฮะดีซบทนี้ทั้งสายรายงาน คำและประโยคต่างๆที่ใช้นั้นมีมากมาย ซึ่งทั้งหมดได้บ่งชี้ไปบนความหมายเดียวกัน[๔] ขณะที่ท่านกำลังเดินทางกลับจากการประกอบพิธีหัจญ์ครั้งสุดท้ายนั้นได้มีโองการหนึ่ง ถูกประทานลงมาให้ท่านประกาศสาส์นสำคัญต่อประชาชาติ ซึ่งบรรดานักอรรถาธิบายอัลกรุอานได้เรียกโองการกังกล่าวว่า อายะตุลฆ่อดีรฺ ความว่า
يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ وَاللّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ
โอ้ ศาสนทูตเจ้าจงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเจ้า จากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า และหากเจ้าไม่ประกาศ เท่ากับเจ้าไม่ได้เผยแพร่สาส์นของพระองค์เลย และอัลลอฮจะทรงพิทักษ์เจ้าจากมวลมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่ปฏิเสธ[๔]
อะไรคือความสำคัญจากพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งที่มีบัญชาให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ประกาศ และทรงเน้นย้ำท่านศาสดาว่า หากท่านไม่ประกาศ เท่ากับไม่ได้เผยแพร่สาส์นของพระองค์
โองการนี้เป็นหนึ่งในโองการที่มีความหมายลึกซึ้ง และยิ่งใหญ่ สำหรับประชาชาติอิสลาม (เพราะหากท่านศาสดาปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ นั่นหมายความว่าการงานต่างๆ ที่ท่านได้กระทำมาถูกยกเลิกและเป็นโมฆะทั้งหมด) โองการดังกล่าวได้ถูกประทานลงมาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หมายความว่า ศาสนาอิสลามได้ถูกทำให้สมบูรณ์ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นหลักการปฏิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมาซ ศีลอด หัจญ์ ซะกาต และทุกๆสิ่งที่เป็นวาญิบในศาสนา ได้ถูกสั่งสอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบรรดามุสลิมในสมัยนั้นต่างยอมรับและเข้าใจในบัญญัติดังกล่าวเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นหัจญ์ยะตุลวะดาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาอิสลามกำลังเติบโตอย่างเต็มที่ หัวใจของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายต่างเต็มเปี่ยมไปด้วย นูรฺรัศมีแห่งอิสลาม บรรดาผู้ปฏิเสธไม่มีอำนาจใดเหนือมวลมุสลิม เพราะอิทธิพลของอิสลามได้แผ่ครอบคลุมเหนือคาบสมุทรอาหรับ เมื่อเป็นดังนี้โองการต้องการจะบอกอะไรแก่พวกเราหรือ ? ซึ่งเราสามารถสรุปประเด็นสำคัญของโองการได้ดังต่อไปนี้
๑. โองการปฏิเสธความพยายามของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ทั้งหมดที่ท่านได้เพียรพยายามไว้ หากท่านไม่ประกาศโองการตามคำบัญชาของพระองค์
๒. แน่นอนท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะไม่ละทิ้งคำบัญชาของอัลลอฮฺ (ซบ.) ที่มีต่อประชาชาติอย่างเด็ดขาด เพราะท่านคือ ผู้เมตตาแก่ประชาโลกทั้งหลาย และท่านคือผู้ตักเตือน ดังโองการที่ว่า
لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ
แท้จริงได้มีศาสนทูตผู้หนึ่งจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า ได้มายังพวกพวกเจ้า เขามีความกังวลในสิ่งที่พวกเจ้าทุกข์ร้อน อีกทั้งเป็นผู้ที่ปราณีและเมตตา แก่บรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย[๕]
โองการดังกล่าวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีความเมตตาและเป็นห่วงประชาโลกอย่างมาก สิ่งใดก็ตามหากเป็นความโปรดปรานสำหรับประชาชาติแล้ว ท่าน (ซ็อล ฯ) จะรีบปฏิบัติทันทีโดยไม่รีรอ แต่การประกาศโองการดังกล่าวทำไมท่านจึงมีความหวาดกลัว ? ประกอบกับโองการได้พูดในเชิงของการข่มขู่ว่า..
وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ
“และหากเจ้าไม่ประกาศ เท่ากับเจ้าไม่ได้เผยแพร่สาส์นของพระองค์เลย”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
[๓] มุสนัดอหฺมัด ๔/๒๘๑- ๓๖๘, เซาะฮีย์มุสลิม หมวด ความประเสริฐของเซาะฮาบะฮฺ ๔/ ๑๘๗๓/๒๔๐๘ โดยมีสายรายงานที่แตกต่างกัน สุนันติรฺมีซี ๕๖๖๓/๓๗๘๘, มุสตัดร็อกฮากิม ๓/ ๒๓๓ ,บิดายะฮฺ อัล-นิฮายะฮฺ ๕/๒๓๓
[๔] มุสนัดอหฺมัด ๕/๑๘๒-๑๘๙/๓/๑๗. เซาะฮีย์มุสลิม หมวดความประเสริฐของเซาะฮาบะฮฺ ๔/๑๘๗๓/๒๔๐๘ ,สุนันติรฺมีชี ๕/๖๖๓/๓๗๘๘. หมวดมะนากิบและก่อนหน้ามัน , มุสตัดร็อกฮากิม ๓/๑๔๘. ค่อซออิซ นะซาอี. ๒๑ มะซอบีห์ซุนนะฮฺ ๔/๑๘๕/๔๘๐๐- ๑๙๐/๔๘๑๖.ซอวาอิกุลมุห์ริเกาะฮฺ บท ๑๑ หมวด ๑/๑๔๙. คอซออิซุลกุบรออัซซุยูฏีย์ ๒/๔๖๖. ตารีคยะอฺกูบี ๒/๑๑๒
[๕] อัล-มาอิดะฮ /๖๗
แสดงความเห็น