มัสญิดอัลอักซอ มีความสำคัญกับมุสลิมอย่างไร

มัสญิดอัลอักซอ มีความสำคัญกับมุสลิมอย่างไร


ชื่อภาษาอาหรับที่ใช้เรียกบริเวณเมืองเยรูซาเล็ม ตรงที่เป็นที่ตั้งของมัสญิดอัลอักซอ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “บัยตุลมักดิส” หรือ “บัยตุลมุก็อดดัส”

 

อัลกุดส์ มีความสำคัญสำหรับมุสลิมก็เพราะเป็นที่ตั้งของมัสญิดอัลอักซอ มัสญิดที่นบีสุลัยมานสร้างขึ้นและถูกใช้เป็นกิบลัต(ทิศที่มุสลิมหันหน้าไป เวลานมาซ) แห่งแรกมาจนกระทั่งสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ก่อนที่จะมีบัญชาจากอัลลอฮให้เปลี่ยนมาเป็นกะอบะฮแทน นอกจากนี้แล้วมัสญิดอัลอักซอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอัน เนื่องมาจากการที่มัสญิดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ได้นมาซก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกัน ว่า “อิสรออและมิอ์รอจญ์”

 

เมื่ออัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมครั้งแรกในสมัย เคาะลีฟะฮฺอุมัร ประมาณปี ค.ศ. 638 เคาะลีฟะฮฺอุมัรได้ดำเนินนโยบายเปิดให้อัลกุดส์เป็นแผ่นดินสำหรับผู้ศรัทธาใน พระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือมุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยกำหนดให้ชาวคริสเตียนต้องจ่ายภาษียิซยะห์แก่รัฐบาลกลางเพื่อเป็นค่าใช้ จ่ายสำหรับความคุ้มครองปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและเสรีภาพในการนับถือศาสนา อัลกุดส์อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมาเป็นเวลานานนับร้อยปี จึงได้ถูกพวกคริสเตียนเข้ามายึดครองในสมัยสงครามครูเสด

 

อัลกุดส์ยึดกลับคืนมาเป็นของมุสลิมอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ.1187 โดย ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบี แม่ทัพมุสลิมนามอุโฆษที่โลกตะวันตกรู้จักดีกันในนาม “ซาลาดิน” ซอลาฮุดดีนดำเนินนโยบายการปกครองอัลกุดส์เช่นเดียวกับเคาะลีฟะฮฺอุมัร แต่หลังจากนั้นประมาณ 50 ปี อัลกุดส์ก็ตกเป็นของฝ่ายคริสเตียนอีกและหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายมุสลิมก็ สามารถยึดคืนกลับมาได้ในสมัยของราชวงศ์มัมลูก แห่งอียิปต์

 

หลัง ค.ศ. 1516 อัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักอุสมานียะห์ หรือ ออตโตมานเติร์ก นับเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อยุโรปมีความเจริญเข้มแข็งขึ้นในขณะที่อาณาจักรอุสมานียะห์เสื่อมอำนาจ ลงในปี ค.ศ.1881 ชาวยิวจากทั่วโลกก็เริ่มอพยพกันเข้าไปในอัลกุดส์มากขึ้นด้วยคำอ้างตามความ เชื่อว่าแผ่นดินตรงนี้คือแผ่นดินที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้แก่พวกตน

 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อัลกุดส์ตกเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินปาเลสไตน์ใต้อาณัติของอังกฤษและพวกยิวได้ รับโอกาสให้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้มากขึ้นจนเกิดการต่อ

ต้านจากชาว อาหรับที่อาศัยอยู่เดิมตลอดมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกา อังกฤษและรัสเซีย ได้สมยอมกันให้ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งผนวกเอา อัลกุดส์เข้าไว้ในอิสราเอลด้วย และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการชาตินิยมชาวยิว หรือ ขบวนการไซออนิสต์ก็พยายามหาหนทางที่จะสถาปนาอัลกุดส์หรือเยรูซาเล็มให้เป็น เมืองหลวงของอิสราเอลโดยสมบูรณ์

 

ท่าน นบีดาวุด อะลัยฮิสลาม ได้เลือกเมืองเยรูซาเล็มตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตศักราช หลังจากนั้นลูกชายของเขาคือ ท่านนบี สุลัยมาน อะลัยอิสลาม ได้สร้างมัสญิดในเมืองเยรูซาเล็มตามวิวรณ์ที่ท่านได้รับจากอัลลอฮฺ ตะอาลา นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่บรรดานบีและศาสนทูตของอัลลอฮฺได้ใช้มัสญิดแห่งนี้ เพื่อการเคารพสักการะอัลลอฮฺ จนกระทั่งชาวบาบิโลน ได้เข้าทำลายในปี 586 ก่อนคริสตศักราช แต่ไม่นานมันก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูและคืนสู่การใช้เพื่อการเคารพสักการะอัล ลอฮฺในปี 516 ก่อนคริสตศักราช และ ถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษจนกระทั่งถึงยุคของท่านนบี อีซา อะลัยฮิสลาม เมื่อท่านออกไปจากโลกนี้ พวกโรมันก็เข้ามา ทำลายเมืองแห่งนี้ในปีที่ 70 ของคริสต์ศักราช

 

ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ถูกนำไปที่นั่นในการเดินทางอันมหัศจรรย์ของการอิสรออฺจากที่นั่น ท่านก็ขึ้นไป “มิอฺร็อจญฺ” เมื่อมุสลิมได้ยึดครองเมืองเยรูซาเล็มในปีที่ 636 ของคริสต์ศักราช ในช่วงสมัยของเคาะลีฟะฮฺ “อุมัร อิบนุ ค็อฏฏ็อบ” รอดิยัลลอฮุ อันฮุ ท่าน ก็สั่งให้ก่อสร้างมัสญิดแห่งนี้อีกครั้ง และมันก็ดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันในฐานะที่เป็นมัสญิดเพื่อการเคารพสักการะอัล ลอฮฺดังที่นบีสุลัยมาน อะลัยฮิสลาม สร้างไว้ในตอนแรกเริ่ม

 

ความสำคัญของเมืองเยรูซาเล็มนั้นคือ เป็นเมืองของบรรดานบีของอัลลอฮฺเช่นเดียวกับเมืองมักกะฮฺที่เป็นเมืองของท่านนบีอิบรอฮีม(อะลัยฮิสลาม), นบีอิสมาอีล(อะลัยฮิสลาม) และนบีมุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) มัสญิดอัลอักซอ ก็คือหนึ่งในมัสญิดที่เก่าแก่ ในอัลกุรอานอัลลอฮได้ กล่าวถึงมัสญิดแห่งนี้และดินแดนแห่งนี้ว่า “สถานที่ได้รับความจำเริญโดยรอบ” ( อัลอิสร็ออฺ: 1)

 

เมื่อตอนที่ท่านนบี มุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) อยู่ในมักกะฮฺและอีก 17 เดือนหลังจากการ อพยพของท่านไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านและเหล่าซอฮาบะฮฺก็เคยนมาซหันไปทาง มัสญิดอัล อักซอ ทั้ง นี้เพื่อต้องการจะปลูกฝังจิตสำนึกของมุสลิมถึงการเชื่อมโยงระหว่างหลักคำสอน ของท่านนบี มุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)กับบรรดานบีคนอื่นๆของอัลลอฮฺ เมื่อหลักการนี้ได้ปลูกฝังจนเกิดขึ้นในจิตสำนึกของพวกเขาแล้ว อัลลอฮฺจึงบัญชาให้ มุสลิมหันไปสู่กะอฺบะฮฺและนมาซผินหน้าไปทางนั้น

 

ปัจจุบันนี้ ไม่อนุญาตให้เรานมาซหันไปทางกรุงเยรูซาเล็มและมัสญิดอัลอักซอ แต่ เราจะต้องรักษาและให้เกียรติเมืองเยรูซาเล็มและมัสญิดอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง นี้ จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่จะต้องปกปักษ์รักษาและ คุ้มครองมัสญิดแห่งนี้จากภยันตรายต่างๆ เนื่องจากว่ามัสญิดแห่งนี้เป็นของบรรดาผู้ศรัทธาต่อนบีและศาสทูตทั้งหลายของ อัลลอฮฺ

 

การต่อสู้เพื่อกอบกู้ปาเลสไตน์นั้นมีมาอย่างช้านาน หากจะนับดูแล้วสังคมมุสลิมได้สูญเสียเลือดเนื้อไปเป็นจำนวนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวปาเลสไตน์ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี หรือคนชราล้วนได้รับความทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหดจากเหล่าทหารของยิวไซออนนิสต์ ที่มีความโหดร้ายผิดมนุษย์ประหนึ่งสัตว์ดุร้ายที่หิวโซ เมื่อเห็นเหยื่อก็จะไล่ล่าตระคุบทันที เสียระเบิด เสียงรถถัง และเสียงปืนดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับเด็กชาวปาเลสไตน์ เพราะเขาได้ยินและชินชากับเสียงเหล่านั้นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา อาจจะเป็นของเล่นประจำวันไปแล้วก็ว่าได้ อนาคตและความสุขที่พวกเขาควรจะได้รับจากผู้ใหญ่ เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ นั้นคงจะเลือนรางเต็มที เพราะการถูกปิดล้อม และถูกตักขาดจากโลกภายนอกมานานหลายสิบปี อาหาร ยารักษาโรค และปัจจัยยังชีพจำเป็นสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้ เพราะผู้ที่ยึดครองและกักกันบริเวณพวกเขามีความประพฤติและวิสัยที่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาจจะเกิดผิดโลกก็ได้ เนื่องจากพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น มันไม่ใช่พฤติกรรมของมนุษย์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่มีความดุร้ายก็ยังไม่กระทำเหมือนทหารของยิว

 

ไม่มีใครทราบว่าสิ่งเหล่านี้จะยุติลงเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่เด็กชาวปาเลสไตน์จะได้มีความสุขเหมือนกับเด็กในที่อื่นเสียที ใครสามารถตอบได้บ้าง แน่นอน คำตอบที่ถูกต้องที่สุดก็คือ เมื่อยิวคืนประเทศให้กับชาวปาเลสไตน์ เมื่อนั้นทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ แต่วันนั้นคงไม่มีเพราะพวกเขาลงทุนไปแล้วจะถอนทุนคืนคงยาก รังแต่จะขยายอาณาจักรให้กว้างออกไป และต้องสังหารชีวิตมุสลิมเพิ่มขึ้นอีก จำนวนเท่าไหร่ไม่มีใครรู้

 

 

คำถาม :

แล้วใครเล่าที่จะสามารถปลดปล่อย อัลกุดส์ ให้เป็นอิสระได้ ช่วยเหลือพี่น้องและเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ให้มีความสุข เหมือนกับเด็กๆ ในที่อื่น

 

คำตอบ :

คือ พี่น้องมุสลิมด้วยกันเท่านั้นที่สามารถกระทำสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องลังเลหรือสงสัยใดๆ อีกต่อไป ความสามัคคีและการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่แบ่งแยกนิกายและไม่แบ่งแยกความเป็นซุนนีย์และชีอะฮฺ นี่คือพลังที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในการต่อสู้ เพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ ศัตรูได้ลอกให้มุสลิมฆ่าฟันกันมาเท่าไหร่แล้ว โดยยึดเอาปัญหาซุนนีย์และชีอะฮฺมาเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ว่าใครถูกใครผิด ยิ่งในปัจจุบันสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันยกใหญ่ เพราะมีวะฮาบีย์ หรืออัลกออิดะฮฺ เข้าแทรกกลาง ในทัศนะของวะฮาบีย์ทั้งซุนนีย์และชีอะฮฺผิดทั้งสองฝ่าย ต้องกำจัดให้สิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีอะฮฺ โดยมีข้อหาว่าหลงผิด หลงทาง ด่าทอเซาะฮาบะฮฺ เป็นพวกรอฟิเฎาะฮฺ ต้องฆ่าให้ตายเพียงสถานเดียว กลายเป็นเป็นว่ามุสลิมต้องมาฆ่าสังหารกันเอง ปกติคนอื่นก็สังหารมุสลิมอยู่แล้ว นี่เรากับไปช่วยเขาสังหารเลือดเนื้อเดียวกันอีก โดยหมายมั่นปั้นมือว่าต้องขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก เพราปล่อยไว้ไม่ได้ พวกนี้เป็นอันตราย พวกนี้ทำลายศาสนา แต่พวกยิวกำลังสังหารพี่น้องชาวปาเลสไตน์ หรืออเมริการกำลังสังหารพี้น้องในอัฟกานิสถาน และอีรัก เรากลับไม่สนใจและไม่คิดที่จะต่อสู้หรือขับไล่คนพวกนั้น แต่หันกลับมากัดกินเลือดเนื้อกันเองอย่างเอร็ดอร่อย คาร์บอม เกิดที่อีรักวันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อตายไปเป็นจำนวนมาก ชีวิตเด็กๆ และสตรีในปาเลสไตน์ต้องอดข้าวอดน้ำ ไม่มียารักษาโรค และได้รับการทรมานจากยิวทุกวัน เรากลับไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกเสยด้วยซ้ำไปว่าคนพวกนั้นกำลังทำความผิด ไม่คิดจะช่วยเหลือ ไม่คิดจะขับไล่ยิว ไม่คิดจะปกป้องชีวิตพี่น้องมุสลิมด้วยกัน แต่เรากลับมาคิดว่าต้องสังหารชีวิตพี้น้องมุสลิมด้วยกัน เพราะมีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน ไม่ทราบว่าเอามันสมองส่วนไหนคิด สติของท่านยังดีอยู่หรือเปล่า

 

นานเท่าไหร่แล้วทีมุสลิมได้หลับใหลกันมาอย่างยาวนานจนกระทั่งอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้ฟื้นฟูชีวิตให้แก่สังคมอิสลามอีกครั้ง โดยประกาศให้วันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน เป็นวันอัลกุดส์ จุดประสงค์ของท่านคือ การขับไล่ยิวออกไปจากแผ่นดิน และช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่ได้รับการกดขี่ข่มเหง ให้ได้รับอิสรภาพ ท่านจึงประกาศแถลงการณ์ว่า ..

 

โลกอิสลามมีเงื่อนไขกับภารกิจหน้าที่ในวาระครบรอบปีที่ 61 ของวันแห่งกุดส์โลก เพื่อที่จะได้ร่วมรำลึกถึงนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ของโลก คือ ฯพณฯ อายะตุลลอฮฺ อิมาม โคมัยนี (รฮ.) บุรุษที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่าน ที่ท่านได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับประชากรปาเลสไตน์ ผู้ถูกกดขี่ และสถานที่กุดส์อันศักดิ์สิทธิ์ และยังได้เรียกร้องให้บรรดาเพื่อนบ้านในโลกอิสลาม ได้รู้จักสมานฉันท์ ความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการที่จะขับไล่บรรดาไซออนิสต์ ผู้ยึดครองให้ออกไป

 

นับเป็นเวลา 60 ปีที่ผ่านมา จากการเข้ายึดครองดินแดนของปาเลสไตน์ ทำให้เกิดพฤติการณ์ของการเป็นผู้ก่อการร้าย และการเกลียดชังกันระหว่างผิวชาติตระกูล ผู้นำไซออนิสต์ได้สังหารชีวิตอันบริสุทธิ์ของประชาชน ที่ไม่มีหนทางการต่อสู้ในฉนวนกาซ่า , การโจมตีและตัดการช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์อาหารและยารักษาโรค , การก่อไฟสงครามในสถานที่ต่างๆ แม้กระทั้งครั้งล่าสุดที่ได้ทำการโจมตีอันป่าเถื่อนต่อเรือขนเสบียงนานาชาติ ที่จะเข้าไปช่วยเหลือประชากรในฉนวนกาซ่าด้วยความเป็นมนุษยธรรม , การบุกรุกโดยก่อสร้างที่พักอาศัยให้พรรคพวกของไซออนิสต์ และการทำลายอย่างต่อเนื่องไม่ว่าในด้านเศรษฐกิจ และสถานที่กุดส์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยให้ชาวยิวเข้าครอบครอง

 

ผู้ปกครองที่เป็นโจรปล้นสะดมเยี่ยงไซออนิสต์ หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ใช้พฤติการณ์ต่างๆ ที่จะเรียกร้องว่าการละเมิดในที่พักอาศัยของพวกเขา แม้กระทั้งการเข้าครอบครองกุดส์ว่าเป็นธรรมสำหรับพวกเขา แต่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แล้วว่าสาถนที่นี้คือที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ แต่บรรดาผู้นำไซออนิสต์ก็พยายามที่จะทำลายประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างต่อเนื่อง

 

โอ้ บรรดาผู้ที่รักเสรีภาพ พวกท่านจงรู้เถิดว่า เว็บไซต์ต่างๆที่ผู้นำไซออนิสต์ ได้แพร่อยู่ทั่วตะวันออกกลาง ตลอดเวลาที่พวกเขาได้โจมตีบุคลิกของอิสลาม โจมตีกุดส์ และประชากรปาเลสไตน์ โดยการกดขี่สร้างความแตกแยกให้บังเกิดขึ้นในระหว่างประชาชาติอิสลาม ซึ่งมีหนทาง และแนวทางเดียวที่จะช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากแผนการความอุบาทนี้ได้ก็คือ บรรดามุสลิมต้องมีศรัทธาเชื่อมั่น สร้างประชากรมุสลิมให้มีความมั่งคง ร่วมต่อสู้อุปสรรคนานาประการ โดยเฉพาะร่วมกันที่จะปลดปล่อยพันธนาการความชั่วร้ายให้พ้นจากประชากรปาเลสไตน์ และให้พวกเขาได้พบกับชัยชนะควบคู่ไปกับประชาชาติอิสลามตลอดไป และยังสามารถที่จะระงับความโลภของผู้ละเมิดสิทธิในสถานที่กุดส์อันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจงทำให้วันแห่งกุดส์นี้กลายเป็นนิสัย ในการยืนหยัดปกป้องประชาชาติให้ได้รับอิสรเสรีภาพ รอดพ้นจากการกดขี่ โดยช่วยพยุงให้ปาเลสไตน์มีขวัญและกำลังในการต่อสู้กับผู้อธรรมไซออนิสต์ ทำให้เสียงเรียกร้องแห่งเสรีภาพของพวกเขาได้รับการตอบขาน และช่วยกันปกป้องดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์ ปลดปล่อยสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของกุดส์ให้เป็นอิสระ และประชากรชาวปาเลสไตน์ โดยให้พวกเขาได้รับสิทธิเสรีภาพไม่ยึดติดกับผู้ปกครองไซออนิสต์ แม้กระทั้งตัวแทนในรัฐสภาที่ไม่มีกฎหมายลองรับ ให้พวกเขาได้รับสิทธินั้น และคืนดินแดนทั้งหมดที่เป็นของชาวปาเลสไตน์สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาปาเลสไตน์เป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ์ในสังคมโลก ช่วยกันปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่ผู้ปกครองที่อธรรมของไซออนิสต์ได้กล่าวหาพวกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

 

แม้ว่าวันนี้มุสลิมยังทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ เนื่องด้วยสาเหตุนานาประการ แต่อย่างน้อยที่สุดในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน หรือวันกุดส์ ก็ควรออกมาแสดงจุดยืนทีแท้จริงในการต่อด้านยิว ให้ประชาชาโลกได้รับรู้ว่าพวกเขากระทำผิด และต้องออกไปจากดินแดนของปาเลสไตน์ หรืออย่างน้อยให้พวกอาหรับที่ยังไม่ตื่น ลืมตาดูโลกบ้างว่าโลกไปถึงไหนแล้ว มัวแต่เสพสุขทางโลกจนลืมความทุกข์ยากของมุสลิม หรืออย่างน้อยให้พวกวะฮาบีย์หัวรุนแรงได้สติมาบ้างว่าการสังหารพี่น้องมุสลิมนั้นนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังเป็นบาปอีกต่างหาก เปลี่ยนจุดหมายไปที่ศัตรูที่แท้จริงของอิสลามดีกว่า อย่ามัวมาสังหารกันเองเพราะนอกจากจะเป็นลดจำนวนประชากรแล้ว ศัตรูยังนั่งสมน้ำหน้าเราว่า แขกฆ่ากันเอง สมควรแล้วหรือที่เราจะกระทำเช่นนั้น

 

ฉะนั้น กุดส์ เป็นสมบัติของมุสลิมทั้งโลก ที่ต้องช่วยกันหวงแหนและปลดปล่อยให้รอดพ้นจากน้ำมือของซาตานมารร้าย หยุดทะเลาะกันเสียเถิด แล้วมาช่วยกันคิดช่วยกันจัดการว่า เราจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างไร เราจะจัดการ กุดส์ กับอย่างไร และเราจะมีวิธีจัดการยิวอย่างไร นั่นคือปัญหาสำคัญยิ่งปัญหาอื่นใดทั้งหมด


ที่มาเว็บไซต์ซอฮิบซะมาน

อ้างอิงจาก taqrib.info

แสดงความเห็น