ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตน์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน? (ตอน1 ปฐมเหตุ)

ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตน์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน? (ตอน1 ปฐมเหตุ)

           

ประธานาธิบดีชุดแรกของอิสราเอล มีจุดมุ่งหมายคือ ชาวยิวควรยึดประเทศปาเลสไตน์ให้ได้ การแก้ปัญหาให้ปาเลสไตน์ ก็คือต้องกำจัดชาวอาหรับออกไปจากมาตุภูมิของพวกเขาให้หมดสิ้น ดังนั้นจึงมีความคิดในเรื่อง “การถ่ายเทประชากร” ที่ฝังหัวอยู่ในสมองของพวกไซออนิสต์เสมอ

 

ตอนนี้สงคราม ในตะวันออกกลางที่ทำท่าจะหยุดไม่อยู่ นอกจากในซีเรีย และ อิรัก แล้ว อีกจุดที่ดุเดือด เลือดนอง คือ ยิวอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ที่อยู่ในฉนวนกาซ่า ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจาก การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ในเขตปาเลสไตน์ ตลอด 4 วัน ตายทะลุ 120 รายแล้ว เป็นเด็กกว่า 25 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 600 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เด็ก ผู้หญิง และคนชรา ประชาชนเกือบ 900 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนกว่า 150 หลัง พังพินาศ หรือได้รับความเสียหายร้ายแรง

 

สถานการณ์การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีวี่แววจะยุติลงโดยง่าย เมื่อมีจรวดจากกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนยิงเข้ามาใส่ เขตของอิสราเอล ทำให้อิสราเอลประเมินว่า นักรบในเลบานอนอาจเข้าร่วมกับกลุ่มฮามาส ในปาเลสไตน์ จึงจะมีมาตรการตอบโต้ทางอากาศอย่างดุเดือด


 











กองทัพอิสราเอล เรียกกำลังสำรอง 40,000 นายรายงานตัวกับกองทัพ และจะส่ง 33,000 นายไปตรึงกำลังตามพรมแดนติดเขตของชาวปาเลสไตน์ พร้อมประกาศว่า จะปฏิบัติการขยายด้วยกองกำลังสำคัญทั้งหมด เคลื่อนกำลังภาคพื้นดินอาจมีขึ้นภายใน 2 วันนี้

 

อิสราเอลเริ่มยุทธการป้องกันสุดปลายขอบ หรือ "โปรเท็กทีฟ เอดจ์" ตั้งแต่วันอังคารที่ 8 ก.ค. โดยยิงขีปนาวุธต่อต้านจรวด และปืนครก ของกลุ่มฮามาส ออกมาจากฉนวนกาซ่าเข้าสู่อิสราเอล ได้กว่า 121 ลูกจากราว 550 ลูก อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศมากกว่า 500 เที่ยว การปะทะครั้งนี้ถือเป็นความรุนแรงที่สุด นับจากเมื่อปี 2555

 

แม้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วิงวอนยับยั้งเหตุความรุนแรงที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ในฉนวนกาซ่า แต่ก็ไร้ผล เพราะนายกรัฐมนตรียิวไม่ใส่ใจข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ยังสั่งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยยืนกรานว่าพวกฮามาสเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กกว่า 3.5 ล้านคนทั่วรัฐยิว

 

กลุ่มฮามาส เองก็ข่มขวัญชาวอิสราเอล ด้วยการบอกให้ชาวยิว ทั้งหลาย รอดูการโจมตีด้วยการไล่แทงในทุกหนทุกแห่ง รอคอยการโจมตีแบบพลีชีพบนรถบัสโดยสารทุกคัน รวมถึงตามคาเฟ่และบนถนน...ดังนั้นสถานการณ์ในอิสราเอล และกาซา กำลังลุกลามเกินควบคุม


มาดูเป็นบทเรียนคนไทยว่า อาหรับกับยิว ทำไมจึงต้องมีการรบพุ่งกันมากว่า 2 พันปี และทำไมจึงไม่มีฝ่ายใดกำชัยชนะที่เด็ดขาดได้สักที และในยุคหลัง ใครอยู่เบื้องหลังการรบพุ่งของชนชาติ 2 กลุ่มนี้


หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิสราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ แรกเริ่มเดิมทีนั้นดินแดนปาเลสไตน์นั้นหาใช่ดินแดนว่างเปล่า หากแต่มีผู้คนอาศัยและสร้างสังคม วัฒนธรรม อารยธรรมมาช้านาน โดยมีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวกันอาน เป็นชนชาติอาหรับ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวปาเลสไตน์ ชาวกิบบิโอน ชาวฟิลิสติน (ต่อมาแผลงมาเป็นชื่อ ปาเลสไตน์)

 

ต่อมาเมื่อชนชาติยิวซึ่งอพยพมาจากอียิปต์ เข้ามาบุกรุกดินแดนแถบนี้และเริ่มรบพุ่งแย่งชิงดินแดนจากชนพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิม จนสร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้น แต่ต่อมาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือเรียกว่าอาณาจักรอิสราเอล ส่วนตอนใต้เรียกว่าอาณาจักรยูดาย ถัดจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น บาบิโลน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน

 

ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นแข็งข้อต่ออำนาจของจักรพรรดิติตัส ของโรมัน จักรพรรดิติตัสจึงสั่งทำลายกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางตอนเหนือเสียจนราบคาบ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 4 ปาเลสไตน์ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเข้ารีตคริสต์ได้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม

 

กลายเป็นสถานที่ดึงดูดให้คริสต์ศาสนิกชนเข้ามาจาริกแสวงบุญกันมากขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางระบบสงฆ์และนักบวชในศาสนาคริสต์ จนเกิดการสร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ตามมาอีกมากมาย จนกระทั่งกลุ่มชาติอาหรับได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้และก่อสงครามแย่งชิงพื้นที่

 

ปี ค.ศ. 637 ชาวอาหรับก็ยึดครองดินแดนได้โดยสมบูรณ์ ประชากรที่เคยนับถือคริสต์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากขึ้น จนประชากรส่วนใหญ่ก็ลายเป็นชาวมุสลิมไปจนเกือบทั้งหมด ชาวคริสเตียนที่เหลืออยู่ พยายามอย่างยิ่งที่จะยึดครองดินแดนนี้กลับมาเป็นของชาวคริสต์อีกครั้ง โดยไม่เพียงแต่ชาวคริสต์ในดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้น หากแต่ยังได้รับความร่วมมือจากชาวคริสต์จากต่างแดนมาร่วมรบในสงครามที่เรียกว่า “สงครามครูเสด”

 

สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 150 ปี จนในที่สุดก็จบสิ้นลง โดยดินแดนปาเลสไตน์ตกเป็นของชาติอาหรับอย่างสมบูรณ์ มีประชากรส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังเป็นชาวคริสเตียน ดินแดนปาเลสไตน์ก็ยังถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองจากสองชนชาติคือ อาหรับและคริสต์ มานานกว่า 800 ปี ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชนชาติตุรกีเข้ายึดครองนานถึง 400 ปี แต่การยึดครองของชาวเติร์กนี้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา

 

สัดส่วนการนับถือศาสนาของประชาชนในดินแดนแถบนี้ มิได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แม้แต่เชื้อชาติพลเมืองก็ยังคงเป็นชาวอาหรับเสียส่วนใหญ่ เหมือนก่อนหน้าที่พวกเติร์กจะเข้ามายึดครอง รวมถึงภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ก็ยังคงเดิม เปลี่ยนแปลงเพียงกลุ่มชนชาติที่เข้ายึดครองเท่านั้น

 

ปี ค.ศ. 1897 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนิสต์โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินอเมริกาและยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิวกลับมาตั้งถิ่นฐาน สร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งกลุ่มไซออนนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้กับชาวยิว”

 

แต่ในขณะนั้นปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กลุ่มไซออนนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับอย่างถูกกฎหมาย และจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ท่ามกลางความไม่พอใจของบรรดาชาวอาหรับเจ้าของที่ดินเดิม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะได้ทำการซื้อขายกันไปแล้วตามกฎหมายทุกประการ

 

ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมา โดยมีกลุ่มไซออนนิสต์ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

 

ปี ค.ศ. 1910 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักเคมีชาวยิวสมาชิกกลุ่มไซออนนิสต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด และได้เปลี่ยนสัญชาติจากลัตเวียมาเป็นอังกฤษ ได้ทำการคิดค้นดินระเบิดประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถผลิตเองได้โดยใช้วัตถุดิบ ที่หาได้ง่าย เนื่องจากก่อนหน้านั้นกองทัพอังกฤษใช้ดินระเบิดคอร์ไดท์ ซึ่งอังกฤษผลิตเองได้ แต่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญคือ อาซีโทน

 

สารนี้จำเป็นต้องสั่งเข้าจากเยอรมันซึ่งเป็นคู่สงคราม เมื่อไม่มีวัตถุดิบ อังกฤษจึงประสบปัญหาใหญ่ในการทำสงคราม จนกระทั่งได้ นักเคมีชาวยิว มาช่วย อังกฤษจึงยังคงสามารถเข้าร่วมรบในสงครามโลกต่อไปได้

 

จากการช่วยเหลือของ นักเคมีชาวยิวผู้นี้ (ต่อมาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงทหารเรือของอังกฤษ) ทำให้อังกฤษซึ่งมีอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกกลางในช่วงนั้น ตอบแทนโดยการมอบดินแดนปาเลสไตน์ ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามใน “สนธิสัญญาบาลฟอร์”

 

ขณะเดียวกันก็เกิดสนธิสัญญาขึ้นซ้อนอีกหนึ่งฉบับ ที่ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอียิปต์ ไปตกลงกับชาวอาหรับว่า หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกดินแดนบางส่วน รวมถึงปาเลสไตน์คืนให้แก่ชาวอาหรับ แต่เมื่อสิ้นสงคราม อังกฤษก็ยังคงยึดครองปาเลสไตน์โดยมิได้มอบให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องด้วยฝ่ายยิวและอาหรับต่างก็อ้างสนธิสัญญาที่ตนเองถือเป็นข้ออ้างในการครอบครองดินแดน

 

ปี ค.ศ. 1923 องค์การสันนิบาตชาติ มอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว แต่อังกฤษก็ยังคงครอบครองดินแดนไว้เพื่อใช้ต่อรองกับกลุ่มชาติอาหรับ ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าภายหลังสงคราม ดินแดนเจ้าปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้แก่ฝ่ายไหนอยู่ดี อีกทั้งปัญหาการอพยพเข้ามาของชาวยิวจำนวนมาก ก็ยังเพิ่มทวีความวุ่นวายเข้าไปทุกขณะ โดยมีกลุ่มชาติอาหรับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

 

ปี ค.ศ. 1939 -1945 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไปทั้งหมด ประมาณ 7 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป ที่เป็นผลจากความฝังใจของฮิตเลอร์ในสมัยวัยเด็ก ต่อการกดขี่ของยิว

 

ปี ค.ศ. 1947 พวกไซออนิสต์ ใช้วิธีการหลายอย่างสำหรับการถ่ายเทประชากร เช่น การทำสงคราม การก่อการร้าย การขับไล่โดยใช้กำลัง และนโยบายให้ชาวยิวมาตั้งหลักแหล่งในเขตที่อิสราเอลยึดครองไว้ ผู้ก่อการร้ายชาวยิวได้ทำร้ายชาวอาหรับอย่างรุนแรง ทิ้งระเบิดลงในกลุ่มคน ทำลายหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้ชาวอาหรับกลับมาอีก

 

สมัชชาสหประชาชาติลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย การแบ่งดินแดนในครั้งนั้นทำให้ปาเลสไตน์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวยิว และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวอาหรับ

 

ปี ค.ศ. 1948 เกิดสงครามระหว่างยิวกับประเทศอาหรับ 4 ประเทศ คือ ปาเลสไตน์ อียิปต์ ซีเรีย และเลบานอนขึ้น ชาวยิวเปลี่ยนองค์การใต้ดินฮากานาห์มาเป็นกองทัพแห่งชาติ ในระหว่างการต่อสู้นี้ ชาวปาเลสไตน์อาหรับต้องทิ้งถิ่นที่อยู่ลี้ภัยไปมากกว่าครึ่ง สงครามครั้งนี้ยุติลงในเวลาอันสั้น

 

คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ มีคำสั่งตั้งรัฐยิวขึ้นอย่างเป็นทางการ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ โดยตั้งชื่อว่า รัฐอิสราเอล ส่งผลให้ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ กลายเป็นชาวอิสราเอลไปโดยปริยาย ทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยขึ้นถึง 9 แสนคน ส่วนใหญ่หนีไปทางประเทศจอร์แดนและฉนวนกาซา นอกนั้นก็ไปยังประเทศซีเรียและเลบานอน

 

ชาวปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รวมทั้งทรัพย์สินสมบัติของตนไปเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งไม่มีทางทำมาหากินเกือบล้านคน นอกจากนั้นผู้นำของชาวอิสราเอลยังมีแผนการบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องออกจากดินแดนของพวกเขาไป เพื่อตนจะได้เข้าไปครอบครองแทนที่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของลัทธิไซออนนิสม์ ซึ่งตั้งใจจะให้ประเทศนั้นกลายเป็นชาวยิวโดยเฉพาะเท่านั้น

 

ประธานาธิบดีชุดแรกของอิสราเอล มีจุดมุ่งหมายคือ ชาวยิวควรยึดประเทศปาเลสไตน์ให้ได้ การแก้ปัญหาให้ปาเลสไตน์ ก็คือต้องกำจัดชาวอาหรับออกไปจากมาตุภูมิของพวกเขาให้หมดสิ้น ดังนั้นจึงมีความคิดในเรื่อง “การถ่ายเทประชากร” ที่ฝังหัวอยู่ในสมองของพวกไซออนนิสม์เสมอ

 

ชาวยิว จะเป็นเชื่อเสมอว่าในประเทศนี้ไม่มีเหลือพอที่คนสองชาติจะอยู่ร่วมกันได้ เขาย่อมจะไม่บรรลุถึงเจตนาที่จะเป็นอิสระชนได้ ถ้ามีชาวอาหรับอยู่ด้วยในประเทศเล็ก ๆ นี้ วิธีแก้ปัญหาวิธีเดียวก็คือต้องไม่ให้มีคนอาหรับอยู่ด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้มากไปกว่าต้องย้ายชาวอาหรับจากที่นี่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ย้ายไปให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่หมู่บ้านเดียวหรือเผ่าเดียว หลังจากการโยกย้ายนี้ ประเทศนี้จึงจะสามารถดูดซึมเอายิวนับล้าน ๆ คนได้

 

ปี ค.ศ. 1949 เยรูซาเลม ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอิสราเอล เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งเกี่ยวพันกับ 3 ศาสนา คือ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ และการมาครั้งที่สองของพระองค์ก็จะเกิดที่เมืองนี้เช่นกัน

 

ส่วนชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นเมืองที่ นบีมุฮัมมัดถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ จึงการแย่งชิงเมืองนี้กันตลอดมา เพราะต่างมีความเชื่อว่าศาสดาของตน ขึ้นสวรรค์ที่เมืองนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ 2 ศาสนา มีบันทึกตรงกัน แต่คนละศาสดา ??

 

ปี ค.ศ. 1953 หมู่บ้านชาวอาหรับถูกทำลายไป 161 แห่ง การกระทำที่โหดเหี้ยมที่สุดคือการฆ่าคนเกือบทั้งหมู่บ้านเดรยัสซีน ทำให้ชาวอาหรับต้องหนีออกจากประเทศไปอย่างมากมาย ปี 1956 ยิวบดขยี้ หมู่บ้านชาวอาหรับ ราบเรียบและขับไล่ผู้อยู่อาศัยออกไป จึงจะแน่ใจได้ว่าจะไม่มีหมู่บ้านเหลืออยู่ให้ชาวอาหรับหวนกลับมาได้

 

การตั้งหลักแหล่งของชาวยิว คือ นโยบายที่จะทำให้ชาวยิวมาตั้งบ้านเรือนล้อมที่อยู่ของชาวอาหรับไว้ เพื่อป้องกันมิให้ชาวอาหรับรวมตัวกันได้ และตั้งใจจะผนวกฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและฉนวนกาซา เข้าเป็นของอิสราเอล ชาวยิวมีวิธียึดครองที่ดินเช่นนี้มากมาย เช่น ออกกฎหมายยึดเอาที่ดิน เนรเทศเจ้าของเดิมออกไป ออกกฎหมายให้ที่ดินนั้นเป็นเขตต้องห้าม ทำลายบ้านเรือนชาวปาเลสไตน์

 

ใช้วิธีควบคุมบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และการกดขี่ปราบปรามชาวปาเลสไตน์ ฯลฯ ในด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ทางการอิสราเอลก็ใช้วิธีสั่งห้าม และเข้าควบคุมการตัดสินใจทุกอย่างในด้านการศึกษาของชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งการขู่เข็ญมิให้นักศึกษาหนุ่มสาวของชาวปาเลสไตน์กล้าแข็งต่อต้านอิสราเอล

 

การเข้ายึดครองของอิสราเอล จึงทำให้ชาวปาเลสไตน์กลายเป็นคนต่ำต้อยถูกกดขี่ ชาวปาเลสไตน์อาหรับจะรู้สึกว่าพวกไซออนิสต์เป็นศัตรูตัวร้าย พวกเขาพยายามรวมตัวกันทางการเมืองเพื่อต่อต้านชาวอิสราเอล แต่ก็เสียเปรียบในด้านการเงินและอาวุธ ดังนั้นขบวนการกู้ชาติของอาหรับในปาเลสไตน์ จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายแต่ก็ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว จำต้องใช้การต่อสู้แบบไม่เปิดเผย

 

ปี ค.ศ.1956 หลังจากอียิปต์ สู้รบแพ้อิสราเอลในวิกฤตการณ์คลองสุเอซ หรือสงครามสุเอซ-ซีนาย ประธานาธิบดีกามาล อับเดล นัสเซอร์ ของอียิปต์ ก็ประกาศจะล้างแค้น และสนับสนุนขบวน การชาตินิยมของชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับลงมือจัดตั้งพันธมิตรอาหรับที่ราย รอบประเทศอิสราเอล และระดมสรรพกำลังเตรียมทำสงคราม

 

แนวหน้ารวมกำลังแห่งชาติ อัล-ฟาตะฮ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีความมุ่งหมาย ที่จะสร้างแนวร่วมของชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดขึ้นมา โดยรวมเอาขบวนการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์เข้าด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของความคิดทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม

 

ปี ค.ศ.1964 ได้มีการจัดตั้งองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (พีแอลโอ) ขึ้น โดยประธานาธิบดี อียิปต์ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ เลือกประธานคนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น นั่นคือ นายยัสเซอร์ อาราฟัต ที่เขาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง มาตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งกษัตริย์ฟาฮัด ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

 

และได้เข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอียิปต์เมื่อครั้งสงครามคลองสุเอซ จากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในที่สุด อาราฟัต พยายามอย่างยิ่งในการแสดงให้ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของชาวปาเลสไตน์ และ พยายามแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรม ในการกอบกู้ดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนจากอิสราเอล

 

อัล-ฟาตะฮ กลายเป็นหน่วยที่มีพลังมากที่สุดในองค์การพีแอลโอ ชาวปาเลสไตน์ได้ประกาศความมุ่งหมายของพวกเขาออกมา คือพวกเขาจะต่อสู้เพื่อกลับไปสู่ประเทศที่เป็นมาตุภูมิของตน และจะจัดตั้งปาเลสไตน์ซึ่งเป็นอิสระและเป็นประชาธิปไตยขึ้น

 

ความไม่พอใจให้ชนชาติอาหรับ จนกลุ่มชาติอาหรับจัดตั้งกองกำลังบุกเข้าอิสราเอล หวังที่จะกลาดล้างชาวยิวให้สิ้นซาก สงครามที่กินเวลายานาน 8 เดือน ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของชาติอาหรับ แต่ก็ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันต่อเนื่องมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

 

ปี ค.ศ. 1967 เกิด “สงคราม 6 วัน” โดยประธานาธิบดี อียิปต์ ส่งกองกำลังทหารกว่า 7 แสนนาย จากความร่วมมือของชาติอาหรับ 7 ชาติ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกองกำลังเพียง 2 แสนนายเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นว่ายิวเป็นฝ่ายมีชัยในสงคราม ผลการรบ อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย อิรัก สูญเสียกองทัพอากาศไปทั้งหมด

 

โดยรวมแล้ว อียิปต์เสียทหาร 11,000 นาย จอร์แดนเสียประมาณ 6,000 นาย ซีเรียเสียราว 1,000 นาย และอิสราเอลเสีย 700 นาย ยิว ยังยึดดินแดนของฝ่ายชาติอาหรับมาเป็นของตน ขยายเขตแดนไป 3-4 เท่า เช่น เขตกาซ่าตะวันออก แหลมซีนายของอียิปต์ เขตเวสต์แบงก์ ที่ราบสูงโกรันของซีเรีย นครเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งดินแดนที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ยังถูกอิสราเอลครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน

 

นอกเหนือจากชัยชนะครั้งนี้แล้ว อิสราเอลยังฉวยโอกาสนี้ทำการขับไล่ชาวอาหรับออกจากจากดินแดนของตนเป็นจำนวนมาก จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาติอาหรับลดความนับถือต่อประธานาธิบดี อียิปต์ เป็นอย่างมาก

 

โดย... เสธ น้ำเงิน4

ที่มาอิมามียะฮ์เจอร์นัล

แสดงความเห็น