อเมริกามีบทบาทในการสร้างวิกฤติในอิรักขณะนี้หรือไม่?
สำนักข่าวทีวีชีอะฮ์ ฝ่ายข่าวต่างประเทศ รายงาน
ตามการรายงานสำนักข่าวฟารซ์นิวส์ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอเมริกาอ้างว่า ประเทศของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในวิกฤตปัจจุบันในอิรัก ในขณะที่พยานหลักฐานและกรณีแวดล้อมต่างๆ ได้ชี้ชัดเกี่ยวกับการสนับสนุนต่างๆ ทางการเงินและอาวุธของวอชิงตันต่อกลุ่มก่อการร้ายดาอิช (ISIS)
ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (23/06/2014) นาย “จอห์น เคอร์รี่” ได้เดินเข้าสู่ประเทศอียิปต์ ในการแถลงข่าวร่วมกับนาย "ซามิห์ ชุกรี่" รัฐมนตรีต่างประเทศของอียิปต์ เขาได้กล่าวคำพูดต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศอิรักซึ่งฟังดูแล้วเป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “อเมริกาไม่ใช่ผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอิรัก" แต่ช่วงเวลาของการแสดงทัศนะความเห็นดังกล่าวยังผ่านไปไม่ทันเท่าใด โทรทัศน์จากซีเอ็นเอ็นได้รายงานคำพูดของนาย "แรนด์ พอล" วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ของอเมริกาแก่กลุ่มก่อการร้าย “รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย” (ISIS) หรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม “ดาอิช”
นาย "แรนด์ พอล" ถือว่านโยบายต่างๆ ที่ผิดพลาดของอเมริกาและการแทรกแซงในขอบข่ายของวิกฤตในซีเรีย กลายเป็นที่พักพิงที่ดียิ่งสำหรับบรรดากลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง นำไปสู่ความสับสนวุ่นวายและวิกฤตในภาคเหนือของประเทศอิรัก พร้อมกันนั้นเขาได้กล่าวว่า “หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กลุ่มดาอิช (ISIS) เกิดความเข้มแข็ง คือการที่อเมริกาได้ส่งอาวุธต่างๆ ไปให้บรรดาพันธมิตรของกลุ่มนี้ที่อยู่ในซีเรีย กลุ่มดาอิช (ISIS) ในซีเรียนั้นคือพันธมิตรของเรา เราได้มอบอาวุธให้แก่กลุ่มติอาวุธนี้เพื่อผลักดันกองกำลังทหารที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลดามัสกัสให้ถอยร่นไป และสร้างสถานที่มั่นที่ปลอดภัยให้แก่กลุ่มเหล่านี้ในซีเรีย ในทัศนะของผมแล้วการแทรกแซงของเราในซีเรียนั่นเองที่นำไปสู่สถานการณ์ปัจจุบันที่ดำเนินอยู่ในอิรัก"
เขากล่าวเสริมว่า "ในสงครามซีเรียนั้น เราเป็นพันธมิตรกับกลุ่มดาอิช (ISIS) และในความเป็นจริงแล้วเราอยู่ในแนวรบเดียวกันกับกลุ่มนี้ ในการทำสงครามกับบัชชาร อัลอะซัด ประธานาธิบดีของซีเรีย จนมาถึงตอนนี้ จะให้เราเข้าแทรกแซงทางทหารในอิรัก ด้วยการยืนเผชิญหน้ากับพันธมิตรของตนเองในซีเรียกระนั้นหรือ?! สิ่งนี้เป็นความขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง"
แม้ว่าวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันผู้นี้จะเปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทของอเมริกาในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มก่อการร้าย “ดาอิช” (ISIS) และการติดอาวุธให้แก่พวกเขาก็ตาม แต่คำพูดนี้ก็เป็นคำตอบโต้หนึ่งต่อคำกล่าวอ้างของ “จอห์น เคอร์รี” เกี่ยวกับกรณีที่ว่า “อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานการณ์ภายในประเทศอิรัก” ได้
และอีกคำตอบโต้หนึ่ง คือการให้เขาลองย้อนกลับไปดูอดีตที่ผ่านไปที่ไม่นานมานี้ นั่นคือก่อนปี 2003 หมายถึง ในช่วงก่อนการบุกโจมตีอิรักของอเมริกา ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่มีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับกลุ่มอัลกออิดะฮ์และกองกำลังต่างๆ ของกลุ่มตักฟีรีย์ในประเทศนี้เลย แต่ทันทีหลังจากการยึดครองอิรักของทหารอเมริกัน จังหวัดอัลอันบารกลายเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ของพวกตักฟีรีย์ไป
ในช่วงเวลานั้นข้ออ้างของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ คือการตั้งฐานทัพของอเมริกาในอิรัก และเป้าหมายของพวกเขาคือการฆ่าบรรดาทหารอเมริกัน แต่ภายหลังจากการถอนตัวของกองกำลังสหรัฐออกจากอิรัก ประชาชนชาวอิรักทั้งชีอะฮ์และซุนนีได้กลายเป็นเป้าการโจมตีต่างๆ ของพวกเขา แม้ว่ากลุ่มกบฏเหล่านี้พยายามที่จะแสดงตนเองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ แต่ในความเป็นจริงพวกเขาเกิดจากการรวมกันของกลุ่มตักฟีรีย์และอดีตสมาชิกของพรรคบาธของอิรัก
เมื่อพิจารณาถึงประวัติการณ์ดังกล่าวนี้ คงจะต้องถามย้อนกลับไปยังนายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอเมริกาว่า หากพวกเขา (รัฐบาลอเมริกัน) ไม่มีบทบาทและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอิรักขณะนี้แล้ว เขาสามารถยกตัวอย่างสักตัวอย่างหนึ่งได้ไหม เกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ ของกลุ่มตักฟีรีย์ในประเทศอิรักที่เกิดขึ้นก่อนปี 2003
แม้ว่าในช่วงแรกจะไม่สามารถชี้ชัดถึงการเริ่มต้นของการปฏิบัติการต่างๆ ของกลุ่มก่อการร้าย “ดาอิช” (ISIS) ในอิรักได้ว่า เบื้องหลังฉากของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้คืออะไร? แต่มาตอนนี้เมื่อฝุ่นของเหตุการณ์นี้ได้จางลง และท่าทีต่างๆ ของบรรดาเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ชัดเจนขึ้น ทำให้รู้ว่าครั้งนี้ก็เช่นกันที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมต่างๆ เหล่านี้ของกลุ่ม “รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย” (ISIS) จะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงสูงสุดจากการโจมตีของกลุ่มดาอิช (ISIS) เข้าไปยังเมืองต่างๆ อิรัก เมื่อรัฐบาลของกรุงแบกแดดได้เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากอเมริกาให้ช่วยปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย “รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย” (ISIS) แต่วอชิงตันกลับประกาศว่า “เงื่อนไขของประเทศนี้ (สหรัฐอเมริกา) สำหรับการช่วยเหลือและการสนับสนุนกรุงแบกแดด คือการลาออกจากอำนาจของนายนูรี อัลมาลิกี”
จากการพิจารณาถึงประเด็นนี้นั่นเองที่นักวิเคราะห์บางคนได้กล่าวว่า : เป็นได้ว่าอเมริกากำลังติดตามแผนของซาอุดีอาระเบียในอิรัก ตามความเชื่อของนักวิเคราะห์เหล่านี้ ได้มีข้อตกลงแลกเปลี่ยนบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างอเมริกาและซาอุดิอาระเบีย ในประเด็นของอิรักและอียิปต์ กล่าวคือ ซาอุดิอาระเบียจะเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ต่างๆ ของอเมริกาในกรุงไคโร และจะให้การช่วยเหลือรัฐบาลของอับดุลฟัตตาห์ อัซซีซีย์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ เพื่อให้เขาดำเนินนโยบายในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายต่างๆ ของอเมริกาในภูมิภาค ตามที่ฮุสนี มุบาร็อกอดีตประธานาธิบดีของอียิปต์ได้เคยปฏิบัติ ส่วนอเมริกาก็จะคอยให้การสนับสนุนโดยทางลับแก่กลุ่มดาอิช (ISIS) ในอิรัก
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องกล่าวว่า การช่วยเหลือของอเมริกาต่อบรรดากลุ่มตักฟีรีย์นั้นมีตัวอย่างที่ผ่านมาแล้วในอดีต ในความเป็นจริงแล้ว การขับไล่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน ในช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบนั้นบางทีอาจนับได้ว่า เป็นแรงบันดาลใจแรกที่ทำให้เกิดกลุ่มก่อการร้าย “อัลกออิดะฮ์” อเมริกาไม่ต้องการที่จะเข้าสู่การเผชิญหน้าโดยตรงกับสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน จึงได้พยายามหาทางจัดตั้งกลุ่มที่มีแนวคิดเบี่ยงเบน โดยอาศัยการหลอกล่อพวกซาละฟีย์หัวรุนแรงจำนวนหนึ่งในกลุ่มประเทศอิสลาม และปลุกปั่นอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ แห่งอิสลามของพวกเขา ภายใต้เปลือกของความเชื่อต่างๆ ที่ว่างเปล่าและภาพภายนอกของศาสนา เพื่อสนองตอบผลประโยชน์ต่างๆ ของอเมริกาในภูมิภาค เป็นไปตามขั้นตอนนี้ องค์กรนี้จึงถูกจัดตั้งขึ้นในช่วงปลายปีทศวรรษ 1970 ภายใต้ชื่อสำนักงาน “มักตับ อัลคิดมะฮ์” (ศูนย์บริการ) และมีวัตถุประสงค์เพื่อการฝึกอบรม การสนับสนุนและระดมบรรดานักต่อสู้ (มุญาฮิดีน) จากโลกอาหรับ เพื่อให้ทำสงครามกับอดีตสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ดี ภารกิจของกลุ่มนี้ได้บรรลุผลอย่างรวดเร็วมาก จึงทำให้ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 8 กองทัพของสหภาพโซเวียตจำเป็นต้องถอยร่นออกจากอัฟกานิสถาน
แต่นี้มิได้เป็นจุดสิ้นสุดของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ชัยชนะของแผนการนี้ทำให้บรรดาผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของตะวันตกได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการนี้ในภูมิภาคตะวันออกกลางต่อไปอย่างต่อเนื่อง และที่ใดก็ตามที่เห็นถึงความจำเป็นในการพิทักษ์ผลประโยชน์ต่างๆ ของตะวันตก กลุ่มนี้ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ สวนหนึ่งจากตัวอย่างของเรื่องนี้สามารถชี้ให้เห็นได้ในกรณีวิกฤตซีเรีย ในความเป็นจริงแล้ว ในวิกฤตของซีเรียนั้น รัฐบาลอเมริกันได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้อีกครั้งหนึ่งด้วยการสนับสนุนโดยทางอ้อม การสนับสนุนต่างๆ ทางการเงิน การทหารและเชิงกลยุทธ์ได้เกิดขึ้นถึงขั้นที่ว่า ทำให้กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ สามารถบรรลุสู่ผลสำเร็จต่างๆ และโดยหนทางของการเผชิญหน้ากับกองทัพของซีเรีย ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมพื้นที่บางส่วนไว้ในอำนาจของตนเองได้ เมื่อพิจารณาถึงกรณีเหล่านี้แล้วจึงทำให้เห็นว่าคำพูดของจอห์น เคอร์รี เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า อเมริกาไม่ได้มีบทบาทและส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในเหตุการณ์ต่างๆ ล่าสุดที่เกิดขึ้นในอิรักนั้น กลายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากและไร้ตรรกะโดยสิ้นเชิง
Cr.islamicstudiesth
แสดงความเห็น