ชีวประวัติของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ บุตรีแห่งศาสดาอิสลาม

ชีวประวัติของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ บุตรีแห่งศาสดาอิสลาม

 

นาม : ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ

บิดา : ศาสดา มุฮัมมัด (ศ็อลฯ)

มารดา : ท่านหญิงคอดิญะฮ์

วันประสูติ : วันศุกร์ที่ 20 ญุมะดุลอาคิร (หลังศาสดาถูกแต่งตั้ง 5 ปี )

สถานที่ประสูติ : นครมักกะฮ์ อันทรงเกียรติ

ปีชะฮาดัต  : ฮ.ศ. 11

สถานที่ชะฮาดัต : นครมะดีนะฮ์ มุเนาวะเราะฮ์

สุสาน : ไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด (จนกว่าอิมามมะฮ์ดีจะปรากฏกาย และท่านอิมามเป็นผู้บอกกับบรรดามุสลิมทั้งหลาย เกี่ยวกับกุโบร์ของท่านหญิง

 เราขอนำเสนอทุกท่าน มาทำความรู้จักกับสตรีตัวอย่างในอิสลามสักท่านหนึ่ง นั่นคือ

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซ ซะฮ์รอ (อ) บุตรีผู้เลอศักดิ์ของท่านศาสดาแห่งอิสลาม

ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ คือบุตรีของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)

ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ คือภรรยาของท่านอิมามอะลี (อ)

ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ คือมารดาของอิมามฮาซัน (อ) อิมามฮูเซน (อ) และท่านหญิงซัยนับ (อ)และท่านหญิงอุมมุลกุลซูม (อ)

 

การกำเนิดของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)

 

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ถือกำเนิดหลังจากที่บิดาของนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นทางการ 5 ปี และหลังจากเหตุการณ์อัลอิสรออ์ และมิอ์รอจ 3 ปี

ท่านญิบรออีลได้นำข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องการถือกำเนิดของนางมาแจ้งให้ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้รับทราบ นางถือกำเนิดที่นครมักกะฮ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 เดือนญะมาดิลอาดิร

 

บ้านแห่งการวิวรณ์ (วะฮ์ยู) ถูกประทานลงมา

 

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ได้ถูกเลี้ยงดูอบรมเจริญวัยมาในบรรยากาศแห่งกลิ่นไอของวะฮ์ยู และสภาวะการเป็นศาสดาของผู้เป็นบิดา ซึ่งอยู่ภายในบ้านที่เต็มไปด้วยพจนารถแห่งพระองค์อัลลอฮ์ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันไพโรจน์ วันหนึ่ง ท่านหญิงอาอิชะฮ์ได้ถามท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ว่า "เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงมีความรักต่อท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) มากเช่นนี้? เพราะทุกครั้งท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จะลุกขึ้นยืนต้อนรับท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ  (อ) เสมอในยามที่นางเข้าพบท่าน และท่านจะจุมพิตศีรษะและมือของนางทุกครั้งอีกด้วย"

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) จึงได้กล่าวตอบแก่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ว่า "โอ้ อาอิชะฮ์ แน่นอนที่สุดถ้าหากเธอได้รู้ในสิ่งที่ฉันรู้ เธอก็จะต้องรักนางเหมือนกับที่ฉันรัก ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ นั้นเป็นเลือดเนื้อก้อนหนึ่งของฉัน ผู้ใดที่ทำให้นางโกรธ แน่นอนเท่ากับเขาทำให้ฉันโกรธ และผู้ใดทำให้นางมีความพึงพอใจก็เท่ากับเขาได้ทำให้ฉันพอใจ"

บรรดามุสลิมต่างเคยได้ยินได้ฟังท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) มีวจนะไว้ว่า

 "การที่ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ ได้ถูกขนานนามว่า "ฟาติมะฮ์" ก็เพราะเนื่องจากพระองค์อัลลอฮ์ผู้ทรงเกียงไกร จะทรงปกป้องคุ้มกันบุคคลที่ให้ความรักแก่นาง รอดพ้นจากไฟนรก"

ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) มีลักษณะคล้ายคลึงกับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ทั้งในด้านบุคลิกภาพและจริยธรรม

ท่านหญิง อุมมุสะลามะฮ์ ภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า

 "ฟาติมะฮ์ เป็นผู้ที่คล้ายคลึงกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มากที่สุด"

 ท่านหญิงอาอิชะอ์ก็ได้กล่าวเช่นกันว่า "แท้จริงฟาติมะฮ์เป็นผู้ที่คล้ายกับท่านศาสดามากที่สุด ทั้งในด้านการใช้คำพูดและการเจรจาพาที"

 

ท่านหญิง ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ผู้เป็นมารดาแห่งบิดาของนาง

 

นางเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลบิดาของนางตั้งแต่มีอายุได้เพียง 6 ขวบ เพราะนับตั้งแต่มารดาของนางคือ ท่านหญิงคอดีญะฮ์ (อ)  ได้เสียชีวิตไปแล้ว นางได้ทำหน้าที่เติมช่องว่างที่เกิดขึ้นให้แก่ครอบครัวอันเนื่องจากความสูญเสียมารดาของนางแก่บิดาของนางอย่างสมบูรณ์แบบ

ท่านหญิงได้ร่วมทำงานประกาศอิสลามกับบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นคือการเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต่างๆ จากพวกผู้ตั้งภาคีในนครมักกะฮ์เวลานั้น ท่านหญิงทำหน้าที่รักษาบาดแผลของบิดา และชำระล้างสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่บรรดาคนโง่เขลาในหมู่ชาวกุเรชกระทำให้บิดาแปดเปื้อน

ท่านหญิงได้พูดปลอบโยนบิดาของท่านในยามทุกข์ เพื่อที่จะได้นำความสุขเข้าสู่จิตใจของบิดา ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ขนานนามเรียกท่านอีกนามหนึ่งว่า "ผู้เป็นมารดาแห่งบิดาของนาง" ทั้งนี้ก็เพราะท่านได้ทุ่มเทความห่วงหาอาทร และความห่วงใยต่อบิดาเฉกเช่นมารดาที่แสดงต่อบุตรอย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง

 

การสมรสของท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ)

เมื่อท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ) ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และถึงเวลาที่ท่านจะได้ออกเรือนมีสามี ก็ได้มีสาวกของท่านศาสดาเป็นจำนวนมากแวะเวียนมาสู่ขอในจำนวนบุคคลเหล่านั้น

 ได้แก่ท่านอบูบักร และท่านอุมัร ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ตอบปฏิเสธผู้มาสู่ขอทั้งสองว่า

 "ฉันเองก็กำลังรอคอยพระบัญชาเกี่ยวกับเรื่องของนางจากพระองค์อัลลอฮ์อยู่"

ญิบรออีลได้ลงมาแจ้งข่าวแก่ท่านศาสดามุฮัมมัดว่า

 "พระองค์ได้ทรงจัดการสมรสให้นางกับอะลีแล้ว" ด้วยเหตุนี้เมื่ออิมามอะลี (อ) ได้เดินเข้ามาหา ทั้งๆ ที่มีความละอายเพื่อจะมาสู่ขอท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงเข้าไปถามท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ เพื่อขอทราบความเห็นของนาง โดยกล่าวกับนางว่า

 "โอ้ฟาติมะฮ์ แท้จริงอะลี อิบนิ อบีฏอลิบ ซึ่งเธอก็รู้จักเขาดีในฐานะเครือญาติ อีกทั้งในความเป็นผู้มีเกียรติ และการนับถืออิสลามของเขา แท้จริงพ่อได้วิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลว่า ให้พระองค์จัดการสมรสเธอกับผู้ที่ดีที่สุดสักคนหนึ่ง ที่มีความรักในพระองค์มากกว่าผู้คนทั้งคนหลาย บัดนี้อะลีได้มาสู่ขอเธอแล้ว เธอจะมีความคิดเห็นอย่างไร?

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) นิ่งเงียบก้มหน้ามองพื้นที่ด้วยความอาย ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงกล่าวว่า "อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกร การนิ่งเงียบของนางย่อมหมายถึงความพึงพอใจของนางนั่นเอง"

 

พิธีสมรสที่เรียบง่ายของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)

 

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้จับมือท่านอิมามอะลี (อ.) แล้วกล่าวว่า

 "ลุกขึ้นเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ และจงกล่าวเถิดว่า โดยบารมีแห่งอัลลอฮ์โดยพระประสงค์ของพระองค์ ไม่มีพลังอำนาจใดนอกจากโดยการอนุมัติของพระองค์ ข้าขอมอบกายถวายตนแด่พระองค์" หลังจากนั้นท่านก็ได้นำอิมามอะลี (อ) เข้าไปนั่งเคียงข้างกับท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) แล้วกล่าวว่า

 "โอ้พระองค์ บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้ที่ข้าพระองค์รักมากที่สุด ดังนั้นขอพระองค์ทรงรักเขาทั้งสอง และโปรดประทานความจำเริญให้แก่เชื้อสายวงศ์วานของเขาทั้งสอง และทรงบันดาลให้เขาทั้งสองได้รับการปกป้องจากพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองให้เขาทั้งสอง และเชื้อสายของเขาทั้งสองรอดพ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง"

หลังจากนั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ก็ได้จูบไปที่หน้าผากของทั้งสองเพื่อแสดงความยินดี แล้วกล่าวว่า "โอ้อะลี ภรรยาที่ประเสริฐที่สุดนั้น คือภรรยาของเจ้า" และได้กล่าวแก่ฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ ว่า "โอ้ฟาติมะฮ์ สามีที่ประเสริฐที่สุดนั้น ได้แก่สามีของเจ้า"

ท่ามกลางความยินดีของบรรดาสตรีชาวมุฮาญิรีน ชาวอันศอร และตระกูลบนีฮาชิม ครอบครัวอย่างอันบริสุทธิ์ก็ได้เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ จนเกิดวงศ์วานแห่งอะห์ลุลบัยต์ ซึ่งพระองค์ทรงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้พ้นจากพวกเขา และทรงชำระขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์

พิธีสมรสอันเรียบง่าย ตามหลักการอันสูงส่งของอิสลามก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์

ทั้งๆ ที่อิมามอะลี (อ) ไม่มีทรัพย์สินใดๆ อยู่ในครอบครองเลย นอกจากดาบและเสื้อเกราะเพียงตัวเดียว อิมามอะลี (อ) ต้องการที่จะขายดาบแต่ท่านศาสดาได้ห้ามไว้ เพราะอิสลามอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องอาศัยดาบของอิมามอะลี (อ) และตกลงให้ขายเสื้อเกราะ ดังนั้นท่านอิมามอะลี (อ) จึงนำไปขายแล้วเอาเงินจำนวนนั้นมามอบให้แก่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นสินสอดทองหมั้นในวันแต่งงาน

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้สั่งให้ซื้อสิ่งของที่ดีและเรียบง่ายมา เพื่อใช้ตามความจำเป็นของครอบครัวใหม่ เรือนหอของอิมามอะลี (อ) ก็นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ

พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ) องค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงรู้ซึ้งถึงระดับของความรักความผูกพันในหัวใจของผู้บริสุทธิ์ทั้งสอง นั่นคือหัวใจของอิมามอะลี (อ) กับหัวใจของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ทั้งนี้ก็เพราะความรักของคนทั้งสองมีเพื่อพระองค์ และอยู่ในหนทางของพระองค์

 ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) นั้นมีความตระหนักดีถึงภารกิจที่เสียสละ และการต่อสู้ของสามีของนางที่มีเพื่ออิสลาม และต่อคำสอนของบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของนางเอง

สามีของนางได้ทำหน้าที่ต่อสู้มาตั้งแต่เริ่มต้นของการประกาศอิสลาม ทำหน้าที่ถือธงรบของอิสลามในทุกสมรภูมิ และทุกสงครามที่มุสลิมต้องเข้าไปต่อสู้ และแทบจะไม่เคยอยู่ห่างท่านศาสดาเลยแม้สักครั้งเดียว ฉะนั้น ท่านหญิงจึงพยายามอย่างที่สุดในการปรนนิบัติสามี และแบ่งเบาภาระอันหนักหน่วงของสามี และเป็นภรรยาที่เชื่อฟังต่อสามีอย่างดีที่สุด ท่านหญิงได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อสามีของท่านกลับมาก็ได้พบกับบรรยากาศที่น่าอยู่ ให้ความสงบแก่จิตใจและความสันติสุข

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) เป็นพฤกษชาติที่สวยงามที่สุด ซึ่งหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง และชูกิ่งก้านสูงเสียดฟ้า เพราะนางเจริญเติบโตมาท่ามกลางคำสอนของวิวรณ์ (วะฮ์ยู) แห่งพระผู้เป็นเจ้า และได้รับการเลี้ยงดูมาตามคำสอนของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานโดยบิดาของนางที่เป็นศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า

ชีวิตการครองเรือนได้หล่อหลอมให้สองชีวิตเป็นหุ้นส่วนของกันและกันจนกลายเป็นชีวิตเดียวกัน ชีวิตครอบครัวที่ประกอบด้วยความเกื้อกูลความรักใคร่และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน การดำเนินชีวิตคู่ของอิมามอะลี (อ) และท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ) เป็นตัวอย่างของชีวิตในการครองเรือนที่มีเกียติยิ่ง

ท่านอิมามอะลี (อ) จะช่วยเหลือท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ) ทำงานบ้านเสมอที่มีโอกาศ ในขณะที่ท่าหญิงก็พยายามที่สร้างความพึงพอใจและทำให้จิตใจของท่านอิมามอะลี (อ) มีความสุขที่สุดตลอดเวลา การพูดคุยกันระหว่างคนทั้งสองเป็นจรรยา และความเคารพต่อกันอย่างที่สุด ท่านอิมามอะลี (อ) จะเรียกท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)  ว่า

 "โอ้บุตรสาวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์" ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ) ก็จะเรียกอิมามอะลี (อ) ว่า

 "โอ้อะมีรุลมุอ์มินีน (ประมุขแห่งศรัทธาชน"

ทั้งสองเป็นบิดามารดาตัวอย่างในการให้ความรักแก่ลูกๆ

ในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่สาม ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ก็ได้กำเนิดบุตรชายคนแรก ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ตั้งชื่อให้เขาว่า "ฮะซัน" การถือกำเนิดของเขา ทำให้หัวใจของท่านศาสดาเต็มไปด้วยความสุข ท่านได้กล่าวอะซานที่หูข้างขวา และกล่าวอิกอมะฮ์ที่หูข้างซ้าย อีกทั้งยังได้อ่านโองการพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่เขาอีกด้วย ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปี "ฮูเซน" ก็ได้กำเนิดมาเป็นลูกชายคนที่สองในครอบครัวนี้

พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เชื้อสายของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ถือกำเนิดมาจาก

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)  ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จะอุ้มหลานสองคนของท่านเสมอ และเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูคนทั้งสองอย่างยิ่ง ท่านเคยกล่าวว่า

 "เขาทั้งสองเป็นกลิ่นหอมที่สุดสำหรับท่านในโลกนี้" ท่านจะอุ้มหลานทั้งสองออกไปพร้อมกับท่านหรือให้นั่งในตักอันอบอุ่นของท่านเสมอ

ในวันหนึ่งท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ไปเยี่ยมบ้านของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ซึ่งตรงกับช่วงที่เด็กน้อยฮะซันกำลังร้องไห้ด้วยความหิวอยู่พอดี ในขณะนั้นท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) กำลังนอนหลับอยู่ท่านจึงจัดการนำภาชนะมาใส่นมและป้อนด้วยมือของท่านเอง

อีกครั้งท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้เดินผ่านหน้าบ้านของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) อีกในวันหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฮูเซน ท่านได้กล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า

 "พวกเธอไม่รู้ดอกหรือว่า เสียงร้องไห้ของเขาทำให้ฉันเจ็บปวดยิ่งนัก"

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปีบุตรสาวนามว่า "ซัยนับ" ก็ได้ถือกำเนิดมาในโลก ต่อจากนั้นบุตรสาวอีกคนนามว่า "อุมมุกุลซูม" ก็ถือกำเนิดตามมาอีกคนหนึ่ง เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ทรงมีพระประสงค์จะให้เชื้อสายของท่านศาสนทูตมาจากฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ (อ) บุตรีของท่านเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อันเป็นเชื้อสายที่มาจากรัศมีเดียวกัน แน่นอนยิ่งพระองค์อัลลอฮ์ทรงได้ยินทรงรอบรู้ยิ่ง

 

บ้านของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)

 

ถึงแม้ว่าชีวิตของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) จะสั้น แต่ท่านหญิงก็เป็นคนที่มีความดีงามและความจำเริญในด้านต่างๆอย่างสมบูรณ์แบบ ท่านหญิงเป็นต้นแบบและเป็นแบบฉบับของบรรดาสตรี กล่าวคือท่านเป็นทั้งสตรีตัวอย่าง และภรรยาตัวอย่าง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นประมุขของบรรดาสตรีในสากลโลก

ท่านหญิงมัรยัม บินติ อิมรอน นั้น เป็นประมุขของบรรดาสตรีในยุคสมัยของนาง ท่านหญิงอาซียะฮ์ ภรรยาฟิรอูน ก็เป็นประมุขของบรรดาสตรีในสมัยของนางเช่นกัน ทำนองเดียวกับท่านหญิงคอดีญะฮ์ บินติ คุวัยลิด แต่สำหรับท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) นั้น อิสลามได้มอบฐานะประมุขของบรรดาสตรีให้แก่ท่านไปตลอดทุกยุคทุกสมัย

ท่านเป็นแบบอย่างในทุกด้าน กล่าวคือสมัยที่ท่านยังเป็นหญิงสาวท่านก็ได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติบิดา และมีส่วนร่วมในการรับความเจ็บปวดของบิดา เมื่อท่านเป็นภรรยาก็ได้ปรนนิบัติสามีอย่างดีเลิศ จนสามีมีความอบอุ่นใจและความสงบแห่งจิตวิญญาณ เมื่อท่านเป็นมารดา ก็ได้ให้การเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยความรัก ด้วยความดีงามและจริยธรรมที่มีเกียรติยิ่ง จนอิมามฮะซัน (อ) อิมามฮูเซน (อ) ท่านหญิงซัยนับ (อ) เป็นแบบอย่างอันสูงส่งในโลกแห่งจริยธรรมและมนุษยธรรม

เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เดินทางกลับจากการบำเพ็ญฮัจญ์ครั้งสุดท้าย ท่านได้ล้มป่วยลง และอาการทวีความรุนแรงขึ้นจนหมดสติ ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ได้เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อบรรเทาอาการป่วยของบิดา ท่านต้องหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ด้วยความปรารถนาที่จะตายแทนบิดาเสียเอง

ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ลืมตามขึ้นมา ด้วยการตั้งความหวังอยู่กับบุตรสาวคนเดียวของท่าน ท่านได้ขอร้องนางให้อ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานด้วยเสียงที่สำรวม โดยมีบิดาอ่านคลอด้วยความนอบน้อมที่มีต่อพจนารถแห่งพระผู้เป็นเจ้า ท่านศาสดาต้องการที่จะให้โอกาสสุดท้ายของชีวิตอันจำเริญที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของท่าน หมดสิ้นไปพร้อมกับการอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคลอตามเสียงของบุตรสาวของท่าน ที่คอยดูแลเอาใจใส่ท่านตั้งแต่เล็กแต่น้อย และยืนหยัดเคียงข้างท่านตลอดมากระทั่งเป็นผู้ใหญ่

ในที่สุดท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ก็ได้กลับหวนคืนสู่พระผู้เป็นเจ้าผู้ การจากไปของท่านก็เป็นความโศกเศร้าอาดูรอย่างใหญ่หลวงสำหรับบุตรสาวผู้บริสุทธิ์ของท่าน ซึ่งหัวใจของท่านมิอาจจะรับความทุกข์โศกเหล่านั้นได้ท่านจึงร้องไห้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

หลังจากนั้นสถานการณ์ทางด้านการเมือง และกลุ่มผู้ลุ่มหลงในผลประโยชน์ก็ได้สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้แก่ท่านอีกครั้งหนึ่ง โดยการช่วงชิงที่สวน "ฟะดัก" ของท่านไป และทำเป็นไม่รับรู้ในสิทธิเกี่ยวกับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของสามีของนาง ทว่าท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) พยายามปกป้องสิทธิของท่านอย่างเต็มความสามารถ ท่านได้แสดงจุดยืนอันแน่วแน่ในเรื่องนี้อย่างกล้าหาญ ท่านอิมามอะลี (อ) ตระหนักดีว่าการที่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิอันชอบนั้น จะเป็นชนวนที่ผู้ต่อต้านนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ และในที่สุดความพากเพียรต่างๆ ของท่านศาสดาก็จะเสียหาย ทำให้ประชาชนกลับไปสู่สภาพอารยธรรมแบบป่าเถื่อนอีกครั้งหนึ่ง

ท่านอิมามอะลี (อ) จึงขอร้องภรรยาผู้ส่งของท่าน ให้มีความอดกลั้นและอดทนเพื่อพิทักษ์รักษาหลักการของอิสลามเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) จึงยอมนิ่งเงียบ แต่ท่านก็ยังคงไม่มีความพึงพอใจอยู่ และได้เตือนสติให้บรรดามุสลิมรู้ว่า ความไม่พึงพอใจของท่านเท่ากับเป็นความไม่พึงพอใจของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และความไม่พึงพอใจของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หมายถึงไม่พึงพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า

ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ)  ได้นิ่งเงียบตลอดไปจนกระทั่งอำลาจากโลกนี้ไป แต่ท่านได้ขอร้องไว้ในคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่า ขอให้ร่างอันไร้วิญญาณของท่านได้ถูกฝังอย่างเงียบที่สุด

 ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) เปรียบเสมือนเทียนที่ถูกจุดเปลวไฟอยู่ แล้วมันได้มอดไปทีละน้อย จากนั้นแสงของมันก็ค่อยๆ หรี่ลงตามลำดับ ท่านจึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นานหลังจากที่บิดาได้อำลาจากโลกไปแล้ว และท่านไม่พึงปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ความเศร้าโศกจะเกิดขึ้นเสมอในทุกๆ โอกาสที่ท่านได้ยินเสียงกล่าวอะซานประโยคที่ว่า

"ฉันขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์"

ท่านหญิงต้องการที่จะได้พบกับบิดาของท่านด้วยความถวิลหาอยู่ทุกวันจนร่างกายซูบผอมลง กระทั่งจิตวิญญาณของท่านปรารถนาจะอำลาจากโลกไป ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องอำลาจากโลกนี้ไป อำลาจากบุตรชายฮะซัน ในขณะที่มีอายุได้ 7 ขวบ บุตรชายฮูเซน มีอายุได้ 6 ขวบ บุตรสาวซัยนับมีอายุได้ 5 ขวบ และอุมมุลกุลซุมมีอายุได้ 3 ขวบ

ความทุกข์ระทมอันเกิดขึ้นโดยที่ท่านได้อำลาจากโลกนี้ไป ประสบแก่สามีของท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมชีวิตกับบิดาของท่านในการต่อสู้เสียสละและเป็นผู้ร่วมชีวิตของท่านมาตลอด ท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ) ได้หลับตาของท่านลงอย่างสนิท หลังจากได้สั่งเสียสามีในเรื่องที่เกี่ยวกับลูกที่ยังเป็นเด็กอยู่ ขณะเดียวกันก็ได้สั่งเสียว่าให้ฝังท่านอย่างลับที่สุด ดังนั้นสุสานของท่านจึงเป็นสิ่งเร้นลับอยู่จนกระทั่งถึงวันนี้ เท่ากับท่านได้ทำเครื่องหมายคำถามอันยิ่งใหญ่ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น? อันหมายความว่าท่านยังเรียกร้องสิทธิของท่านอยู่ และบรรดามุสลิมก็ยังคงไถ่ถามเกี่ยวกับที่ตั้งของสุสานที่ไม่มีใครรู้จักอยู่ตลอดมา

ในคืนนั้นท่านอิมามอิมามอะลี (อ) นั่งลงข้างๆ สุสานของภรรยาอย่างผู้สิ้นหวัง ในขณะที่ความมืดได้ปกคลุมเข้ามา พลางปลอบประโลมวิญญาณของท่านว่า

 "ขอความสันติสุขพึงประสบแด่ท่านด้วยเถิด โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ เป็นสลามจากฉัน และจากบุตรสาวของท่าน ที่บัดนี้ได้มาพำนักอยู่ใกล้เคียงกับท่านแล้ว โดยนางได้ติดตามมาอยู่กับท่านอย่างรวดเร็วที่สุดโอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ความอดทนของฉันมีน้อยเหลือเกินสำหรับการจากไปของสุดที่รักของท่าน ประหนึ่งว่าเนื้อหนังของฉันได้ฉีกขาดไปแล้ว บุตรสาวของท่านคงจะได้บอกเล่าให้ท่านได้รับทราบถึงเรื่องราวของประชาชาติของท่าน ที่ได้กระทำการละเมิดต่อนาง ขอความสันติสุขจากดวงใจที่อำลาพึงประสบแด่ท่านทั้งสองด้วยเถิด"

ที่มาเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์ดอดคอม

แสดงความเห็น