วิลายะตุลฟะกีฮฺ ตอนที่ 1
วิลายะตุลฟะกีฮฺ ตอนที่ 1
โดย ซัยยิดมุบาร็อค ฮูซัยนี
บรรดาศัตรูอิสลามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต่างมีแผนการอันแยบยลในการทำลายอิสลามในรูปแบบเชิงรุกบ้าง เชิงลึกบ้าง โครงสร้างบ้าง ฯลฯ ซึ่งล้วนผ่านกระบวนการวางแผนที่ร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นพันธะกิจอย่างต่อเนื่อง
หลังการจากไปของท่านศาสดา อำนาจการปกครองอาณาจักรอิสลาม ตกอยู่ในมือของผู้ปกครองที่อธรรมและชั่วร้าย โดยมีเจตนาเพื่อทำลายอิสลามอันบริสุทธิ์อย่างเป็นระบบในเชิงรุก ผ่านอำนาจที่ตนมีอยู่ ผู้ที่สืบทอดอำนาจการปกครองอาณาจักรอิสลามด้วยความชอบธรรมจากพระผู้เป็นเจ้า และสหายร่วมอุดมการณ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) จึงลุกขึ้นต่อสู้ในทุกยุคทุกสมัย ด้วยยุทธวิธีที่แตกต่างกัน บางท่านต้องอยู่อย่างสงบ ภายในบ้านถึง 25 ปี พร้อมกับความขมขื่นจากวิกฤตการณ์ทำลายอิสลามในเชิงโครงสร้างต่อหลักการปฏิบัติ จนเกิดอุตริกรรมทางศาสนาหลายอย่างเกิดขึ้นในห้วงเวลาไม่นานนักหลังจากการสิ้นพระชนม์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)
บรรดาสหายร่วมอุดมการณ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) เหล่านั้นบางท่านต้องลงนามในสนธิสัญญา บางท่านต้องสู้รบแลกด้วยเลือดเนื้อ ศีรษะ ชีวิต ครอบครัว และสหายของตน, บางท่านก็ต้องเร่งผลิตบุคลากรทางด้านวิชาการอิสลามอย่างแท้จริง เพื่อผดุงสังคมให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน ทุกท่านล้วนเป็นบุรุษแห่งพระผู้เป็นเจ้า ที่คอยรักษาศาสนาของพระองค์ให้มีอยู่ถึงวันสุดท้าย และมันคือความรอดพ้นของมนุษยชาติทุกคนที่อยู่ภายในพฤกษชาติของวงศ์วานแห่งศาสดาอิสลาม ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยลำธารแห่ง “อัลเกาษัร” มาตรว่าดอกไม้อันงดงามอาจร่วงโรย และถูกย่ำยีไปตามกาลเวลาจากมนุษย์ที่ชั่วช้า แต่มะลิของอัลเกาษัรยังคงอยู่ต่อไป และจะมาโปรยกลิ่นหอมอีกในไม่ช้า ด้วยพระประสงค์ของพระองค์
ทางด้านบรรดาศัตรูอิสลามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต่างมีแผนการอันแยบยลในการทำลายอิสลามในรูปแบบเชิงรุกบ้าง เชิงลึกบ้าง โครงสร้างบ้าง ฯลฯ ซึ่งล้วนผ่านกระบวนการวางแผนที่ร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นพันธะกิจอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสรุปได้จากหน้าประวัติศาสตร์ดังนี้
1-ใช้ความต่างของศาสนาเป็นสโลแกนการทำลายศาสนาอื่น จนเกิดสงครามศาสนา
2-ใช้อำนาจการปกครองทางศาสนาสร้างอุตริกรรม และบังคับใช้
3-ใช้อำนาจทางการเงิน และระบบทุนนิยมทำลายศาสนา
4-ใช้กฎหมายควบคุม และแทรกแซงกิจการศาสนา
5-ใช้ศาสนิกชนเป็นเครื่องมือในการเข่นฆ่าศาสนิกชนด้วยกัน
6-ใช้ความต่างทางนิกาย เป็นเครื่องมือจุดไฟทำสงคราม
7-สร้างลัทธิบิดเบือนให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายอิสลามอันบริสุทธิ์ ทำลายโครงสร้างหลักทางศาสนา เปลี่ยนแปลงคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ไปในทางที่ผิด ฯลฯ
ยุทธศาสตร์การทำลายศาสนาของศัตรู ได้ขับเคลื่อนไปอย่างเป็นระบบในลักษณะซึมลึก จนบางครั้งศาสนิกชนไม่ทราบถึงภัยอันตรายที่เข้ามาสู่ตน จนเกิดการเข่นฆ่าอย่างมากมายในอดีต ยุทธศาสตร์นี้มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และมีการยกระดับความเข้มข้นมากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ศัตรูรู้ดีว่าหัวใจของอิสลามคือ “พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน” และ “วงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด (ศ)” จึงวางยุทธการใหม่ขึ้นมาในการมอมเมามุสลิมด้วยอบายมุข เพื่อให้ห่างไกลจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และออกจากการยึดมั่นต่อวงศ์วานศาสดา มีความพยายามตีกรอบให้เป็นเพียงพิธีกรรมในการรำลึกเท่านั้น
ผู้รู้ทางศาสนาในยุคเร้นกายของท่านอิมามมะฮฺดี (อ) ต่างได้ทำการต่อสู้กับขบวนการนี้อย่างตลอดในอดีต และได้ถูกสังหารลงเป็นจำนวนมาก จนรัศมีของบุรุษนามว่า “รูฮุลลอฮฮฺ อัลมูซาวี อัลโคมัยนี” ได้ทอแสงขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2487 ในขณะที่ท่านมีอายุ 42 ปี ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ได้ออกแถลงการณ์การโจมตีการปกครองของรัฐบาลทรราชในสมัยนั้นเป็นครั้งแรก ประชาชนจากทุกภาคส่วนต่างตื่นตัวและเข้าร่วมกับขบวนการของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ)จนเมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน ในปี 2506 ซึ่งตรงกับวันอาชูรอ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ)จึงเริ่มขบวนการต่อสู้กับทรราชอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีประชาชนเข้าร่วมหลายแสนคน จนเป็นเหตุการณ์จับกุมท่านในอีกสองวันต่อมา
หากได้พิจารณาเราจะพบว่า อิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ใช้วันอาชูรอเป็นวันเริ่มต้นการต่อสู้ของท่าน และใช้แบบฉบับการต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ) เป็นยุทธวิธีในการต่อสู้ เพราะขบวนการเดียวที่สามารถจะต่อสู้กับทุกความอธรรมได้ คือขบวนการอาชูรอ จนสามารถขับไล่ทรราชและเหล่าเผด็จการออกจากอิหร่านสำเร็จ และจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นผ่านการลงประชามติของประชาชนอย่างท่วมท้น ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) จึงนำเอาคำสั่งสอนของบรรดาวงศ์วานท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) มาสู่การปฏิบัติที่กล่าวว่า เมื่อใดมีรัฐอิสลามเกิดขึ้น เมื่อนั้นต้องมีผู้นำที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกท่าน ซึ่งเขามาจากนักการศาสนาที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติอย่างครบถ้วน ซึ่งถูกเรียกว่า “วิลายะตุลฟะกีฮฺ”
วิลายะตุลฟะกีฮฺ มิใช่เป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นอำนาจที่อยู่คู่กับตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่สมัยท่านศาสดาอีซา (อ) และศาสดามูซา (อ) ซึ่งพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้มีบัญญัติไว้ในซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ โองการที่ 44 ว่า
“แท้จริงเราได้ประทานอัตเตารอตลงมา โดยในนั้นมีทางนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดาศาสดาที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัตเตารอตตัดสินหรือปกครองบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮฺ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัตเตารอต ตัดสินหรือปกครองด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮฺ”
ในโองการข้างต้นชี้ให้เห็นว่าบรรดาอุลามาอฺ (นักการศาสนาที่มีคุณสมบัติ) ก็มีอำนาจปกครองตามพระคัมภีร์ และเป็นการปกครองเสมือนกับการปกครองของบรรดาศาสดา ดังนั้น “วิลายะตุลฟะกีฮฺ” จึงมิใช่เป็นระบบใหม่ที่อิหร่านนำเสนอขึ้นแต่อย่างใด
โปรดติดตามตอนต่อไป
ที่มาเว็บไซต์อิมามียะฮ์ เจอร์นัล
แสดงความเห็น