ชีวประวัติอิมาม ฮาซัน อัล อัสกะรีย์ (อ.) ตอนที่สอง
ชีวประวัติอิมาม ฮาซัน อัล อัสกะรีย์ (อ.) ตอนที่สอง
.ความรู้ของท่านอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ (อ)
แนวทางแห่งหลักคำสอนของสายอะห์ลุลบัยต์ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และขบวนการเผยแพร่วิชาการได้รับความนิยมยกย่องที่สุดในสมัยของท่านอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ กล่าวคือ ได้มีศูนย์เผยแพร่วิชาการทางศาสนาทั้งในนครกูฟะฮ์ แบกแดดและฮิญาซ ขณะเดียวกันยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเมืองกุม อันเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งทางด้านวิชาการและทางศาสนา อิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ เป็นเสมือนมหาสมุทรอันล้ำลึกแห่งวิชาความรู้ นักเรียน นักศึกษา ที่สนใจใฝ่หาวิชาความรู้จากท่านมีจำนวนมากถึง 18,000 คน
“มุฮัมมัด บิน มัสอูด อัช ชีรอซีย์” ผู้เป็นนักปราชญ์ของคอลีฟะฮ์ อัล มุตัซ เขียนบันทึกไว้ว่า ท่านอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์มีความรู้สูงมาก จนกระทั่งทำให้ท่านกินนะดีย์ ผู้เป็นบรมครูของท่าน “อัล ฆอรอบีย์” ถึงกับต้องเผาตำราของตนทิ้ง หลังจากที่เขาได้นำไปตรวจสอบกับของท่านอิมาม เนื่องจากว่าตำราของเขาเป็นตำราที่ไม่เคยสอดคล้องกับหลักการอิสลาม
ความลี้ลับของท่านอิมาม
ครั้งหนึ่งในสมัยของอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ ได้เกิดปัญหาความแห้งแล้งกันดารขึ้นในเมืองสะมัรรอฮ์ ดังนั้นคอลีฟะฮ์จึงสั่งการให้ประชาชนทำพิธีนมาซเพื่อขอฝน ประชาชนทั่วทั้งเมืองต่างมารวมตัวเพื่อทำนมาซขอฝน แต่แล้วก็ไม่ปรากฏวี่แววว่า จะมีเค้าฝนมาให้เห็นแต่อย่างใด
ครั้นถึงวันที่สี่ “บาดหลวง” และบรรดาท่านผู้รู้ทั้งทางศาสนายูดายและคริสเตียนได้ออกไปทำพิธีตามหลักการของพวกตน นักบวชในศาสนาคริสต์คนหนึ่งได้ยื่นมือขึ้นเพื่อวิงวอนของ ปรากฏว่าสายฝนได้เทลงมาอย่างท่วมท้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกคลางแคลงใจในศาสนาอิสลามที่ตนกำลังนับถืออยู่ เพราะพวกตนถือว่าอิสลามเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ที่สุด กระทั่งมีบางคนกล่าวว่า
“ถ้าหากศาสนาของพวกคริสเตียนเป็นศาสนาที่หลงผิด อัลลอฮ์ (ซบ.) จะไม่ทรงรับคำวิงวอนขอของพวกเขาดอก”
มีบรรดามุสลิมบางคนถึงกับคิดอยากจะเข้ารับนับถือศาสนาของพวกคริสเตียน
ส่วนอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ (อ.) ขณะนั้นถูกจองจำอยู่ในคุก ดังนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของคอลีฟะฮ์ ได้นำเรื่องไปบอกเล่าแก่ท่านอิมามว่า “ประชาชนผู้นับถือศาสนาของศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นปู่ทวดของท่าน เริ่มสับสนแล้ว พวกเขาบางคนคิดสงสัยในเรื่องศาสนาของอัลลอฮ์”
ต่อมาบาดหลวงของศาสนาคริสต์ พร้อมกับพวกนักบวชในศาสนานั้นได้ออกมาที่ทะเลทราย และท่านอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ (อ.) ได้ออกมาด้วยเช่นกัน ตามคำขอร้องของคอลีฟะฮ์ อิมามได้พยายามตรวจตราพวกเขาอย่างถี่ถ้วนที่สุด จนท่านได้เห็นบาดหลวงคนหนึ่งยกมือขวาของตนชูขึ้น ท่านจึงสั่งให้คนของท่านจับมือของบาดหลวงผู้นั้นไว้ และให้ดูว่ามีอะไรอยู่ในฝ่ามือ ครั้นเมื่อจับมือของบาดหลวง จึงสัมผัสกับของที่อยู่ในมือ และพบว่านั่นคือ “กระดูกสีดำชิ้นหนึ่ง” อิมามฮาซัน อัสการีย์จึงตระหนักในทันที แล้วกล่าวกับบาดหลวงผู้นั้นว่า “พวกท่านจงทำพิธีขอฝน ณ บัดนี้เถิด”
แล้วบาดหลวงผู้นั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อวิงวอนขอฝน ปรากฏว่าบนท้องฟ้าที่กำลังปรากฏเมฆฝนครึ้ม กลับกระจายตัวออกไปและดวงอาทิตย์กลับส่งแสงจ้าดังเดิม คอลีฟะฮ์จึงถามท่านอิมาม ฮาซัน อัสการีย์ ว่ามีอะไรเป็นความลี้ลับอยู่ในเรื่องนี้ เป็นเพราะเหตุใด ที่บาดหลวงคนนั้นสามารถทำพิธีขอฝนได้สำเร็จในครั้งแรก ท่านอิมาม ฮาซัน (อ.) กล่าวตอบว่า “เนื่องจากบาดหลวงท่านนี้ เคยเดินผ่านสุสานของศาสดาท่านหนึ่ง และได้ขุดเอากระดูกชิ้นนี้มาจากหลุมศพของศาสดาท่านนั้น และเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้การวอนขอของเขาเป็นที่ตอบรับ เพื่อเห็นแก่กระดูกชิ้นนี้ อัลลอฮ์ทรงตอบรับ หากผู้ใดก็ตามถือกระดูกชิ้นนี้ไว้ในมือของเขาและวิงวอนขอพระองค์ จะให้ฝนตกลงมาในทุกครา”
ภายหลังจากที่ได้ทดสอบกันแล้วต่อหน้าผู้คน ฉะนั้นในสิ่งที่อิมามพูดจึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นจริง ประชาชนจึงต่างยกย่องท่านอิมาม
วิธีการสอนของอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์
ลูกหลานคนหนึ่งของอิมาม ญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ชื่อ “ฮูเซน” พำนักอยู่ ณ เมืองกุม เป็นคนชอบดื่มสุรา วันหนึ่งเขาได้เดินทางไปหา “อะห์มัดบิน อิสหาก อัล อัชอะรีย์” ซึ่งเป็นตัวแทนคนหนึ่งของอิมามฮาซัน (อ.) แต่อะห์มัดไม่ยินยอมให้เข้าพบและไม่ยินดีต้อนรับ เพราะอะห์มัดรู้ถึงนิสัยและความประพฤติของฮูเซนคนนี้ดี “ฮูเซน” จงเดินทางกลับบ้านของตนด้วยความรู้สึกเสียใจที่ถูกลบหลู่ดูหมิ่นถึงเพียงนี้
บังเอิญในเวลาต่อมา อะห์มัด บิน อิสหาก ได้เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ เมื่อผ่านไปถึงเมืองมะดีนะฮ์ เขาต้องการที่จะได้มีโอกาสเข้าพบท่านอิมาม ฮาซัน อัสการีย์ (อ.) จึงขออนุญาตเพื่อเข้าไปพบ แต่ท่านอิมามกลับไม่ยินยอมให้เขาเข้าเยี่ยมคำนับ อะห์มัดรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด เขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านของอิมามโดยไม่ยอมไปไหน จนกระทั่งในที่สุดอิมามฮาซัน (อ.) จึงอนุญาตให้เขาเข้าพบ
อะห์มัด บิน อิสหาก ได้ถามท่านอิมาม ฮาซันว่า เป็นเพราะเหตุใดที่ไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาพบ ท่านอิมาม ฮาซัน ได้ตอบเขาว่า
“ก็เพราะฉันต้องการจะปฏิบัติต่อท่าน ให้เหมือนกับที่ท่านได้ปฏิบัติต่อบุตรของลุงของฉัน และฉันหลบหน้าท่านเหมือนกับที่ท่านหลบหน้าเขา”
อะห์มัด บินอิสหาก จึงกล่าวว่า “โอ้ นายของข้าพเจ้า แท้จริงที่ฉันกระทำเช่นนั้น ก็เพราะเขาเป็นคนดื่มสุรา และที่ฉันทำเป็นหลบหน้าเขาในเรื่องนั้น ก็เพราะว่าฉันต้องการจะเตือนสติเขา และให้เขากลับตัวเสีย”
อิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ กล่าวแย้งว่า “ถึงแม้ท่านต้องการชี้นำ สั่งสอนเขา แต่ท่านก็กระทำผิดวิธีการ”
เมื่ออะห์มัดเดินทางกลับไปถึงเมืองกุม ได้มีประชาชนมาแสดงความยินดี และรับพรจากเขา ในฐานะที่เดินทางกลับจากบำเพ็ญฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮ์ ขณะนั้นอบูฮาซัน (ฮูเซน คนเดิม) ก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาด้วย อะห์มัดจึงให้การต้อนรับและกอดเขาไว้อีก ทั้งยังได้เชิญเขาให้นั่งพูดคุยกันอีกด้วย อบูฮาซันรู้สึกแปลกใจมากที่เห็นกิริยาท่าทางของอะห์มัดเปลี่ยนไปเช่นนี้ เขาจึงถามถึงเหตุผล ว่าทำไมเมื่อวันก่อนจึงแสดงท่าทีต่อต้านเขา มาวันนี้กลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี อะห์มัดจึงนำเรื่องราวของตนที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ต้องการจะเข้าเยี่ยมท่านอิมาม ฮาซัน อัสการีย์ มาเล่าให้อบูฮาซันฟัง
อบูฮาซันก้มหน้าครุ่นคิดรำพึง เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะกลับเนื้อกลับตัว และกล่าวอำลาอะห์มัดกลับไปยังบ้านเรือนของตน เมื่อถึงบ้านอบูฮาซัน ได้ทุบภาชนะเก็บสุราจนแหลกละเอียด ตั้งแต่นั้นมาเขาจะอยู่ประจำแต่ที่มัสยิดไม่ยอมห่างเหินไปไหนอีกเลย
สองตำนานของอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์
เมื่อครั้งที่อิมามฮาซัน อัสการีย์ ถูกจองจำอยู่ในคุกได้มีผู้คุมคนหนึ่งชื่อ “ซอลิห์ บิน วะศีฟ” ได้แต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ดูแลท่านอิมามถึงสองคน ซึ่งล้วนเป็นมนุษย์ที่เลวที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างจากอัลลอฮ์ แต่แล้วเขาทั้งสองกลับเป็นคนที่เคร่งครัดในการทำอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดี) และพากเพียรในการทำนมาซ นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
ต่อมาเขาจึงสั่งให้นำตัวผู้ดูแลทั้งสองคนมาหา แล้วถามว่า “พวกแกปฏิบัติตัวอย่างไรกับชายคนนั้น?” (หมายถึงอิมาม)
คนทั้งสองกล่าวตอบว่า “เราไม่มีอะไรจะพูดถึงสำหรับคนที่มีแต่การถือศีลอดตลอดเวลาในยามกลางวัน ทำนมาซตลอดเวลาในยามกลางคืน ไม่พูดไม่คุยและไม่วุ่นวายกับสิ่งอื่นใด นอกจากการทำอิบาดะฮ์”
พวกเติร์ก เข้ามามีบทบาทในการปกครอง และยังลบหลู่ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ พวกเติร์กเหล่านี้ได้เข่นฆ่าผู้คนตามใจชอบ บางครั้งจะจับตัวใครก็ได้ตามที่พวกมันต้องการ แล้วนำมาตรึงกับไม้กางเขน เมื่อถึงสมัยที่อัล มุตะมัดขึ้นดำรงตำแหน่ง ปรากฏว่าเขาเป็นทุกข์อย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานสักเท่าใด อาจสักสามเดือนหรือมากกว่านั้น เขาเป็นคนที่รู้จักถึงฐานภาพของอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ จึงขอร้องให้อิมามช่วยวิงวอนขอพรให้เขามีอายุยืน ท่านอิมามจึงวิงวอนขอพรให้เขา ผลปรากฏว่าเขาได้อยู่ในตำแหน่งคอลีฟะฮ์นานถึงยี่สิบกว่าปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งที่นานมากกว่าคอลีฟะฮ์คนใดทั้งสิ้น
นักปรัชญาในเมืองอิรัก
“อิสฮาก อัล กินดีย์” เป็นนักปรัชญาผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของอิรักเป็นอาจารย์ของอบูนัซร์ ฟะรอบี นักปรัชญาผู้ยิ่งยงในสมัยของอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ เขาเป็นคนแรกที่เรียบเรียงหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนในการรวบรวมอัล กุรอาน (ตะห์รีฟ) ศิษย์คนหนึ่งของอัล กินดีย์ ได้เข้าพบอิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ (อ.) แล้วสนทนากันถึงเรื่องนี้ ท่านอิมามได้กล่าวกับเขาว่า “ในกลุ่มของพวกท่านไม่มีคนฉลาด เลยหรือ ที่จะทำหน้าที่ปกป้อง “อัล กินดีย์” ครูของพวกท่านมิให้กระทำการก้าวก่ายในเรื่องของอัล กุรอาน ?”
ศิษย์คนดังกล่าวตอบว่า “ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะไปคัดค้านเขาได้”
อิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์ (อ.) จึงกล่าวว่า “เจ้าจงบอกกับเขาเถิดว่ามีปัญหาข้อหนึ่งที่ฉันจะขอถามท่าน นั่นก็คือว่า “ถ้าหากคู่สนทนานำหลักฐานจากอัล กุรอานมาเสนอต่อท่าน จะเป็นไปได้ไหมว่า ความหมายของมันที่เขานำมากล่าว จะไม่เป็นความหมายเหมือนอย่างที่ท่านเชื่อถือ? แล้วเขาจะตอบว่าเป็นไปได้ เพราะว่าคนๆ หนึ่ง จะเข้าใจได้ตามที่เขาได้ยิน”
ครั้นเมื่อเขาให้คำตอบเช่นนี้แล้ว ท่านก็จงกล่าวว่า “แล้วท่านทราบไหมว่า บางทีถ้าหากยังมีแนวทางอื่น นอกเหนือจากแนวทางตามที่ท่านเชื่อถือ และมันอาจให้ความหมายที่มิใช่เช่นที่ท่านเชื่ออีกก็เป็นได้”
เมื่อลูกศิษย์ของอัล กินดีย์ ได้นำคำถามเหล่านี้ กลับไปถามอัล กินดีย์ ผู้เป็นครูของเขา อัล กินดีย์ กล่าวว่าจงตั้งคำถามใหม่ซิ แล้วศิษย์คนนั้นก็ตั้งคำถามใหม่ ทำให้เขาต้องเงียบงันพลางครุ่นคิด เขาเห็นว่าความหมายที่อยู่ในภาษานี้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน สำหรับการพิจารณา ดังนั้นความคิดเหล่านั้นได้ทำให้ความคิดของเขาที่เคยมีอยู่แต่เดิมเริ่มคลอนแคลน เขาถึงกับลุกขึ้นเดินไปหยิบตำราที่เขาเคยเขียนไว้และให้ความเชื่อถือมาเผาทิ้งทันที เพราะเห็นว่ามันขัดกับควมจริงของอิสลาม
สาส์นจากอิมาม อัสกะรีย์ ถึงสหาย
อิมามฮาซัน อัสกะรีย์ ได้เขียนจดหมายหลายฉบับ ส่งไปยังบรรดามิตรสหายของท่าน ส่วนหนึ่งคือสาส์นฉบับหนึ่ง ที่ส่งไปยัง “อะลี บิน ฮูเซน บิน บาบุวัยฮ์ แห่งเมืองกุม” ความว่า
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก รางวัลตอบแทนย่อมมีสำหรับบรรดาผู้สำรวมตน สวนสวรรคย่อมได้แก่บรรดาผู้ยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียว และไฟนรกย่อมได้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธในพระเจ้า จะไม่มีศัตรูนอกจากบรรดาผู้อธรรม ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างที่ดีเลิศ ขอความจำเริญพึงมีแด่ศาสดามุฮัมมัด มนุษย์ที่ดีที่สุดของพระเจ้า และเชื้อสายของท่านผู้สะอาดบริสุทธิ์
ท่านจะต้องอดทน และต้องเตรียมรับมือกับการปลดปล่อย เพราะท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า “การทำงานที่ดีเลิศ สำหรับประชาชาติของฉันคือ เตรียมรับมือกับการปลดปล่อย” พรรคพวก (ชีอะฮ์) ของเราจะไม่หมดสิ้นจากความเศร้าโศก จนกว่าบุตรชายของฉันจะมาปรากฏ เขาคือบุคคลที่ท่านศาสดาเคยแจ้งข่าวไว้ให้ทราบว่า “เขาจะเป็นผู้กระทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความยุติธรรม ดังเช่นมันเคยดาษดื่นไปด้วยความอยุติธรรมที่เคยมีอยู่แต่ก่อน” โอ้ ท่านผู้อาวุโสของฉัน โอ้ อบูฮาซัน ท่านจงอดทน เพราะว่าแผ่นดินของอัลลอฮ์นั้นจะมีบ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงประสงค์มารับมรดกการปกครองและรางวัลในขั้นสุดท้าย ย่อมเป็นของบรรดาผู้สำรวมตน และขอให้ความสันติสุข ความเมตตาของอัลลอฮ์และความจำเริญของพระองค์พึงมีแด่ท่าน และแด่บรรดาพรรคพวก (ชีอะฮ์) ของเราทั้งมวลและขอความจำเริญพึงประสพแด่มุฮัมมัด และวงศ์วานของท่าน (อ.) ด้วยเถิด”
การพลีชีพของ อิมาม ฮาซัน อัสกะรีย์
เมื่อตอนที่อิมามฮาซัน อัสการีย์ (อ.) มีอายุได้ 4 ปี เป็นช่วงเวลาที่อิมาม อัล ฮาดีย์ (อ.) ผู้เป็นบิดา ถูกเชิญตัวให้เดินทางไปยังเมืองสะมัรรอฮ์ ท่านต้องเผชิญกับการถูกติดตามตัวอย่างแข็งขันจากฝ่ายปกครองในสมัยนั้น กล่าวคือท่านต้องได้รับการบีบคั้นอย่างมากมายจากคอลีฟะฮ์และยังถูกนำตัวไปกักขังอยู่ในที่จองจำหลายครั้ง จนกระทั่งพลีชีพไปเพราะถูกลอบวางยาพิษ เมื่อเดือนรอบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 260
ศพของท่านถูกนำไปฝังไว้ใกล้ๆ กับสุสานของผู้เป็นบิดา ซึ่งปรากฏอยู่เป็นสถานที่สำคัญ ตราบจนถึงทุกวันนี้ ณ เมืองสะมัรรอฮ์
สาเหตุที่ท่านต้องถูกประกบตัวอย่างเข้มงวดกวดขันจากฝ่ายปกครอง ก็เพราะว่ามีการรายงานบอกเล่าเรื่องราวที่มาจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หลายกระแสด้วยกันโดยยืนยันว่าอัล มะฮ์ดีย์ ซึ่งเป็นอิมามท่านที่สิบสองคือบุตรชายของอิมาม ฮาซัน อัสการีย์ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ปกครองต่างหวาดหวั่นการมาปรากฏของอิมามอัล มะฮ์ดีย์ ซึ่งจะมาสถาปนาความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมขึ้นบนแผ่นดิน แต่อิมาม ฮาซัน อัสการีย์ (อ.) สามารถซ่อนตัวบุตรชายผู้มีสิริมงคลของท่านได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากสักปานใดก็ตาม แต่ปรากฏว่ามีบุคคลหนึ่งชื่อ “ญะอ์ฟัร กัซซาบ” ซึ่งเป็นน้องชายของอิมาม ฮาซันเอง พยายามฉกฉวยโอกาสด้วยการประกาศตนเองเป็นอิมาม และฝ่ายปกครองก็ส่งเสริมเขาให้กระทำเช่นนั้นด้วยอีกแรงหนึ่ง แต่ทว่าอัลลอฮ์ทรงลบบารมีของเขาเสียได้ เมื่ออิมาม อัล มะฮ์ดีย์ปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน ซึ่งขณะนั้นท่านยังเป็นเด็กอยู่ ท่านได้ทำนมาซให้บิดาของท่านในขณะที่ญะอ์ฟัร กัซซาบ ได้ขึ้นไปยืนเป็นอิมามนำนมาซญะนาซะฮ์ให้อิมามอัสการีย์อยู่ก่อนแล้ว แต่อิมามมะฮ์ดีย์ได้ผลักเขาออกไป และขึ้นไปยืนเป็นอิมามแทน และในวาระนี้ที่ท่านเริ่มทำหน้าที่อิมามที่ 12 สืบต่อจากบิดาของท่าน เมื่อประชาชนส่วนมากเห็นเช่นนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตำแหน่งอิมามของท่าน และแท้จริงท่าน คือ อิมามอัล มะฮ์ดีย์ (อ.)
ที่มาเว็บไซต์อัชชีอะฮ์
แสดงความเห็น