อรรถาธิบายซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ อายะฮฺที่ ๓ และ ๔
อรรถาธิบายซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ อายะฮฺที่ ๓ และ ๔
اَلرَّحمنِ الرَّحِيمِ
ความหมาย
(พระผู้เป็นเจ้า)ผู้ทรงกรุณาปรานียิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ
คำอธิบาย
อัลลอฮฺ (ซบ.)ทรงถือเอาความเมตตาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระองค์อัล-กุรอานกล่าวว่า
كَتَبَ رَبُّكُم عَلَى نَفسِهِ الرَّحمَةَ(๑)
และความเมตตาของพระองค์นั้นครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่งอัล-กุรอานกล่าวว่า
وَرَحمَتِى وَسِعَت كُلَّ شَىءٍ(๒)
และในทำนองเดียวกันบรรดาศาสดาและคัมภีร์ที่พระองค์ประทานลงมาก็เป็นความเมตตาด้วยเช่นกันرَحمَة لِلَّعَالَمِين (๓)การอภิบาลของพระองค์วางอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและหากพระองค์ทรงลงโทษก็เนื่องจากความกรุณาปรานีของพระองค์ด้วยเช่นกันการอภัยโทษ การตอบรับการสารภาพผิดของปวงบ่าว การปกปิดข้อบกพร่องของปวงบ่าว (จากสายตาของบุคคลอื่น) และการให้โอกาสแก้ตัวต่อพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นความเมตตากรุณาของพระองค์ทั้งสิ้น
บทเรียนและประเด็นสำคัญจากอายะฮ์
๑. การอภิบาลของอัลลอฮฺ (ซบ.) วางอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและความกรุณาปรานี (ทั้งนี้เนื่องจากคำว่า اَلرَّحمنได้ถูกกล่าวไว้เคียงข้างคำว่าرَبِّ)
๒. ในทำนองเดียวกันกับที่การอบรมสั่งสอนต้องอาศัยความเมตตาอัล-กุรอานกล่าวว่า
; الرَحمنُ عَلَّمَ القُرآن(๔)
การอภิบาลและการขัดเกลาก็เช่นเดียวกันต้องวางอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาด้วยเช่นกัน
رَبِّ العَالَمِين الرَّحمنِ الرَّحِيم(๕)
อ้างอิง
-------------------------------------------
๑. "พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงลิขิตให้ความเมตตาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระองค์" (อัล-อันอาม ๕๔)
๒. "และความเมตตาของข้าครอบคลุมทั่วทุกสรรพสิ่ง" ( อัล-อะอฺรอฟ ๑๕๖)
๓.(นบี) คือ "ความเมตตาสำหรับมนุษยชาติ" ( อัล-อัมบิยาอฺ ๑๐๗)
๔."พระผู้ทรงเมตตา ทรงสอนอัล-กุรอาน (อัร-เราะฮฺมาน ๑-๒)
๕.พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ผู้ทรงกรุณาปรานียิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ (ฟาติหะ ๒-๓)
ซูเราะฮฺฟาติหะ อายะฮฺที่ ๔
مَالِك يَومِ الدِّين
ความหมาย
ผู้ทรงสิทธิ์ในวันตอบแทน
คำอธิบาย
คำว่า ดีนใช้ในความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑. ประมวลข้อบัญญัติ และกฎหมายของอัลลอฮฺ (ซบ.)ดังอายะฮฺที่ว่า
انَّ الدَينَ عِندَاللّهِ الاسلام(๑.)
๒.การปฏิบัติตามและการจงรักภักดี ดังอายะฮฺที่ว่า
لِلّهِ الدّينُ الخالِصُ(๒)
๓.การสอบสวนและการตอบแทนดังอายะฮฺที่ว่า مَالِك يَوم الدّين
คำว่าيَومِ الدِّين ในอัล - กุรอานหมายถึงวันกิยามะฮฺซึ่งเป็นวันแห่งการโทษและตอบแทนดังอายะฮฺที่กล่าว
يَسئَلُون اَيَّان يَوم الدِّينِ(๓)
ความว่า "พวกเขาจะถามว่าเมื่อใดเล่าที่วันกิยามะฮฺจะอุบัติขึ้น"หรือดังในอายะฮฺหนึ่งที่แนะนำวันกิยามะฮฺไว้ว่า
ثُمَّ مَااَدْرَاكَ مايَومُ الدِّين اَلدِّيْنَ يَومَ لاَتَمْلِكُ نَفْسُ لِنَفْسٍ شَيْئًاوَالأَمْرُ يَوْمَئِذٍ لِلَّهِ
ความว่า "สิ่งใดหรือที่ทำให้เจ้ารู้ว่าวันแห่งดีน (กิยามะฮฺ) คือวันอะไรเป็นวันที่ชีวิตหนึ่งไม่มีสิทธิที่จะยังประโยชน์ใดๆ แก่อีกชีวิตหนึ่ง และในวันนั้นการตัดสินและการบัญชาการทั้งหมดเป็นของอัลลอฮฺ"(๔)
ถึงแม้ว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) จะเป็นผู้ทรงสิทธิที่แท้จริงเหนือทุกสรรพสิ่งในทุกกาลเวลาก็ตามแตทว่าการมีกรรมสิทธิ์ของพระองค์ในวันกิยามฮฺและวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นมีลักษณะที่แตกต่างออกไปกล่าวคือในวันกิยามะฮฺสื่อกลางเพื่อการเจรจาไกล่เกลี่ยและสัมพันธภาพต่างๆจะขาดสะบั้นลงดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَتَقَطَّعَتْ بِهِمُ الاَسْبَاب(๕)
สายตระกูลจะสิ้นสุดลง(๖)
فَلاَاَنْسَابَ بَيْنَهُمْ
ทรัพย์สมบัติ และลูกหลานจะไม่อำนวยประโยชน์ใด ๆ(๗)
لاَيَنْفَعُ مَالُ وَلاَ بَنُوْنَ
อีกทั้งเครือญาติก็ไม่อาจอำนวยประชยชน์ใด ๆ ได้เลย(๘)
لَنتَنْفَعَكُمْاَ رْحَامُكٌمْ
และในท้ายที่สุดแม้แต่ลิ้นก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้สรรหาถ้อยคำมาแก้ตัวและสมองก็จะไม่มีโอกาสในการวางแผนการใดๆ ทางรอดทางเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่นั้นคือความเมตตาของอัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในวันกิยามะฮฺ
บทเรียนและประเด็นสำคัญจากอายะฮ์
๑. อายะฮฺนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเตือนสำทับแต่ด้วยกับการที่อายะฮฺถูกใช้คู่กับอายะฮฺاَلرَّحْمنِ الرَّحِيْمِจึงทำให้รู้ว่าการแจ้งข่าวดีนั้นจำเป็นต้องควบคู่กับการเตือนสำทับนัยดังกล่าวปรากฏอยู่ในอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า
نَبِّئْ عِبَادِی أ َنّی ِأَنَا الغَفُوْرُالرَّحِيْمُ . وَأنَّ عَذَابِى هوَالعَذَابُ الاَلِيْمُ
ความว่า "เจ้าจงแจ้งแก่ปวงบ่าวของข้าให้รู้เถิดว่า แท้จริงข้าเป็นผู้ให้อภัยอีกทั้งเมตตายิ่งแต่ทว่าการลงโทษของข้าก็แสนสาหัสด้วยเช่นกัน" (๙)
ในทำนองเดียวกันอัลลอฮฺ (ชบ.) ได้ทรงกล่าวถึงคุณลักษณะของพระองค์พระองค์ ไว้ในอีกอายะฮ.หนึ่งว่า
قَابِل التَّوْبَ شَدِيْدِالعِقَابِ
ความว่า "พระองค์คือผู้ทรงรับการลุแก่โทษ (จากปวงบ่าวผู้สำนึกผิด)และพระองค์คือผู้ทรงลงโทษอย่างรุนแรง (แก่เหล่าคนบาป) (๑๐)
๒. การครอบครองกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ (ซบฺ) หมายรวมถึงการมีอำนาจอธิปไตยของพระองค์ด้วยเช่นกันทั้งนี้เนื่องจากผู้ทรงสิทธิที่แท้จริงนั้นย่อมมีอำนาจสิทธิขาดในสิ่งที่อยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของตนเอง ดังอายะฮฺที่ว่า
قُل اللَّهٌمَّ مَالِكُ المُلْكِ
ความว่า "จงกล่าวเถิด โอ้ อัลลอฮฺพระองค์คือผู้ทรงสิทธิ์ในอำนาจการปกครองทั้งมวล"(๑๑)
แต่ทว่ากรรมสิทธิ์ของมนุษย์ซึ่งถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่สมมติขึ้นนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจสิทธิขาดของเขา
๓. การครอบครองกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ. (ชบ.) ได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺแรกของอัลกุรอาน
مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ
ส่วนการมีอำนาจอธิปไตยของพระองค์นั้นได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺสุดท้ายمَلِكِ النَّاسِ
๔.อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงคู่ควรต่อการเคารพภักดี การสรรเสริญ และการขอบคุณในแง่มุมต่างๆ เช่น ความสมบูรณ์ของแก่นแท้ (ซาต) และคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ เนื่องจากพระองค์คือ اَللَّه ความเอื้ออารีและการอภิบาลของพระองค์เนื่องจากพระองค์คือرَبِّ العَالِمِيْنَความหวัง และการรอคอยของเราต่อการได้รับความเมตตาจากพระองค์เนื่องจาก พระองค์ คือالرَّحِمنِ الرَّحِيْمِและพลังอำนาจอีกทั้งความน่าเกรงขามของพระองค์เนื่องจากพระองค์คือ
مَالِكِ يَومِ الدِّينِ
----------------------------------------------------------------------------------
๑." แท้จริง ดีน ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม"( อาลิอิมรอน ๑๙)
๒. "ดีน อันบริสุทธิ์(การงานอันบริสุทธิ์) นั้นเพึ่ออัลลอฮฺ ( อัช-ซุมัรฺ ๓)j
๓. ชูเราะฮฺ อัช-ชาริยาด๑๒)
๔.ชูเราะฮอัล . อินฟิฏอรฺ ๑๘-๑๙
๕.ชูเราะฮฺอัล - บะเกาะเราะฮฺ ๑๖๖
๖.ชูเราะฮฺ อัล มุอมินน ๑๐๑
๗. ซูเราะฮฺ อัช- ชุอะรออฺ ๘๘.
๘.ชูเราะฮฺอัล-มุมตะหินะฮฺ ๓
๙. ชูเราะฮฺอัล-หิจรฺ ๔๙-๕๐
๑๐ ซูเราะฮฺ.อัล-ฆอฟิรฺ( อัล-มุอฺมิน)๓
๑๑. ชูเราะฮฺ อาลิอิมรอน ๒๖
ที่มา เว็บไซต์อิสลามซอรส์
แสดงความเห็น