ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม ตอนที่สอง
ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม ตอนที่สอง
จริยธรรมของ อิมามมูซา กาซิม .(อ)
มีชายคนหนึ่งในเมืองมะดีนะฮ์ พูดจาใส่ร้ายป้ายสีอิมามกาซิม (อ.) อยู่เสมอ ทุกครั้งที่ชายคนนั้นพบท่านก็จะก่นด่าและบริภาษอิมามอะลี (อ.) ให้อิมามกาซิม (อ.) ได้ยินอยู่เป็นประจำ
มิตรสหายบางคนของท่าน อิมามกาซิม (อ.) ได้เคยกล่าวขออนุญาต ว่า โปรดอนุญาตให้เราสั่งสอนเขาสักครั้งเถิด
แต่อิมามกาซิม (อ.) กลับห้ามพวกเขาไว้ เพื่อมิให้ตอบโต้ชายคนนั้นด้วยวิธีการที่เลวร้าย ท่านจึงสอบถามถึงงานอาชีพของชายคนนั้น บรรดามิตรสหายก็ได้ให้คำตอบว่า
แท้จริง เขามีแปลงเพราะปลูกอยู่แห่งหนึ่งนอกเมืองมะดีนะฮฺ
ดังนั้น อิมามกาซิม (อ.) จึงไปหาเขาที่นั้น แล้วได้เดินเข้าไปในแปลงเพาะปลูกของเขา
ชายคนนั้นตะโกนเสียงดังลั่นว่า ท่านอย่าได้มาเหยียบแปลงเพาะปลูกของเรา
อิมามกาซิม (อ.) ยังคงเดินเข้าไป จนกระทั่งไปถึงชายคนนั้น แล้วได้กล่าวสลาม พร้อมกับนั่งลงใกล้ ๆ และ อิมามกาซิม (อ.) ก็ยิ้มให้ชายคนนั้นแล้วถามว่า ท่านต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกของท่านเท่าไร
ชายเจ้าขอสวน 100 ดีนาร
อิมามกาซิม ท่านหวังว่ามันจะให้ผมผลิตแก่ท่านสักเท่าไร
ชายเจ้าของสวน ฉันไม่รู้ในสิ่งเร้นลับ
อิมามกาซิม ฉันเพียงแต่ถามว่า ท่านหวังว่าจะได้เท่าไร
ชายเจ้าของสวน 200 ดีนาร
แล้วอิมามกาซิม (อ.) ก็จึงมาอบเงินให้แก่ชายคนนั้น 300 ดีนาร แล้วชายคนนั้นก็ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวด้วยความขอบคุณ
ในวันต่อมา ในขณะที่อิมามกซิม (อ.) ได้เดินไปมัสญิด ชายผู้นั้นก็ได้รีบลุกชึ้นและเดินไปต้อนรับทันที เลางกล่าวว่า อัลลอฮฺ เท่านั้นที่ทรงรู้ดีว่าพระองค์จะจัดการกับสารของพระองค์อย่างไร (หมายความว่า อิมาม กาซิม (อ.) นี่เองคือผู้จำที่ถูกประทานมาให้ทำหน้าที่ชี้นำประชาชาติในสมัยขอบท่าน)
บรรดาสหายของท่านอิมามกาซิม (อ.) รู้สึกประหลาดใจ อิมามจึงแจ้งให้พวกเขารู้ถึงเรื่องราวที่ท่านได้พบกับชายคนนั้น และยังได้สั่งสอนพวกเขาด้วยว่า ให้มีไมตรีจิตและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีงามกันคนทั้งหลาย
ความเอื้อเฟื้อของอิมามกาซิม(อ.)
อิมามกาซิม (อ.) ไม่เคยปรากฏตัวให้คนยากจนในเมืองมะดีนะฮ์เห็น เพราะท่านจะออกไปหาในยามค่ำคืนโดยนำเอาอาหารเละเงินไปแจกจ่ายให้กับคนเหล่านนั้นซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่าสิ่งของที่พวกเขาได้รับอยู่นั้นมาจากไหน
มีเรื่องเล่าว่า คิลีฟะฮืมัซูร ขอร้องให้อิมามมูซากาซิม (อ.) นั่งลงในสถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ในวันอีดนีรูซ และได้มาอบของกำนัลให้ท่านด้วย
อิมามกาซิม (อ.) ได้กล่าวว่า แท้จริง ฉันเองได้ตรวจสิบในคำสอนต่าง ๆ ที่มาจากทวดของฉัน คือท่านศาสนทูตแห่ง อัลลอฮฺ แต่ฉันก็ไม่เคยพบเรื่องราวที่เกี่ยวกับวันอีดเลย เพราะว่ามันนี้เลย เพราะว่ามันเป็นแบบฉบับของชาวเปอร์เซีย ซึ่งอิสลามได้ลบล้างมันไปแล้ว ขอความคุ้มครองจาก อัลลอฮฺให้เราพันจากการฟื้นฟูสิ่งที่อิสลามได้ลบล้างไปแล้วขึ้นมาอีก
แต่ทว่าคอลีฟะฮ์ มันซูร ได้พยายามเคี่ยวเข็ญให้ อิมามกาซิม (อ.) กระทำเช่นนั้น อิมามกาซิมจึงนั้งลงดวัยความรังเกียจ ได้มีบรรดาเจ้าเมืองและบุคคลระดับแกนนำเข้ามาแสดงความยินดี และมอบของกำนัลที่มีค่าให้แก่ท่านอิมามกาซิม โดยมีคนรับใช้ของคอลีฟะฮ์มันซูรคอยทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ทุกประการ
ผู้ที่เข้ามาเป็นคนท้ายสุด คือชายสูงวัยคนหนึ่ง เข่าได้พูดกับอิมามกาซิม (อ.) ว่า โอ้บุตรหลานของบุตรสาวของท่าน ศาสนทูต แห่งอัลลอฮฺ แท้จริงฉันเป็นคนยากจนคนหนึ่ง และฉันไม่มีของกำนับใด ๆ ติดตัวมาแต่ทว่าฉันจะขอมอบบทกวีที่มีค่าสามบทให้กับท่าน ซึ่งปู่ของฉันได้เคยประพันธ์ไว้ในเรื่องราวของฮูเซน (อ.) ปู่ทวดของท่านดังเนื้อหาที่ว่า
บทกวีอันลุกซึ้งบทนี้ กวีได้แสดงความประหลาดใจออกมาเกี่ยวกับความบังอาจของคนดาบที่ฟาดฟันเรือนร่างของบุคคลที่มีเกียรติยศอันสูงส่ง และแสดงความประหลาดใจ ต่อบันดาลูกธนูที่ยิงเข้าใส่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งปกป้องบรรดาสตรีที่เป็นบุตรหลานของท่านศาสดา และปรากฏว่าธนูดอกแรกนั้น ได้คร่าชีวิตของบุคคลที่มีเกียรติยศและยิ่งใหญ่ที่สุด
อิมามรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวกับชายผู้สูงวัยคนนั้นว่า
โปรดนั่งลงก่อนเถิด ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญให้กับท่าน แล้วอิมามกาซิม (อ.) ก็ได้หันไปพูดกับคนรับใช้ของคอลีฟะฮ์มันซูรว่า จงไปหานายของเจ้าซิ และจงบอกให้เขารู้ในเรื่องของทรัพย์สินและสิ่งเหล่านนี้ที่เขาได้กระทำ คนรับใช่จึงเดินไปหาคิลีฟะฮ์มัซูร สักพักหนึ่งก็ได้เดินกลับมาพลางกล่าวว่า คอลีฟะฮ์มันซูร ได้กล่าวว่า ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นรางวัลจากเขาที่มอบให้แก่ท่าน ท่านสามารถที่จะจัดการกับมันได้ตามที่ต้องการ
ดังนั้น อิมามจึงหันหน้าไปหาชายผู้สูงวัยคนนั้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ ฉันได้มอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับท่าน
อิมามกาซิม (อ.) กับการทำงาน
อิมามกาซิม (อ.) เป็นคนที่รักการางาน ท่านมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งซึ่งท่านได้เพราะปลูก วันหนึ่ง อะลีสหายคนหนึ่งของท่านเดินผ่านมา และแลเป็น อิมามกาซิม (อ.) กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำงานจนเหงื่อเปียกโชก อะลีจึงเอ่ยถามขึ้นว่า ฉันได้ถูกกำหนดมาเพื่อรับใช้ท่าน คนงานไปไหนกันหมดไม่มีใครทำงานให้ท่านสักคนเลยหรือ
อิมามกาซิม (อ.) พูดพลางปาดเหงื่อที่คิ้วว่า โอ้ อะลี คนที่ดีกว่าฉันและดีกว่าบิดาของฉันก็ยังทำงานด้วยมือของตัวเอง อะลี ถามด้วยความอยากรู้ว่า เขาผู้นั้นเป็นใคร กาซิม (อ.) ตอบว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และอมีรุลมุอ์มินีน(อ.) และบรรพบุรุษของฉันทุกคนนั่นอย่างไรเล่า ทุกคนล้วนทำงานด้วยมือของตัวเอง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งจากหน้าที่ของบรรดาศาสดาและ ศาสนทูต บรรดาทายาทของศาสดาและกัลยาณชนทั้งหลาย
ตำนานและอุทาหรณ์
วันหนึ่ง อิมามกาซิม (อ.) เดินอยู่ที่ อัล อัซเกาะฮ์ ท่านได้ยินเสียงเพลงตลกขบขันดังเล็ดรอดออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง ในขณะนั้นเองมีเด็กสาวคนหนึ่งออกมา อิมามจึงหยุดเดินและให้สลามแก่นางแล้วถามว่า เจ้าของบ้านเป็นอิสระชนหรือว่าเป็นทาส
หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยความประหลาบใจว่า เขาก็เป็นอิสระชนนะซิ
อิมามจึงกล่าวต่อไปว่า เธอพูดถูกแล้ว เพราะถ้าหากเขาเป็นทาสเขาจะต้องกลัวนายของเขาแน่
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินกัลป์เข้าไปในบ้าน เจ้าของบ้านซึ่งมีชื่อว่า บะซัร จึงถามนางถึงเหตุผมที่นางล่าช้านัก นางตอบว่า มีชาย คนหนึ่ง ผ่านมา แล้วเขาถามฉันว่า เจ้าของบ้านเป็นอิสระชนหรือว่าเป็นทาส
บะซัร จึงถามต่อไปว่า แล้วเธอตอบเขาไปอย่างไร
หญิงสาวคนนั้นตอบว่า ฉันก็ตอบเขาไปว่า เป็นอิสระชน แล้วเขาก็บอกฉันว่า เธอพูดถูกแล้ว เพราะถ้าหากเขาเป็นทาส เขาจะต้องกลัวนายของเขาแน่
บะซัร ก้มหน้าอย่างคนใช้ความคิด เขารู้สึกว่าถ้อยคำนี้กระทบกระเทือนจิตในในส่วนลึกของเขาเสียจริง ๆ ดับนั้นเขาจึงเดินตามหลัง อิมามกาซิม (อ.) ไปอย่างกระชั้นชิด แล้วประกาศขอกลับตัวและเป็นผู้ศรัทธาอยู่ในกรอบของศาสนา นับตั้งแต่วันนั้นมา บะซัร จึงได้รับสมญานามว่า บะซัร อัลฮาฟีย์ บะซัร ผู้ใกล้ชิด เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชน ถึงความสมถะเละความเพียรในกานเคารพภักดี
ความสมถะของ อิมามกาซิม (อ.)
อิมามกาซิม (อ.) เป็นแบบอย่างในด้านความสมถะและความเพียรในกานเคารพภักดี ท่านจะสุญูดต่อ อัลลอฮฺเป็นเวลานานๆ ด้วยความซาบซึ้งถึงความหมายแห่งการเคารพถักดีต่อผู้สร้างผู้ทรงอำนาจสูงสุด
ในเวลาที่คนเราเคารพภักดีต่อพระผู้อภิบาลของตน เขาจะรู้สึกว่าตนเองเต็มไปด้วยอิสรภาพ เขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด และไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดอกจาก อัลลอฮฺ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของ อิมามกาซิม (อ.) ในกานต่อสู้กับความอธรรม กล่าวคือท่านจะไม่ระย่อต่อสิ่งอื่อนนอกจากอัลลอฮฺ แม้ว่าจะถูกขังคุกด้วยความไม่เป็นธรรมก็ตาม ยิ่งกว่านั้นอิมามกาซิม (อ.) ยังขอบพระคุณต่อ อัลลอฮฺเสียอีกที่ต้องถูกขังคุก เพราะถือว่านี่คือความโปรดปรนอย่างหนึ่งเพราะท่านจะได้ใช้เวลาในการเคารพภักดีต่อ อัลลอฮฺได้อย่างเต็มที่
แน่นอน ท่าทีของ อิมามกาซิม (อ.) ได้สร้างความงุนงงให้กับบรรดาศัตรู ผู้คุมขังบางคนถึงกับร้องไห้ต่อหน้าและขออภัยโทษต่อท่าน
ความหิวโหยก็ดี การถูกพันธนาการก็ดี อีกทั้งความอธรรมในคุกก็ดีไม่มีผลตามเป้าหมายของผู้ประสงค์ร้ายต่อ อิมามกาซิม (อ.) แต่ประการใด คอลีฟะฮ์ฮารูน อัร รอชีด พยายามทุกวิถีทางเพื่อต้องการจะเห็น อิมามกาซิม (อ.) ยอมจำนน จนกระทั่งว่าวันหนึ่งเขาได้ส่งสตรีรูปงานนางหนึ่งเข้าไปหาท่าน เพท่อเย้ายวน อิมามกาซิม (อ.) ให้หลงเสน่ห์ แต่แล้วนางต้องกลับมาในสภาพของคนถูกอบรมสั่งสอนโดยวิญญาณแห่งคุณธรรมของอิสลาม กล่าวคือนางเลิกประพฤติตัวในทางที่เหลวไหล และลุ่มหลงมัวเมาสนใจแต่การเคารพภักดีต่อ อัลลอฮฺ ขอดุอาอ์และทำนมาซ
ณ กรุงแบกแดด
ตอลีฟะฮ์มันซูร เสียชีวิตในฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่ 158 อัล มะฮ์ดีผู้เป็นบุตรชายก็ได้เข้ามาครองอำนาจปกครองสืบต่อจากบิดา
มะฮ์ดีต้องการจะใช้นโยบายทางการเมืองแบบใหม่ต่อสู้กับคนในครอบครัวของ อะลีและพรรคพวก ดังนั้นเขาจึงปล่อยตัวบรรดาผู้ที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาทางกานเมือง และยังได้มอบทรัพย์สินที่ยึดมากลับคืนให้พวก เขาด้วย และเขาได้จ่ายเงินจากกองคลังอย่างไม่อั้น จนถึงขนาดว่าได้ใช้จ่ายในกานสมรสของฮารูนบุตรชายคนหนึ่งของเขา มากกว่า 59 ล้านดิรฮัม และยังมอบเป็นรางวัลแก่บรรดานักกวีที่ประพันธ์บทกลอนโจมตีอะฮฺลุลบัยตฺอีกเป็นจำนวนมหาศาล
ผู้มีความทะเยอะยานบางคน มีความปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงเขียนรายงานบอกเล่าที่เป็นเท็จในรูปแบบต่าง ๆ กัน เกี่ยวกับความเป็นไปและการต่อต้านอิมามกาซิม (อ.) กล่าวคืออัลมะฮ์ดี ได้สั่งให้นำตัว อิมามจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังเมืองแบกแดดแล้วจับขังคุก แต่ทว่าไม่นานนักก็ต้องปล่อยตัว อิมามออกมา
นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า คืนหนึ่งอัล มะฮ์ดี ได้ฝันเห็น อมีรุลมุอ์มินีนอะลี (อ.) ได้อ่านโองการหนึ่งให้เขาฟันดังนี้ โอ้มุฮัมมัด อาจเป็นไปได้ว่า ถ้าหากพวกเจ้าผินหลังกลับ แล้วพวกเจ้าจะก่อความเสียหายในหน้าแผ่นดิน และตักขาดกับเครือญาติของพวกเจ้า
เมื่อนั้นเอง อัล มะฮ์ดี จึงตกใจตื่นด้วยความหวาดกลัว จึงสั่งให้รีบปล่อยตัวอิมามกาซิม (อ.) กลางดึกของคืนนั้น
เหตุการณ์สังหารที่ ฟัด
การเวลาผ่านพันไป 10 ปี เมื่อคอลีฟะฮ์อัล มะฮ์ดี เสียชีวิตไปแล้ว อัล ฮาดีย์ บุตรชายก็ได้ก้าวเข้าขึ้นสูอำนาจ เขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนมุทะลุจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อัล ฮาดีย์ได้ก่อเหตุโสกนาฏกรรมสังหารชีวิตเลือดเนื้อของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์สังหารที่กัรบะลาอ์ ดังเช่นในเหตุการณ์ที่ ฟัด เมื่อทหารของตระกูลอับบาสิยะฮฺ เข้าล้อมกรอบทหารนักปฏิวัติ 300 คนภายใต้การนำของฮูเซนได้ถูกสังหาร และสมัครพรรคพวกของเขาเป็นจำนวนมากที่ถูกจับตัวเป็น เชลยไปยังแบกแดด และอัล ฮาดีย์จึงได้ออกคำสั่งให้ประหารชีวิตคนเหล่านั้น
คอลีฟะฮ์ ฮารูน อัร รอชีด
หลังจากเหตุการณ์สังหารที่ ฟัค แล้ว อัล ฮาดีย์ก็หมายมั่นที่จะคุกคามชีวิตของท่าน อิมามกาซิม (อ.) แต่ได้ตายไปก่อนที่แผนการของเขาจะประสบผลสำเร็จ หลังจากนั้นฮารูน อัร รอชีด จึงได้ขึ้นสู่อำนาจสืบต่อในปี ฮ.ศ. 170 ในขณะที่ อิมามกาซิม (อ.) มีอายุได้ 42 ปี และ ในสมัยของฮารูนมีการใช้อำนาจปกครองอาณาจักรอย่างเหลวแหลก และดำเนินชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายที่สุด มีการละเลงเล่นทรัพย์สินของบรรดามุสลิมฮารูนยังได้ดำเนินนโยบายทางกานเมืองด้วยการแผ่อิทธิพลและการเข่นฆ่าชีวิตผู้คน เขาพยายามขับไล่คนในตระกูลของ อะลีไปในทุนหนแห่ง
เหยื่อสังหาร
ฮารูน อัร รอชีด มีบัญชาให้ ฮะมีดะฮ์ บิน กุฮ์ตอบะฮ์ มาพบในตอนกลางดึงของคืนหนึ่งโดยมีความประสงค์จะรู้ถึงระดับการยอมรับของฮะมีดะฮ์ ที่มีต่ออำนาจการปกครองของตน เขาถามฮะมีดะฮ์ว่า การยอมรับของเจ้าที่มีต่อข้านั้นเป็นอย่างไร ไหนลองว่ามา
ฮะมีดะฮ์ บิน กุฮ์ตอบะฮ์ กล่าวตอบทันที่ว่า ฉันยอมพลีต่อท่านได้ทั้งบริวารและบุตรชายของฉัน
ฮารูน อัร รอชีด ได้ถามซ้ำคำถามเดิม ซึ่งบินกุฮ์ตอบะฮ์ ก็ตอบอีกว่า ฉันยอมพลีแก่ท่านได้ทั้งบริวารและบุตรชายของฉันด้วย
เมื่อถึงตรงนี้ฮารูน อัร รอชีด จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ก็จงออกไปพร้อมกับ มัซรูร คนใช้ส่วนตัวของ อัร รอชีด ที่เคยสร้าง อาชญากรรมมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วจงให้บรรลุผลตามที่เขาได้สั่งเจ้า
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปถึงคุกแล้ว มัซรูรได้สั่งให้อินนุกุฮ์ตอบะฮ์ ว่า แท้จริงคอลีฟะฮ์ได้สั่งให้แกฆ่าคนที่อยู่ในคุกนี้ให้หมด แล้วให้โยนศพของเขาลงในบ่อ
ผู้ที่ถูกขังอยู่ในคุกล้วนเป็นลูกหลานของ อะลีและ ฟาฏิมะฮฺทั้งสิ้น มีจำนวนถึง 60 คนในคนเหล่านนั้นมีทั้งเด็กและคนสูงอายุ ฮะมีดะฮ์ บินกุฮ์ตอบะฮ์ จึงลงมือตัดคอพวกเขาที่ละคนอย่างไร้ความปรานีหรือความสงสารใด ๆ เลย ความโหดร้ายอย่างป่าเถื่อนของง ฮารูน อัร รอชีด ยังไปไกลถึงขนาดสั่งให้เปิดน้ำไหลเข้าใส่สุสานของ อิมามฮูเซน (อ.) เพื่อกันมิให้ประชาชนเข้าไปเยี่ยมเยียน และแสวงหาความจำเริญ
ท่าทีและบทบาทของอิมามกาซิม (อ.)
การปกครองในสมัยของฮารูน อัร รอชีด ได้กดขี่ข่มเหงอยุตธรรม และล่วงละเมิดต่อชีวิตและสิทธิของครอบครัวผู้บริสุทธิ์ ผู้คนต่างใช้ชีวิตอยู่ด้วยการ5ถูกกดขี่อย่างอัปยศอดสู และถูกลิดรอนสิทธิในขณะที่เขาและบรรดาบริวารต่างใช้ชีวิตเสวยสุขประดุจชีวิตในเทพนิยาย
คุกมืดเต็มไปด้วยบรรดาผู้ถูกกลั่นแกล้งและผู้บริสุทธิ์ ในขณะที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทอันวิจิตรตามจินตนาการ
ด้วยเหตุนี้ อิมามกาซิม (อ.) จึงต่อต้านอย่างรุนแรงต่อฮารูน อัร รอซีด โดยสั่งห้ามผู้ดำเนินตามท่านสนับสนุนการปกครองของเขา เพราะเขาประพฤติตัวโน้มไปในความอยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามหลักศาสนา
วันหนึ่งอิมามกาซิม (อ.) ได้กล่าวแก่ซ็อฟวาน เจ้าของอูฐในฐานะเป็นสหายคนหนึ่งของท่านว่า ทุกอย่างในตัวเธอถือว่าดีงามทั้งหมด ถ้าหารเธอไม่ยอมให้ฮารูน อัรรอซีด เช่าอูฐ
ซ็อฟวาน ตอบว่า ฉันจะไม่ให้เขาเช่าอูฐหรอก เว้นแต่เมื่อเขาต้องการจะไปทำฮัจญฺ
อิมาม เธอต้องการให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย เพื่อเขาจะได้มอบค่าเช่าให้แก่เธอใช่หรือไม่
ซ็อฟวาน ตอบว่า ใช่ขอรับ
อิมาม ผู้ใดชอบการมีชีวิตอยู่ของบรรดาผู้อยุติธรรม เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านั้น
ซ็อฟวาน จึงขาขอูฐของเขาทั้งหมด เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องมีความลำบากใจใจการให้เช่าอูฐแก่ฮารูน อัรรอชีดอีกต่อไป
เมื่อฮารูน ทราบข่าวก็เข้าใจทันทีว่า ที่ซ็อฟวานขอยอูฐไป ก็เพราะคำขอร้องของอิมามกาซิม (อ.) นั่นเอง จึงคิดจะสังหารเขาแต่ก็ได้เปลี่ยนใจใจภายหลัง โดยเก็บความเครียดแค้นที่มีต่ออิมามกาซิม (อ.) ไว้ในใจ
จุดยืนของท่านอิมามกาซิม (อ.) ก็คือ ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือผู้อธรรมแต่ก็ยังยินยอให้สหายบางคนทำงานในตำแหน่งต่างๆ ภายใต้การปกครองของฮารูนได้ เพื่อลดความอธรรมและการกดขี่ลงไปบ้าง และเพื่อที่จะได้มอบความช่วยเหลือบางอย่างให้แก่ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น อะลี บุตรของยักฎีน ซึ่งมีคำแหน่งเป็นเสนาบดี ก็เป็นสานุศิษย์คนหนึ่งของท่านอิมามการซิม (อ.) แต่เขาได้ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ อารูน อรรอชีด จะสอดส่องดูพฤติกรรมของเสนรบดีผุ้นี้อย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่พบพฤติกรรมใดๆ ที่แสดงว่า อะลี บุตรของยักฎีน เป็นพรรคพวกของอิมามกาซิม (อ)
การสนทนากับฮารุน
ฮารูน ถือว่าอิมามกาซิม (อ.) เป็นคลอันตรายที่คุกคามอำนาจการปกครองของตน เขาจึงพยายามถามคำถามที่ทิ่มแทงเพื่อที่จะให้อิมาม (อ.) แสดงความอ่อนแอและไร้ความสามารถออกมาให้ปรากฏ
วันหนึ่งฮารูนจึงตั้งคำถามกับท่านอิมามมูซา (อ.) ขึ้นว่า บอกฉันมาซิว่าทำไมพวกท่านจึงมีเกียรติเหนือพวกเรา ในขณะที่เรากับพวกท่านก็มาจากต้นไม้ต้นเดียวกัน เราเป็นลูกของอับบาส ส่วนท่านเป็นลูกของอบูฎอลิบ และทั้งสองคนต่างก็เป็นลุงของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)
ท่านอิมามกาซิม (อ.) จึงตอบไปว่า พวกเราใกล้ชิดกับท่านศาสนทูตมากว่า เพราะอับดุลลอฮฺ (บิดาของท่านนบี) กับอบูฎอลิบเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาคนเดียวกัน ส่วนอับบาสมิได้เกิดจากมารดาของอับดุลลอฮฺ
ฮารูนจึงถามอีกคำถามหนึ่งว่า ทำไมคนทั้งหลายจึงเรียกพวกท่านว่า ลูกหลานของท่านศาสดา ในขณะที่เป็นตาทวดของพวกท่าน และบิดาของท่านก็คืออะลี
ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า โอ้ ฮารูนเอ๋ย ถ้าหากท่านศาสดาฟื้นชีพขึ้นมาแล้วสู่ขอบุตรีของท่าน ท่านจะยอมจัดงานสมรสให้หรือไม่
ฮารูน แน่นอน และฉันจะถือเอาเรื่องนี้เพื่อเอาไว้อวดทั้งกับชาวอาหรับและที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ
อิมาม (อ.) แต่ทว่าสำหรับพวกเรา ท่านศาสทูตแห่งอัลลอฮฺ จะมาสู่ขอพวกเราไม่ได้ และเราจะจัดการแต่งงานพวกนางให้กับท่านไม่ได้
ฮารูน มีเหตุผลอันใดหรือ
อิมาม (อ.) เพราะว่าท่านเป็นผู้ให้กำเนิดพวกเรา แต่มิได้ให้กำเนิดท่าน
การคดโกง
จิตใจที่มีโรคย่อมจะไม่มีสิ่งใดที่ทำประโยชน์ให้มันได้เลย เช่น การคดโกงของอะลี บิน อิสมาอีลที่มีต่ออิมามกาซิม (อ.) อาของท่านเอง ในความเป็นจริงแล้วท่านอิมาม (อ.) ได้ปฏิบัติอย่างดีที่สุดกับบุตรของพี่ชายของท่าน แต่เขากลับตอบแทนท่านอย่างเลวร้ายยิ่ง
ในสมัยที่ยังอยู่ด้วยกันที่เมืองมะดีนะฮฺ อะลี บิน อิสมาอีลตัดสินใจจะเดินทางไปยังแบกแดด อิมามกาซิม (อ.) จึงเรียกเขาเข้ามาพบแล้ะวถามถึงจุดประสงค์ในการเกินทาง เขาตอบว่า ข้าพเจ้ามีหนี้สินจำนวนหนึ่งที่ต้องชดใช้ จึงตัดสินใจเดินทางเพื่อไปหาเงินมาชำระหนี้สิน
ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันจะชำระหนี้ให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องไปแบกแดดหรอก
อะลี บิน อิสมาอีล ปฏิเสธความหวังดีของท่านอิมาม เขาตั้งใจจะเดินทางไปให้ได้
อิมาม (อ.) จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น หากเจ้าไปถึงแบกแดดแล้วก็จงอย่ามีส่วนร่วมในการฆ่าฉันก็แล้วกัน
อะลี บิน อิสมาอีล ลุกเดินออกไปโดยไม่ได้ให้คำตอบ แต่อิมามก็ได้มอบถุงซึ่งมีเงินอยู่ในนั้น 300 ดีนาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวของเขา
แม้ว่าท่านอิมาม (อ.) จะทำดีถึงปรานนั้น แต่อะลี บิน อิสมาอีลก็ยังไม่ว่ายซ่อนความทรยศไว้ในใจ เขาต้องการจะไปประจบสอพลอฮารูนอัรรรอซีด และรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นความหนักใจของท่านอิมาม (อ.)
เมื่อไปถึงเขาได้เข้าไปหาฮารูน อัรรอชีด และกล่าวอย่างตลบแตลงที่สุดว่า มีเคาะลิฟะฮฺสองคนในสมัยเดียวกัน แน่นอน ฉันได้ละทิ้งมูซา บิน ญะอฺฟัร ซึ่งอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ เขาอ้างตนเป็นเคาระลิฟะฮฺ และทรัพย์สินเงินทองได้หลั่งไหลไปหาเขา
ฮารูน อัรรอชีด นับดาลโทสะเป็นอย่างยิ่ง จึงออกคำส่งให้จับตัวอิมามกาซิม (อ.) แล้วส่งไปขังคุกที่เมืองบัศเราะฮฺทันที
แต่แล้วอะลี บิน อิสมาอีล ก็มิได้รับผลประโยชน์อันใดเท่าที่ควร นอกจากรางวัลอันน้อยนิดเพียง 200 ดิรฮัม เท่านั้น เขาจึงออกมาจากวังด้วยความอัปยศอดสู และรู้สึกเจ็บปวดที่สุด ม่นานนักเขาก็ถึงแก่กรรม ดังนั้น เขาจึงขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ณ เมืองบัศเราะฮฺ
ฮาร฿น อัรรอชีด ได้เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮฺด้วยตนเอง เพื่อทำการจับกุมอิมามกาซิม (อ.) จนทำให้ประชาชนต่างออกมาร่ำไห้ในการทำนั้น
ฮารูน อัรรอชิด ตระหนักดีว่า ประชาชนมีความรักต่ออิมามกาซิม (อ.) อย่างมาก ด้วยความกลัวว่าจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้การจับกุมตัวในครั้งรี้ เขาจึงออกคำสั่งให้ย้ายอิมามกาซิม (อ.) ไปไว้ที่บัศเราะฮฺในตอนดึก
ในตอนเช้าของวันนั้น กองคาราวานของฮารูนออกเกินทางไปยังกรุงแบกแดด ฮารูน อัรรอชีด แพร่ข่าวออกไปว่ากองคาราวานจะนำตัวอิมามกาซิมไปยังกรุงแบกกแดด อิมามกาซิม (อ.) ได้ถูกนำตัวไปขังไว้ในคุกมืดที่เมืองบัศเราะฮฺ เจ้าเมืองบัศเราะฮฺมีความประหลาดใจมากับการจับกุมบุคคลระสูงที่เพียบพร้อมเช่นนั้น ทั้งในด้านความสำรวมตนการอิบาดะฮฺและความสมถะ เขาจึงเขียนจดหมายไปหาฮารูน อัรรอชีด เพื่อขอร้องให้ปล่อยตัวท่านอิมาม (อ.) ฮารูน อัรรอชีด จึงสั่งให้นำตัวอิมามในฐานะนักโทษมายังเมืองแบกแดด เพื่อการจองจำ
แต่จริยธรรมของอิมามกลับชนะใจพวกผู้คุมเรือนจำ ดังนั้น อิมามกาซิม (อ.) จึงถูกย้ายจากคุกหนึ่งไปสู่อีกคุกหนึ่ง ฮารูน อัรรอชีด พยายามจะขจัดอิมามกาซิม (อ.) ออกไปให้พ้นจากเส้นทางของตน จึงตัดสินใจส่งอิมามไปอยู่ในคุกของซะนะดียฺ บิน ซาฮิก ซึ่งเป็นคนที่มีความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนอย่างยิ่ง
อิมามกาซิม (อ.) ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำด้วยการนมาซ ขอดุอาอฺและถือศีลอด ไม่มีสิ่งใดที่จะเพิ่มพูน ณ อัลลอฮฺ ได้ นอกจากการขอบคุณ มีบางคนพยายามที่จะผลักดันอิมามให้ขออภัยโทษจากฮารูน อัรรอชีด แต่อิมามกาซิม (อ.) ปฏิเสธที่จะอ่อนข้อให้ และยังได้ส่งจดหมายถึงฮารูน อัรรอชีด ฉบับหนึ่ง ซึ่งอิมามกาซิม (อ.) ได้เขียนจดหมายว่า
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ยังไม่หมดไปจากฉันแม้สักวันเดียวก็ตาม จนกว่าจะถึงวันที่ความสุขสบายได้สิ้นสุดลงไปจากท่านพร้อมๆ กันไป ต่อจากนั้นเราทั้งสองจะเดินทางพร้อมกัน เพื่อไปสู่วันที่ไม่มีความสิ้นสุด ซึ่งไม่มีใครขาดทุนในวันนั้นอีก นอกจากบรรดาผู้กระทำผิด
สภาพความเป็นอยู่ของอิมาม (อ.) ชวนให้หน้าสลดใจอย่างยิ่ง จึงมีคนต้องการให้คำแนะนำกับอิมาม เพื่อให้พึ่งพาพวกที่มีอำนาจนำท่านออกจากคุก แต่อิมาม (อ.) ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้นโดยกล่าวว่า บิดาของฉันได้เล่ามาจากบรรพบุรุษของท่านให้ฉันฟังว่า อัลลอฮฺ ทรงสั่งเสียแก่ดาวูดว่า การมีบ่าวคนใดจากปวงบ่างของข้า ยึดเอาบุคคลอื่นเป็นที่พึ่งนอกจากข้า ย่อมไม่ได้รับอะไรเลย นอกจากข้าจะตัดขาดจากเขาซึ่งปัจจัยทั้งหลายอันมาจากฟากฟ้า และจากแผ่นดินที่อยู่เบื้องล่างเขา
ภายหลังจากเวลาได้ผ่านไปหลายปีที่อิมามกาซิม (อ.) ใช้ชิวิตอยู่ในคุกของพวกอับบาซียะฮฺ ในที่สุดท่านก็ต้องพบกับการถูกสังหารจนถึงแก่ความตาย หลังจากที่ฮารูน อัรรอชีด ได้ลอบวางยาพิษลงในอาหาร ซึ่งเกิดขึ้นใน ฮ.ศ. ที่ 183 ศพของท่านอิมามกาซิม (อ.) ถูกนำไปวางไว้ในที่ห่างไกลจากครอบครัวและญาติพี่น้อง และบุคคลที่เป็นที่รักยิ่งของท่าน
ฮารูน อัรรอชีดอ้างว่าท่านอิมาม (อ.) เสียชีวิตไปตามธรรมชาติ แต่มีหมอคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา ได้ชันสูตรศพอิมาม (อ.) พร้อมกับกล่าวว่า อิมามได้ถูกบังคับให้ดื่มยาพิษที่เรียกว่า นักฆ่า เข้าไปจนทำให้ถึงแก่ความตาย
การพลีชีพของท่านอิมาม (อ.) ทำให้มีเสียงร้องไห้ครวญไปทั่วเมืองแบกแดด และได้ฝังความข่มขืนไว้ในจิตใจของชีอะฮฺแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) พระศพของท่านอิมาม (อ.) ถูกฝังในสุสานของชาวกุเรชปัจจุบันตั้งอยู่ในเมือง กาซิเมน ประเทศอีรัก
ขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์
แสดงความเห็น