ต้นกำเนิดสำนักนิติศาสตร์ในอิสลาม ตอนที่สาม
ต้นกำเนิดสำนักนิติศาสตร์ในอิสลาม ตอนที่สาม
ชีอะฮฺ
นอกเหนือจากสำนักคิดนิติศาสตร์ทั้งสี่แล้วยังมีอีกนำนักฟิกฮฺที่สำนักหนึ่ง ซึ่งมีมาตั้งแต่เดิมพร้อมกับการประกาศอิสลามของท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) แต่มาชัดเจนขึ้นหลังจากการจากไปของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นั่นคือ สำนักฟิกฮฺของชีอะฮฺ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นสำนักคิดที่ไม่ถูกต้อง และหลงทาง แต่ถ้าเราพิจารณาตามความเป็นจริงที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ เราก็ไม่สามารถปฏิเสธสำนักคิดชีอะฮฺได้เช่นกันว่า พวกเขาไม่ใช่มุสลิม เนื่องจากโครงสร้างของสำนักคิดนี้ไม่ได้มีสิงใดแตกต่างไปจากสำนักคิดซุนนียฺแม้แต่นิดเดียว พวกเขาใช้อัล-กุรอานและซุนนะฮฺของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตเหมือนกับอะฮฺลิซซุนนะฮฺ แต่มีรายละเอียดบางประการที่ทัเงสองสำนักคิด (สุนียฺและชีอะฮฺ) คิดแตกต่างกัน แต่สิ่งนั้นไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่ใช่มุสลิม เนื่องจากทั้งสองยังยึดมั่นในอัลลอฮฺ เราะซูล และอัล-กุรอานอย่างมั่นคง ความต่างทางความคิดจึงไม่ใช่สาเหตุของการปฏิเสธไม่ยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน
ด้วยการแต่งตั้งบรมศาสดามุฮัมมัด ซ็อล ฯ เมื่อปี ค.ศ. ๖๑๐ ณ นครมักกะฮฺ อิสลามได้ถือกำเนิดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มักกะฮฺเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นหิญาซ ซึ่งท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ได้ทำการสถาปนากะอฺบะฮฺ สถานทีศักดิ์สิทธิ์เพื่อการสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าขึ้น ณ ที่นั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด ซ็อล ฯ เป็นบุรุษที่รู้จักกันในนามของ อริยบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่ง ท่านมาจากตระกูลที่มีความเคร่งครัดในศาสนา (บนีฮาชิม) จากเผ่ากุเรช ซึ่งเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจมากในคาบสมุทรอาหรับสมัยนั้น บนีฮาชิมเป็นตระกูลที่ชื่อเสียงด้านความประเสริฐ และคุณธรรม
การเริ่มประกาศอิสลามได้เริ่มที่เครือญาติชั้นใกล้ชิดของท่านศาสดา หลังจากนั้นจึงได้เริ่มขยายไปสู่ภายนอก เป็นเรื่องปรกติที่ว่าเมื่อมีแนวคิดใหม่ๆเกิดขึ้นในสังคมย่อมมีทั้งผู้ที่ยอมรับ และ ต่อต้าน การประกาศอิสลามของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เช่นกัน ส่วนผู้ทำตนเป็นปฏิปักษ์กับท่านศาสดาเป็นหนึ่งในตระกูลที่มาจากเผ่ากุเรช การกระทำของพวกเขาส่งผลเสียมากมายต่อสังคมในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามอิสลามได้เติบโตค่อนข้างสมบูรณ์ที่ มักกะฮฺ ภายในเวลาเพียง ๑๓ ปีแม้ว่าจะมีกลุ่มต่อต้านจากเผ่ากุเรช รวมไปถึงการอพยพของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไปยังนครมดีนะฮฺ แต่กระนั้นอิสลามก็ยังสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนาๆ ประการและมีความเข็มแข็งขึ้นตามลำดับ และระยะเวลาเพียง ๒๓ ปีท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กับบรรดาอัครสาวกสามารถเปลี่ยนแปลงแคว้นอาหรับในยุคทมิฬให้ยอมรับอิสลาม และกลับกลายเป็นแคว้นที่มีวัฒนธรรม และอารยธรรมเป็นของตนเอง
ขณะเดียวกันกับที่อิสลามไดแพร่ขยายตัว คำว่าชีอะฮฺของอะลี (อ.) ก็เริ่มเป็นที่มักคุ้นของสังคม ประกอบกับมีฮะดีซนะบะวีย์ (หมายถึงฮะดีซที่รายงานทั้งชีอะฮฺ และซุนนะฮฺ) มาสนับสนุนและกล่าวถึงแนวคิดดังกล่าว ยิ่งทำให้ชีอะฮฺเป็นที่มักคุ้นมากยิ่งขึ้น เช่น ท่านอิบนุอะซากิรฺ ได้รายงานฮะดีซมาจากท่าน ญาบีรฺ บินอับดุลลอฮฺ อันศอรีย์ว่า ขณะที่ฉันนั่งอยู่กับท่านศาสดา ท่านอะลีได้เดินเข้ามา หลังจากนั้นท่านศาสดาได้กล่าวขึ้นว่า "ฉันขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของเขา แท้จริงชายผู้นี้กับชีอะฮฺของเขาคือผู้ได้รับชัยชนะในวันกิยามะฮฺ" ในเวลานั้นโองการได้ถูกประทานลงามาว่า "แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณความดี พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด" (บัยยินะฮฺ : ๗) และเมื่ออะลีได้เข้ามายังกลุ่มของสาวกพวกเขาได้พูดว่า มนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด มาแล้ว (อัดดุรุ้ลมันษูร ๖/๕๘๙)
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกนามของอัครสาวกที่เป็นชีอะฮฺของอะลีไว้ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส ฟัฎลิบนิอับบาส กะษัมบินอับบาส อะกีลบินอบีฏอลิบ ซัลมานฟารซีย์ มิกดารฺ อบูซัรฺ อัมมารฺบินยาซีรฺ อบูอัยยูบอันศอรีย์ อุบัยบินกะอับ สะอฺดิบนิอิบาดะฮฺ มุฮัมมัดบินอบีบักรฺ
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ อะสะดุลฆอบะฮฺ อัลอิสตีอาบ อัล-อิศอบะฮฺ เป็นตำราที่มีชื่อเสียงของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ นอกเหนือจากนี้ยังมีหนังสือ อัด-ดะรอญาตุ้รฺ-รอฟีอะฮฺ อัศลุช-ชีอะฮฺ วะอุศูลลุฮา และฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ ซึ่งเป็นตำราของชีอะฮฺ
ทีมาของฐานันดรของท่านอะลี ณ ท่านศาสดา ซ็อล ฯ นั้นมาจากฮะดีซกะมาลาตดีน และวะศียัตของท่านศาสดา ซ็อล ฯ ที่ได้มอบให้ท่านอะลีเป็นตัวแทนของท่าน แต่สิ่งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวกุเรชส่วนใหญ่แม้ว่าพวกเขาจะมีความใกล้ชิดกัน แต่ทว่ากับตระกูลบนีฮาชิมแล้วพวกเขาไม่ค่อยจะมีความพอใจเท่าไหร่นัก แม้แต่ในช่วงที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีชีวิตพวกเขาได้แสดงความไม่พอใจ และทำตนเป็นปรปักษ์กับท่านอะลีมาตลอด อีกทั้งเคยมาร้องเรียนกับท่านศาสดาเกี่ยวกับท่านอะลี ซึ่งหลายครั้งที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยระหว่างพวกเขา เช่น ครั้งหนึ่งหลังจากสงครามเยเมนได้มีสาวกกลุ่มหนึ่ง (คอลิด บินวะลีด และเพื่อนพร้องของเขา) เข้าร้องเรียนกับท่านศาสดา เกี่ยวกับท่านอะลีที่เป็นแม่ทัพอยู่ในขณะนั้น ท่านศาสดา ซ็อล ฯ ได้ห้ามปรามหลายครั้งและบอกให้กลับไป แต่พวกเขาก็ยังดื้อดึงทำให้ท่านศาสดาโกรธ และได้พูดกับพวกเขาว่า พวกท่านต้องการอะไรจากอะลีหรือ หลังจากนั้นท่านได้พูดว่า "อะลีมาจากฉัน และฉันมาจากอะลี และเขาคือผู้ปกครองมวลผู้ศรัทธาทั้งหลายภายหลังจากฉัน" (มุสนัดอะหฺมัด ๔/๔๓๙- เซาะฮีติรฺมีซีย์ ๕/๒๙๖)
การเป็นปรปักษ์ที่พวกเขาได้แสดงกับท่านอิมามอะลีนั้น กลับกลายเป็นผลดีต่อท่านอิมาม ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคาะลิฟะฮฺที่สอง ได้ยืนยันว่า ตรงที่ได้พูดกับท่านอิบนุ อับบาสว่า "โอ้ บุตรของอับบาสเอ๋ย ท่านรู้ไหมว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อะไรคืออุปสรรคต่อการให้บัยอัตกับท่าน พวกเขาไม่ชอบที่จะให้ท่านเป็นเคาะลิฟะฮฺที่มีอำนาจคล้ายนุบุวัตรของท่านศาสดา มันเป็นการกดดันต่อชนในเผ่าของเขา ด้วยเหตุนี้พวกกุเรชจึงได้เลือกเคาะลิฟะฮฺของพวกเขาขึ้นมาซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกต้องและประสบกับความสำเร็จ"
หลังจากนั้นท่านอุมัรฺได้กล่าวว่า "ฉันได้ยินว่า ท่านได้พูดว่าพวกเขามีความอิจฉาริษยาต่อตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ และได้ช่วงชิงตำแหน่งไปด้วยกับการกดขี่ใช่ไหม?
ท่านอิบนุอับบาสพูดว่า "การที่ท่านพูดว่าพวกเขาได้ช่วงชิงตำแหน่งไปด้วยอำนาจนั้นเป็นความจริงซึ่งเป็นที่รู้กันของคนทั่วไป แต่การที่พูดว่าเป็นเพราะความอิจฉานั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะท่านก็ทราบดีว่าท่านอาดัม (อ.) นั้นถูกชัยฏอนอิจฉา และพวกเราก็เป็นลูกหลานของท่านอาดัมจึงโดนอิจฉาเป็นเรื่องธรรมดา" (อัล-กามิ้ล ฟิดตารีค (๓/๒๔) ชัรห์อิบนุอะบิ้ลหะดีด (๓/๑๐๗) ตารีคแบกแดด (๒/๙๗)
ท่านยะอฺกูบีย์ได้เล่าเรื่องดังกล่าวไว้เช่นกัน และในตอนท้ายท่านได้กล่าวว่า "ท่านอุมัรฺได้พูดว่า "ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺโอ้บุตรของอับบาส แท้จริงอะลีบุตรของลุงของท่านนั้นมีความเหมาะสมต่อตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺมากกว่าใครทั้งหมด แต่ทว่าพวกกุเรชไม่อาจทนดูได้" (มุรูญุซซะฮับ ๒/๑๓๗)
ความอคติและความอิจฉาริษยาที่พวกเขาได้แสดงออกแม้ต่อหน้าของท่านศาสดา ซ็อล ฯ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งนี้มันมีรากที่หยั่งลึกอยู่ในสายตระกูล และระบบของเผ่าพันธุ์ทั่วแคว้นอาหรับ
ชีอะฮฺ (บ้างสะกด ชีอะฮฺ, ชีอะฮฺ หรือ ชีอะฮ์) เป็นนิกายหนึ่งในอิสลาม ซึ่งมีความแตกต่างกับซุนนีย์ในเรื่องของผู้นำสูงสุด หรือตัวแทนนบีมุฮัมมัด ว่าจะต้องมาจากการแต่งตั้งของอัลลอฮฺและนบีมุฮัมมัดเท่านั้น นั้นคืออิมามสิบสองคน อันได้แก่อิมามอะลีย์และบุตรหลานอีก11คน
ชีอะฮฺ ตามความหมายของปทานนุกรมหมายถึง ผู้ปฏิบัติตามหรือผู้ติดตาม ซึ่งบุคคลที่เป็นชีอะฮฺหมายถึง บุคคลที่เชื่อว่า ตัวแทนของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) หลังจากท่านเสียชีวิต เป็นสิทธิของลูกหลานของท่านเท่านั้น ซึ่งพวกชีอะฮฺจึงยึดถือและปฏิบัติ ตามแนวทางของลูกหลานของท่านศาสดา(อะฮฺลุลบัยตฺ) ทั้งด้านความรู้ และการปฏิบัติ
การเริ่มต้นชีอะฮฺครั้งแรก เริ่มที่ชีอะฮฺของอะลีย์ (อ.) (ซึ่งฝ่ายชีอะฮฺเชื่อว่าท่านคือผู้นำคนแรกจากบรรดาผู้นำ(อิมาม)ที่บริสุทธิ์ทั้ง 12 ท่าน ภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ) ซึ่งชีอะฮฺของอะลีได้เริ่มต้นตั้งแต่ยุคที่ท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ การเผยแพร่ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตลอด 23 ปีนั้นเป็นสาเหตุทำให้มีผู้คนจำนวนมากมายเข้ารับอิสลาม มีการเติบโตและเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วการเกิดกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยเป็นเรื่องธรรดาของการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้นในหมู่ของเหล่าเศาะฮาบะฮฺ (สาวก) ของท่านศาสดาเช่นกัน
อนึ่ง ชื่อกลุ่มแรกที่ถูกกล่าวในสมัยของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) คือ ชีอะฮฺซึ่งหมายถึงท่าน ซัลมาน, อบูซัร, มิกดาด และอัมมาร บินยาสิร (ฮาฎิรุ้ลอาลัมมิ้ลอิสลามี 1 : 188)
ประการแรก ท่านศาสดาในวันแรกของการแต่งตั้งได้มีบัญชาลงมาว่า ให้ท่านเชิญชวนครอบครัวของท่านเข้ารับศาสนาที่ท่านนำมาเผยแพร่
อัลกุรอานกล่าวว่า “เธอจงเตือนวงศ์ญาติที่ใกล้ชิดของเธอ” (อัชชุอะรออ์:214)
ในวันนั้นท่านได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า “ใครก็ตามตอบรับคำเชิญชวนของท่านเป็นคนแรก ท่านจะแต่งตั้งให้เขาเป็นตัวแทนของท่านทันที” และท่านอะลีย์ เป็นคนแรกที่ตอบรับคำเชิญชวนของท่านศาสดา ซึ่งศาสดาก็ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาของท่าน *
ท่านอิมามอะลีย์ (อ.) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า“ฉันได้กล่าวกับท่านศาสดาว่า ฉันเป็นเด็กกว่าใครเพื่อนและฉันจะได้เป็นตัวแทนของท่านหรือ ขณะนั้นท่านศาสดาได้เอามือมาแตะที่ต้นคอของฉันและกล่าวว่า เขาผู้นี้คือน้องชายของฉันและเป็นตัวแทนของฉัน จำเป็นที่พวกท่านทั้งหลายต้องปฏิบัติตามเขา ซึ่งประชาชนได้พากันหัวเราะเยาะท่านศาสดา และหันไปกล่าวกับอะบีฏอลิบว่า เขาได้สั่งให้ท่านปฏิบัติตามลูกชายของท่าน”
(ตารีคฏ็อบรีย์ 2 :321 ตารีคอะบิ้ลฟิดาอฺ 1 :116 อัล-บิดายะฮฺวัลนิฮายะฮฺ3 :39 ฆอยะตุ้ลมะรอม หน้าที่ 320)
แน่นอนเป็นไปไม่ได้ที่วันแรกของการเผยแพร่ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะมีคำสั่งให้ผู้คนไปยึดถือ และปฏิบัติตามตัวแทนของท่าน ในวันนั้นท่านได้แนะนำเพียงแค่ว่า อะลีคนนี้ คือ ผู้นำและเป็นตัวแทนของฉันในวันข้างหน้า และตลอดระยะเวลาของการเผยแพร่อิสลาม ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่เคยถอดถอนท่านอะลีออกจากตำแหน่ง ขณะที่ท่านอะลี (อ.) ก็ไม่เคยแสดงตัวให้แตกต่างไปจากคนอื่น
ประการที่สอง ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวไว้หลายต่อหลายครั้ง (ทั้งริวายะฮฺที่เป็นมุสตะฟีฏและริวายะฮฺที่เป็นมุตะวาติรฺจากรายงานของสุนนีย์และชีอะฮฺ) ว่า “ท่านอะลีนั้นบริสุทธิ์จากความผิดบาปและไม่ผิดพลาดทั้งคำพูดและการกระทำ”
ท่านหญิงอุมมุสะลามะฮฺ กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวว่า อะลีนั้นอยู่กับสัจธรรมและอัล-กุรอาน และสัจธรรมและอัล-กุรอานนั้นอยู่กับอะลีโดยที่ทั้งสองจะไม่แยกออกจากกันจนกว่าจะถึงวันกิยามะฮฺ” หะดีษดังกล่าวนี้มีรายงานจากสุนนีย์ถึง 15 สายรายงาน และจากชีอะฮฺ 11 ส่ายรายงาน ซึ่งมีท่านหญิงอุมมสะลามะฮฺ ท่านอิบนุอับบาส ท่านอบูบากรฺ ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านอะลี อบูสะอีดคุดรีย์ อบูลัยลา และอบูอัยยูบอันศอรีย์เป็นผู้รายงาน (ฆอยะตุ้ลมะรอม หน้าที่ 539-540)
ท่านศาสดาได้กล่าอีกว่า“และทุกๆคำพูดหรือการกระทำที่อะลีได้ทำล้วนตรงกันอย่างสมบูรณ์กับคำเชิญชวนของศาสนา อะลีเป็นผู้ที่มีความรู้ในหลักชะรีอะฮฺ (หลักปฏิบัติ) และความรู้ทั้งหลายของอิสลาม มากที่สุดในหมู่ของประชาชน”
และกล่าวอีกว่า “วิทยปัญญานั้นมี 10 ส่วน 9 ส่วนนั้นอยู่ที่อะลีย์ และอีก 1 ส่วนกระจัดกระจายอยู่ในหมู่ของประชาชน” (อัล-บิดายะฮฺวัลนิฮายะฮฺ 7 :359)
ประการที่สาม อะลีย์ได้รับใช้อิสลามไว้อย่างมากมาย และการเสียสละของท่านนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งในมาเทียบเคียงได้ เช่น ท่านเสียสละนอนแทนที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในคืนของการอพยพหรือในสงครามต่างๆ เช่น สงครามอุฮุด คอนดัก คัยบัรฺ และอื่นๆ ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าถ้าในสงครามเหล่านั้นไม่มีท่านอะลีอยู่ แน่นอนอิสลามคงไม่เติบโตจวบจนถึงปัจจุบัน และคงตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของศัตรู หรือถูกขุดรากถอนโคนไปนานแล้ว*
อนึ่ง เมื่อผู้ปฏิเสธชาวมักกะฮฺตัดสินใจว่า ต้องฆ่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) โดยได้มาล้อมบ้านตั้งแต่หัวค่ำ ท่านศาสดาจึงตัดสินใจอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และก่อนไปท่านได้สั่งแก่ท่านอะลีว่า “อะลีเจ้าพร้อมที่จะนอนแทนที่ฉันไหม เพื่อจะได้อำพรางพวกศัตรูว่า ฉันยังนอนหลับอยู่พวกเขาจะได้ไม่ติดตามฉัน”ท่านอะลีได้ตอบรับคำของท่านศาสดาด้วยกับความกล้าหาญทั้งที่มีความเสี่ยงสูง และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ประการที่สี่ เหตุการณ์เกี่ยวกับเฆาะดีรคุม เป็นเหตุการณ์ที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ทำการแต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นตัวแทนของท่านต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการ และถือว่าท่านอะลี คือ “ผู้สืบตำแหน่งของท่าน”
หะดีษเกี่ยวกับเฆาะดีรคุม เป็นหะดีษที่ชัดเจนอย่างยิ่งในหมู่ของ สุนนีย์และชีอะฮฺซึ่งได้มีเศาะฮาบะฮฺเกินกว่า 100 คนเป็นผู้รายงานด้วยตัวบท และสายรายงาที่แตกต่างกันและมีบันทึกไว้ทั้งในตำราของสุนนีย์และชีอะฮฺ หารายเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ ฆอยะตุ้ลมะรอม หน้าที่ 79, หนังสืออัลเฆาะดีร อัลลามะฮฺอามีนี
แน่นอน อะลีย์นั้นมีความประเสริฐเฉพาะตัว ที่แตกต่างไปจากคนอื่นซึ่งเป็นที่เห็นพร้องต้องกันของทุกฝ่ายดังที่มีบันทึกไว้ในตำราต่างๆมากมายเช่น ตารีคยะอฺกูบีย์ พิมพ์ที่นะญัฟ 2 :138 -140 ตารีคอะบิ้ลฟิดาอฺ 1 : 156 เศาะฮีย์บุคคอรีย์ 4 : 107 มุรูญุซซะฮับ 2 : 437 อิบนุอะบิ้ลฮะดีด 1 : 127 และหน้าที่ 161 เป็นต้น
ความรักแบบสุดโต่งที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีต่อท่านอะลี ซึ่งท่านได้แสดงอย่างออกหน้าออกตามีบันทึกอยู่ใน (เศาะฮีย์มุสลิม 15 : 176 เศาะฮีย์บุคคอรีย์ 4 : 207 มุรูญุซซะฮับ 2 : 23 – 2 : 437 ตารีคอะบิ้ลฟิดาอฺ 1 : 127 และหน้าที่ 181 )
โดยธรรมชาติแล้วเศาะฮาบะฮฺส่วนหนึ่งที่มีความเข้าใจถึงแก่นแท้ของความจริง เกิดความหวัง และรอคอยว่า วันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะได้ปฏิบัติตามท่านอะลีเหมือนกับวันนี้ที่พวกเขาได้ปฏิบัติตามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่มีเศาะฮาบะฮฺอีกส่วนหนึ่ง ไม่พอใจต่อการกระทำของท่านศาสดา พวกเขามีความอิจฉาริษยาและเกิดอคติในใจขึ้น
และนอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนามของชีอะฮฺอะลีหรือชีอะฮฺอะฮฺลุลบัยตฺได้ถูกท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวเรียกไว้อย่างมากมายหลายต่อหลายครั้งด้ยวกัน*
ท่านญาบีรฺกล่าวว่า ฉันได้นั่งอยู่ใกล้ๆกับท่านศาสดา และขณะนั้นได้เห็นท่านอะลีเดินมาแต่ไกลซึ่งท่านศาสดาได้กล่าวขึ้นว่า“ฉันขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในฝ่ามือของเขาว่า ชายผู้นี้และชีอะฮฺของเขาคือผู้สัตย์จริง ที่จะได้รับความช่วยเหลือในวันกิยามะฮฺ” ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่าเมื่อโองการ“แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และประพฤติสิ่งดีงามต่างๆ พวกเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด” (อัล-บัยยินะฮฺ: 7) ได้ถูกประทานลงมา ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า หลักฐานที่ยืนยันถึงโองการดังกล่าวคือเจ้าและชีอะฮฺของเจ้า ซึ่งในวันกิยามะฮฺเจ้าจะพึงพอใจในพระองค์ และพระองค์ทรงพึงพอพระทัยต่อเจ้า” (หะดีษทั้งสองกับอีกหลายหะดีษมีกล่าวไว้ใน ตับสีรฺอัด-ดูรุ้ลมันษูรฺ 6 : 379 และฆอยะตุ้ลมะรอม หน้าที่ 326 ) แก่นแท้ของนิกายชีอะฮฺ
ชีอะฮฺ หมายถึงผู้ปฏิบัติตาม หรือกลุ่มชนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อบรรดาอิมามลูกหลานที่บริสุทธิ์ทั้ง ๑๒ ท่านของท่านศาสดา ซ็อล ฯ และยังเชื่อว่า อิมามท่านที่ ๑๒ อิมามมะฮฺดี (อ.) นั้นยังมีชีวิตอยู่แต่ได้หายตัวไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ นิกายชีอะฮฺมีมูลฐานความเชื่อสำคัญ ๒ ประการดังนี้
๑. เชื่อว่าผู้ที่เป็นที่ย้อนกลับของความรู้คือ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ผู้เป็นทายาทและลูกหลานของท่านศาสดา ซ็อล ฯ โดยมีฮะดีซนะบะวีและอัล-กุรอานเป็นสิ่งสนับสนุนความเชื่อ และเป็นข้อพิสูจน์คำกล่าวอ้างดังกล่าว เช่นโองการที่ ๓๓ ซูเราะฮฺอัล-อะหฺซาบกล่าวว่า"อันที่จริงอัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้ออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะฮฺลุลบัยตฺและทรงชำระขัดเกลาพวกเจ้าสะอาดอย่างแท้จริง"
รายงนฮะดีษทั้งจากชีอะฮฺและซุนนี ยืนยันว่าโองการดังกล่าวได้ลงให้กับอะฮฺลุลบัยตฺของท่านศาสดา ซ็อล ฯ ฮะดีษที่สนับสนุนความเชื่อของชีอะฮฺ อาทิเช่น
ฮะดีษษะเกาะลัยล์ เป็นหนึ่งในฮะดีษที่กล่าวถึงความสำคัญของอะฮฺลุลบัยตฺ โดยท่านศาสดา ซ็อล ฯ กล่าวว่า "โอ้ ประชาชนเอ๋ยแท้จริงฉันได้ฝากสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่ของพวกเจ้า หากพวกเจ้ายึดมั่นต่อทั้งสอง จะไม่หลงทางตลอดไปได้แก่คัมภีร์ แห่งอัลลอฮฺ (อัล-กุรอาน) และอิตระตี อะฮฺลุบัยตี (ทายาทและลูกหลานของฉัน) (กันซุ้ลอุมาล ๑/๔๔. มุสนัดอะฮฺมัด ๕/๑๗/๒๕. มุสนัดฮากิม ๓/๑๐๙/๑๔๘)
ฮะดีษสะฟีนะฮฺ ท่านศาสดา ซ็อล ฯ กล่าวว่า "อุปมาอะฮฺลุลบัยตฺของฉันเปรียบ เสมือนเรือของนบีนูห์ ใครได้ขึ้นบนเรือเขาจะได้รับความปลอดภัย และใครปฏิเสธ เขาจะพบกับความพินาศ" (มุสตัดร็อกอัล-ฮากิม ๓/๑๕๑)
นอกจากสองริวายะฮฺนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดีแล้วยังมีริวายะฮฺอีกจำนวนมากมาย (ซึ่งบาง ริวายะฮฺเหล่านั้นอยู่ในฐานะที่มาอธิบายอัล-กุรอาน) แต่ริวายะฮฺส่วนมากได้อธิบายว่าบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺของท่านศาสดาเป็นหุจญัติสำหรับประชาชาติ ในการรู้จักอิสลามและพวกเขาไม่มีความผิดพลาดในการอธิบายศาสนาของอัลลอฮฺ (ซบ).
ด้วยกับการที่ชีอะฮฺ มีความเชื่อในฐานันดรของอะฮฺลุลบัยตฺของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงมีความเป็นเอกเทศน์และเป็นพิเศษกว่าคนอื่นนั้นคือ ชีอะฮฺเป็นนิกายเดียวที่มีความเชื่อในอำนาจวิลายะฮฺ และการชี้นำของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ว่า ท่านคือผู้อธิบาย ศาสนาและอะฮฺกามของมัน ที่มีความสอดคล้องกันในทุกกาลทุกวาระ ตราบจนถึง ปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างในแง่มุมของมนุษย์ผู้มีความสมบูรณ์ทุกยุคทุกสมัย ท่านเป็นสื่อที่เชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นมูลเหตุของการประทานนิอฺมัตต่างๆ ของอัลลอฮฺ (ซบ.) อย่างต่อเนื่อง ท่านคือนิอฺมัตที่สมบูรณ์ของ อัลลอฮฺ (ซบ.) และด้วยกับวิลายะฮฺของพวกเขาศาสนาของอัลลอฮฺจึงมีความสมบูรณ์ พวกเขาได้ทำให้อำนาจวิลายะฮฺของอัลลอฮฺ (ซบ.) มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคม และยืนหยัดจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อเช่นนี้ไม่มีอยู่ในนิกาย และศาสนาอื่นๆ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดความคุมเครือ ด้านความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนา และเป็นสาเหตุทำให้ในหมู่พวกเขาขาดผู้ทำหน้าที่อธิบายคำสอนของศาสนา อัล-กุรอานและอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแนวคิดที่ปราศจากการชี้นำและผู้อธิบายวะฮีย์นั้น เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมาตลอด เป็นสาเหตุทำให้ผู้คนหลงทางออกไปจำนวนมากมาย สร้างความแตกแยกให้กับสังคม และอื่นๆอีกมากสาเหตุนั้นอยู่ที่การปราศจากผู้ชี้นำที่ถูกต้อง วันนี้เพียงพอแล้วหากเรายึดมั่นบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺปัญหาด้านความเชื่อ ความคิด และจริยธรรมคงหมดไปอย่างสิ้นเชิง ตลอดจนความรู้อันลึกซึ้งจากอัล-กุรอานอันเป็นแก่นที่มีความสำคัญต่อชีวิตคงไม่คุมเครือเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่สำหรับชีอะฮฺถือว่าโชคดีในแง่มุมนี้เนื่องจากชีอะฮฺเป็นผู้ยึดมั่นต่อสายธารของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) มาตลอดตราบจนถึงปัจจุบัน
เราได้รับฮะดีษที่อธิบายคำสอนของศาสนาอันเป็นความรู้ที่ล้ำค่าจากอะฮฺลุลบัยตฺจำนวนมาก ซึ่งตลอดระยะเวลา ๑๓ ศตวรรษที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาศาสนาได้รับประโยชน์จากฮะดีซเหล่านี้ และทำการเรียนการสอนกันอยู่จนถึงปัจจุบัน
๒. วิลายะฮฺซิยาซีของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) นิกายชีอะฮฺกล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ทำการแต่งตั้งท่านอิมามอะลี (อ.) ให้ดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺภายหลังจากท่าน ท่ามกลางหมู่ชนจำนวนมากมาย และหลังจากท่านอะลีตำแหน่งนี้ได้ถูกมอบให้กับ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ๑๑ ท่านซึ่งเป็นทายาทของท่านศาสดาทั้งสิ้น แต่หน้าเสียใจ ที่ว่าเหตุการณ์ได้แปลเปลี่ยนไป อันมีสาเหตุสำคัญมากมายเป็นตัวกำหนด ซึ่งสิ่งนี้ เป็นสาเหตุทำให้การอธิบายอิสลามต้องหยุดชะงักและขาดความต่อเนื่อง
เหตุผลของคำกล่าวอ้างข้างต้นคือคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่ได้กล่าวเพื่อเป็นการเตือนสำทับแก่ประชาชาติถึงภัยที่จะเกิดขึ้น ทั้งกล่าวโดยตรง และโดยทางอ้อม
ฮะดีษมันซิลัต (ฐานันดร) ท่านบุคอรีย์ได้บันทึกไว้ในหนังสืออัศ-เซาะฮีย์ของท่านว่า"ท่านศาสดา ซ็อล ฯ ได้ออกไปทำสงครามตะบูกพร้อมกับประชาชนคนอื่นๆท่านอะลีจึงได้กล่าวกับท่านศาสดาว่า อนุญาตให้ฉันออกไปกับท่านได้ไหม ท่านศาสดา ตอบว่า ไม่ ท่านอะลีเสียใจมาก ดังนั้นท่านศาสดา ซ็อล ฯ จึงได้กล่าวกับท่านอะลีว่า เจ้าไม่พอใจหรือที่ฐานะของเจ้ากับฉัน อยู่ในฐานะเดียวกันกับท่านฮารูนกับมูซา เพียงแต่ว่าไม่มีนบีหลังจากฉันอีก ? มันไม่เป็นการดีสำหรับฉันที่จะออกไป เว้นเสียแต่ว่าฉันได้มอบให้เจ้าเป็นตัวแทน (เคาะลิฟะฮฺ) ของฉัน" (เซาะฮีย์บุคอรีย์ เล่มที่ ๕ หมวดฟะฎออิล อัศฮาบุน นบี หมวด มะนากิบอะลี – เซาะฮีย์มุสลิม หมวดฟะฎออิลอะลี ๑๒๐-๑๒๑)
ฮะดีษเฆาะดีรฺ ท่านอะฮฺมัดได้รายงานจาก ซัยดฺบินอัรฺกอม ซึ่งเขาได้พูดว่า "เมื่อพวกเรากับท่านศาสดา ซ็อล ฯได้เดินทางมาถึงยังสถานที่หนึ่ง ที่มีนามเรียกว่า คุม ท่านศาสดาได้มีคำสั่งให้หยุดเพื่อทำนมาซ ดังนั้นพวกเราได้ทำนมาซทั้งสองพร้อมกัน ท่านศาสดา ซ็อล ฯ ได้กล่าวคุฏบะฮฺ แก่พวกเรา ซึ่งพวกเราได้เอาเสื้อแขวนบนต้นไม้เพื่อบังแดดให้กับท่านศาสดา ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านรู้ดี และยืนยันว่า ฉันนั้นดีกว่าผู้ศรัทธาทั้งหลาย และชีวิตของเขาใช่ไหม ? พวกเขาพูดว่า ใช่ ....หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา ดังนั้น อะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย ขออัลลอฮฺทรงเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา และเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา" (มุสนัดอะฮฺมัด เล่มที่ ๔/๓๗๒ – อัศ-เซาะวาอิกุลมุหฺเราะเกาะฮ์ หน้าที่ ๔๔/๔๓- มุสตัดร็อกฮากิม เล่มที่ ๓/๑๐๙)
สิ่งสำคัญตรงนี้คือ เหตุการณ์ในเฆาะดีรฺคุม ได้เกิดขึ้นหลังจากอัลลอฮฺได้ประทานโองการ บะลาฆฺ ลงมา อันได้แก่โองการที่กล่าวว่า
"โอ้ รอซูล จงประกาศสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมายังเจ้า จากพระผู้อภิบาลของเจ้า หากเจ้าไม่ประกาศเท่ากับเจ้าไม่ได้เผยแพร่สาสน์ของพระองค์ อัลลอฮฺทรงคุ้มครองเจ้าจากประชาชาติทั้งหลาย แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนผู้ปฎิเสธ" (อัล-มาอิดะฮฺ ๖๗)
ภายหลังจากได้ประกาศวิลายะฮฺของท่านอะลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วโองการ อิกมาลุดดีน ก็ได้ถูกประทานลงมาโดยกล่าวว่า
"วันนี้บรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังต่อศาสนาของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวข้า วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้า และได้ประทานความเมตตาของข้าอย่างครบถ้วนแก่พวกเจ้า และข้าได้เลือกให้อิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า" (อัล-มาอิดะฮฺ :๓)
สิ่งที่ได้กล่าวมาเป็นการยืนยันให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างของชีอะฮฺนั้น มีที่มาและที่ไป มิได้เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีริวายะฮฺ โองการ และประวัติศาสตร์อีกจำนวนมากที่บันทึกอยู่ในตำราของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ
นิกายต่างๆในอิสลามมักประสบกับคำถามหนึ่งที่ว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นั้นมีความเป็นห่วงเป็นใยประชาชาติของท่านอย่างมาก แต่เมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องจากไปท่านกับไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดเอาไว้ คำถามทำนองนี้เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการแต่งตั้งเคาะลิฟะฮฺภายหลังจากท่านศาสดา และจะไปนับประสาอะไรกับการประกาศอย่างชัดเจนของท่านศาสดา.
จากคำอธิบายทำให้รู้ว่าชีอะฮฺ ซึ่งความเป็นจริงคือกลุ่มชนที่สร้างความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนอิสลามตามที่ท่านศาสดา ซ็อล ฯ ได้สั่งสอนเอาไว้ และเป็นกลุ่มชนที่เชิดชูอิสลามตามคำชี้นำของบรรดา อะฮฺลุลบัยตฺ(อ.) ภายหลังจากท่านศาสดา
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวถึงชีอะฮฺของท่านไว้ในตอนหนึ่งของจดหมายว่า "จากบ่าวของอัลลอฮฺอะลีอมีรุ้ลมุอฺมินีนถึงชีอะฮฺ มวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย ชีอะฮฺเป็นนามที่อัลลอฮฺทรงให้เกียรติและกล่าวเรียกในคัมภีร์ว่า
และพวกท่านคือชีอะฮฺของท่านบนีมุฮัมมัด เป็นนามที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจง" (มุสตัดร็อกนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ๒/๒๙)
หมายความว่า การปฏิบัติตามฉัน (อะลี) คือการปฏิบัติตามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพราะท่านศาสดาได้มอบให้ฉันเป็นตัวแทนของท่าน เหมือนกับคำว่า ชีอะฮฺ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่แค่ผู้ที่เป็นสาวกของฉันไม่ว่าจะเป็น อาบูซัรฺ มิกดารฺ ซัลมาล และอัมมารฺ ทว่าเป็นนามของทุกคนที่มีศรัทธาต่อท่านศาสดามุฮัมมัดและวะศียัตของท่าน
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า เหตุการณ์ที่บนีสะกีฟะฮฺ ได้เป็นตัวขวางกั้นไม่ให้วิลายะฮฺของอะฮฺลุลบัยตฺ ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกับความขมขื่นที่เกิดจาก บนีอุมัยยะฮฺ และบนีอับบาส ทีเมื่อใดก็ตามวิลายะฮฺของอะฮฺลุลบัยตฺเริ่มมีบทบาท พวกเขาจะต้องรีบจัดการขั้นเด็ดขาดอย่างโหดเหี้ยม จนเป็นสาเหตุทำให้บรรดาอิมามและชีอะฮฺของท่านต้องทำการตะกียะฮฺ (ไม่เปิดเผยความจริง) กระนั้นบรรดาอิมามยังถูกสังหาร หรือไม่ก็ถูกลอบวางยาพิษ ชีอะฮฺของท่านก็เช่นเดียวกัน
เสียงเรียกร้องของชีอะฮฺในวันนี้คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับเคาะลิฟะฮฺ มันได้จบลงตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ อย่างน้อยสุดเราควรจะมาศึกษาบุคลิกภาพของอะฮฺลุลบัยตฺในแง่ของความรู้ และภูมิปัญญาของพวกเขาดังที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า "ฉันคือนครแห่งความรู้และอะลีคือประตูของมัน" "ท่านอิมามอะลีกล่าวว่า "จงถามฉันมาก่อนที่พวกท่านจะถูกถาม" "ฉันรู้ในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในท้องฟ้าและแผ่นดินดีกว่าสิ่งที่ประจักษ์ด้วยสายตา"
ตามความเชื่อของเรา อันตรายและความล้าหลังที่ได้เกิดกับโลกอิสลามนั้น เป็นเพราะว่าบรรดามุสลิมไม่ได้รับความรู้ที่แท้จริงจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ฉะนั้น ถ้าประวัติศาสตร์เป็นไปตามที่ท่านศาสดาได้กำหนดเอาไว้อิสลามคงไม่หยุดอยู่กับที่และล้าหลังเช่นนี้อย่างแน่นอน
บรรดาอิมามของชีอะฮฺ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ได้เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เรียงตามกันไปทั้ง ๑๒ ท่าน ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้อิมามท่านที่ ๑๒ ของชีอะฮฺยังมีชีวิตอยู่แต่ได้หายตัวไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ (ซบ.)
หลังจากที่ท่านศาสดา ซ็อล ฯ ได้ทำการแต่งตั้งท่านอะลี ณ เฆาะดีรฺคุมแล้ว อิมามท่านต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งโดยท่านอิมามอะลี (อ.) และเป็นเช่นนี้ไปจนถึงอิมามท่านที่ ๑๒
นอกจากนี้แล้วยังมีริวายะฮฺจากท่านศาสดา ซ็อล ฯ ที่ได้กล่าวถึงจำนวนอิมามว่าต้องมี ๑๒ ท่านพร้อมทั้งได้เอ่ยนามของอิมามเหล่านั้นเป็นที่เรียบร้อย ตัวอย่างริวายะฮฺที่หยิบยกมาจากตำราของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ
๑. ท่านบุคอรีย์ได้รายงานมาจาก ท่านญาบีรฺ บิน สะมุเราะฮฺว่า
"ฉันได้ยินท่านศาสดา ซ็อล ฯ กล่าวว่า จะต้องมีอิมาม ๑๒ ท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวบางอย่างแต่ฉันไม่ได้ยิน บิดาของฉันได้บอกฉันว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุเรช"
(เซาะฮีย์บุคอรีย์ เล่มที่ ๙ กิตาบุ้ลอะฮฺกาม หมวดที่ ๕๑ บาบุ้ลอิสติคลาฟ)
ติรฺมิซีย์ได้บันทึกริวายะฮฺของท่านญาบีรฺไว้ว่า…
ท่านศาสดา ซ็อล ฯ กล่าวว่า ภายหลังจากฉันจะมีอิมาม ๑๒ ท่าน" (เซาะฮีย์ติรฺมิซีย์ ๒/๔๕ พิมพ์ปีที่ ๑๓๔๒)
ท่านอะฮฺมัด บิน ฮันบัล ได้บันทึกไว้ว่า
"สำหรับประชาชาตินี้จะมีเคาะลิฟะฮฺ ๑๒ ท่าน" (มุสนัดอะฮฺมัด ๕/๘๖-๑๐๘)
ซึ่งยังมีริวายะฮฺประเภทนี้อีกมากมาย ที่ได้ถูกเล่า และถูกบันทึกเอาไว้ประสำคัญอยู่ที่ว่า อิมาม หรือ เคาะลิฟะฮฺ หรือ อมีรัน ๑๒ ท่านนั้นมิสามารถเป็นคนอื่นได้นอกจากอิมามทั้ง ๑๒ ท่านของชีอะฮฺ
๒. หนังสือยะนาบิอุ้ลมะวัดดะฮฺได้บันทึกไว้ว่า..
ท่านมุญาฮิดได้รายงานจาก ท่านอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) ว่าได้มีชายยะฮูดีคนหนึ่งนามว่า นุษัล ได้มาหาท่านศาสดา ซ็อล ฯ และพูดกับท่านศาสดาว่า:โอ้ มุฮัมมัดฉันมีปัญหาหนักอกอยู่ในใจหลายประการ ซึ่งต้องการถามจากท่าน (หลังจากนั้นเขาได้ถามปัญหาต่างๆ และท่านศาสดาได้ตอบเขา จนมาถึงปัญหาผู้ที่เป็นตัวแทนของท่านศาสดา) ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ตอบว่า : ตัวแทนของฉันคือ อะลีบุตรของอบู ฏอลิบ และหลังจากเขาหลานชายทั้งสองของฉัน ฮะซัน และ ฮุซัยนฺ และหลังจากทั้งสอง มีอิมามอีก ๙ ท่านซึ่งมาจากเชื้อสายของ ฮุซัยนฺ . ยะฮูดี คนนั้นได้พูดต่อ ว่า ท่านช่วยบอกนามของเขาเหล่านั้นด้วย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า :หลังจากฮุซัยนฺ บุตรของเขา อะลี หลังจากอะลี บุตรของเขา มุฮัมมัด หลังจากมุฮัมมัด บุตรของเขา ญะอฺฟัรฺ หลังจากญะอฺฟัรฺ บุตรของเขา มูซา หลังจากมูซา บุตรของเขาอะลี หลังจากอะลี บุตรของเขา มุฮัมมัด หลังจากมุฮัมมัด บุตรของเขา ฮะซัน หลังจากฮะซัน บุตรของเขา มุฮัมมัดมะฮฺดี พวกเขาทั้งหมดมี ๑๒ คน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้พูดจนถึงประโยคที่ว่า อิมามที่ ๑๒ เป็นบุตรหลานของฉัน เขาจะหายตัวไป จะไม่มีใครได้เห็นเขาอีก และเขาจะปรากฏตัวต่อประชาชาติอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออิสลามไม่มีอะไรเหลืออีกนอกจาก ชื่อของมัน และไม่มีอะไรหลงเหลือจากอัล-กุรอาน นอกจากรูปลักษณ์ ในเวลานั้นอัลลอฮฺ จะอนุญาตให้เขาปรากฏตัวออกมาเพื่อ ฟื้นฟูอิสลามใหม่อีกครั้ง
ขอขอบคุณเว็บไซต์ ตักรีบ http://www.taqrib.info
แสดงความเห็น