ชีวประวัติอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ตอนที่2

ชีวประวัติอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ตอนที่2

อุดมการณ์ของฮุซัยนฺ (อ.)

อิมามฮุซัยนฺ (อ.)นับตั้งแต่คืนแรกที่ออกจากมะดีนะฮฺ ช่วงเวลาที่อยู่ที่มักกะฮฺ และตลอดเส้นทางที่เดินทางจากมักกะฮฺมายังกัรบะลาอฺ จนกระทั่งชะฮีด ท่านได้บ่งบอก หรือแสดงให้เห็นกองคาราวานของท่านเห็นตลอดเวลาว่า จุดประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้คือการทำลายการปกครองที่ต่อต้านอิสลามของยะซีด ฉันต้องการกำชับความดีและห้ามปรามความชั่ว และยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรม เพื่อปรับปรุงสังคม ฟื้นฟูคำสอนของอิสลาม ศาสดา และอิมามอะลีให้ดำรงสืบไป
และนี่เป็นหน้าที่ ๆ พระเจ้าทรงมอบแด่ฮุซยนฺ (อ.) ถึงแม้ว่าการปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ จะสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของท่าน ญาติพี่น้อง และมวลมิตรสหายที่ร่วมติดตามไปด้วย ตลอดจนต้องถูกจับเป็นเชลยก็ตาม ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อิมามอะลี (อ.) และอิมามฮะซัน (อ.) แจ้งเรื่องชะฮาดัต แก่อิมามครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งช่วงที่ท่านถือกำเนิดขึ้นมา
ความ รอบรู้ของอิมาม บ่งบอกว่านี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย ซึ่งจุดสิ้นสุดของการเดินทางคือ ชะฮีด แต่อิมามมิใช่บุคคลที่เห็นชีวิตของท่านมีค่ากว่าบัญชาของพระเจ้า และคำสอนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ท่านเป็นผู้ที่มองการทดสอบครั้งนี้ว่าเป็น ความสุข และเป็นสันติตลอดไปชั่วนิจกาลอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ประกาศคัดค้านการให้สัตยาบันต่อยะซีด เพราะยะซีดไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ เพราะเขาเป็นคนละเมิดศาสนา ดื่มสุราออกกฎอนุญาตในสิ่งที่ศาสนาห้ามและวางกฎห้ามในสิ่งที่ศาสนาอนุญาต ด้วยเหตุนี้ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จึงได้กล่าวไว้ในคำสั่งเสียต่อน้องชาย (ต่างมารดา) ของท่านคือ มุฮัมมัด บินฮะนีฟะฮฺ ว่า “แท้จริง ฉันมิได้ออกไปในฐานะผู้ก่อความเสียหายและผู้อธรรม หากแต่ฉันออกไปเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุง ในประชาชาติแห่งท่านตาของฉัน ฉันต้องการจะสั่งสอนในเรื่องคุณธรรม และยับยั้งห้ามปรามจากสิ่งชั่วร้าย และฉันจะเดินตามแนวทางของท่านตา และของบิดาของฉัน อะลี อิบนิ อบีฏอลิบ (อ.)” อิมามฮุซัยนฺ (อ.) รุ้ตัวดีว่าจะต้องถูกสังหารในทะเลทราย พร้อมกับบรรดาสหายและสมาชิกในครอบคัว แต่ท่านต้องการปลุกประชาชาติมุสลิมให้ตื่นจากหลับใหล ให้พวกเขารู้ถึงธาตุแท้ของมุอาวิยะฮฺ และยะซีดผู้เป็นบุตร และให้รู้ว่าพวกเขากระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพื่อให้อยู่ในอำนาจ แม้ถึงขึ้นที่ต้องสังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของศาสดาและจับพวกเขาเป็นเชลยก็ ตาม

ในวันที่10 มุฮัรรอมท่ามกลางความร้อนระอุในทะเลทราย อิมามฮุซัยนฺ (อ.)ได้ตักเตือนประชาชน และเรียกร้องให้พวกเขาเกรางกลัวต่อบทลงโทษอันเกิดจากการกระทำของพวกเขาดังนี้ว่า“ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงสืบสาวดูซิว่าฉันคือใคร แล้วจงย้อนกลับไปตำหนิตัวพวกท่านเอง จงตรึกตรองดูซิว่า การฆ่าฉันและการทำลายล้างเกียรติยศของฉัน เป็นที่ยินยอมแก่พวกท่านกระนั้นหรือ ฉันมิใช่บุตรของลูกสาวศาสดาของพวกท่าน มิใช่บุตรของทายาทของท่านศาสดา และบุตรของลุงของท่านศาสดา ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และเชื่อถือต่อศาสนทูตของพระองค์เป็นคนแรกดอกหรือ หรือว่าฮัมซะฮฺ ประมุขของบรรดาผู้พลีชีวิตมิได้เป็นท่านอาของบิดาของฉัน หรือว่าญะฮฺฟัร อัฏ ฏ็อยยาร มิได้เป็นลุงของฉัน  คำสอนของท่านศาสดาในเรื่องของฉัน และพี่ชายของฉันยังไม่เป็นที่ล่วงรู้สำหรับพวกท่านอีกหรือ ที่ว่าเราสองคนนี้คือประมุขของชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์” ชาวเมืองกูฟะฮฺต่างล่วงรู้อยู่แล้วเป็นอย่างดี แต่ทว่ามารร้ายต่างหากที่ลวงล่อพวกเขาอยู่จึงทำให้พวกเขายอมมีชีวิตที่ต่ำ ต้อยกับ “ยะซีด” และบุตรของ “ซิยาด” แล้วทอดทิ้งอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ให้โดดเดี่ยวพวกเขากล่าวแก่อิมามฮุซัยนฺ (อ.) ว่า “จงให้สัตยาบันแก่ยะซีดเหมือนกับที่พวกเขาให้สัตยาบันไปแล้วเถิด” ฮุซัยนฺ (อ.) ตอบอย่างแข็งกร้าวว่า “ไม่เด็ดขาด ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ยื่นมือของฉันให้แก่พวกเขาด้วยการยื่นด้วยต่ำต้อย และฉันจะไม่วิ่งหนีเหมือนอย่างการวิ่งหนีของบ่าวไพร่

อุมัร อิบนิ สะอัดแม่ทัพของทหารฝ่ายยะซีดได้ออกคำสั่งให้โจมตีค่ายของฮุซัยนฺ (อ.) สองฝ่ายปะทะกันขึ้น ทำให้มีผู้พลีชีพไป 50 คน และยังเหลือสหายอยู่กับอิมามเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสหายและสมาชิกในครอบครัว ในที่สุดพวกเขาได้ก้าวออกไปสู่ความตายคนแล้วคนเล่า ด้วยความกล้าหาญและทรหดโดยไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย พวกเขาเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะได้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ และเดินทางไปสู่สวรรค์ เมื่อสหายและ สมาชิกครอบครัวของฮุซัยนฺพลีชีพไปหมดแล้ว ยังคงเหลือแต่อิมามฮุซัยนฺ (อ.)เพียงผู้เดียว ท่านได้กล่าวอำลาครอบครัว และกำชับให้พวกเขาอดทนและหนักแน่นในหนทางของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นท่านได้ขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปต่อสู้กับทหารจำนวนหลายหมื่นคน โดยลำพังเพียงผู้เดียว จนกระทั่งในที่สุดท่านได้ชะฮีดในสภาพที่นอนกองอยู่บนพื้นทรายอย่างโดดเดี่ยว โดยศีรษะถูกตัดออก เพื่อนำไปมอบให้ยะซีด “อิบนุ สะอัด” ไม่หยุดยั้งเพียงการสังหารอิมาฮุซัยนฺเท่านั้น หากแต่เขายังได้สั่งให้ทหารบางคนที่ขายจิตวิญญาณของตนเอง เหยียบย่ำร่างกายของท่านอิมาม โดยพวกเขาควบม้าจำนวนนับสิบตัวเข้าบดขยี้ร่างของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เกือกม้าได้ย่ำร่างกายจนเนื้อฉีกขาด และกระดูกแตดหักจนหมดสิ้น หลังจากนั้น “อิบนุ สะอัด” ได้สั่งให้จุดไฟเผาค่ายพักของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) แและบุกเข้าไปจับตัวเด็ก ๆและสตรีเป็นเชลยร้อยโซ่ตรวน  แล้วนำไปยังเมืองกูฟะฮฺ ในจำนวนคนเหล่านั้นมีท่านหญิงซัยนับ บุตรีของอิมามอะลี (อ.) และอิมามซัลนุลอาบิดีน บุตรชายของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ร่วมอยู่ด้วย ท่านหญิงซัยนับได้เดินไปค้นหาศพของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ผู้เป็นพี่ชายอย่างกล้าหาญ ท่านได้วางมือลงใต้ร่างอันบริสุทธิ์แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วกล่าวด้วยความนบนอบว่า “โอ้พระเจ้า โปรดรับการอุทิศพลีเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดนี้จากเราด้วยเถิด”

ทำไมเราต้องรำลึกถึงฮุซัยนฺ (อ.)

อิมามฮุซัยนฺ (อ.) มอบทุกสิ่งที่ท่านครอบครองเพื่อเกียรติยศของอิสลามและมุสลิม ท่านได้มอบบรรดาเด็กๆ สตรีและสหายของท่าน หลังจากนั้นก็มอบตัวเองไปในหนทางของอัลลอฮฺ อิมามฮุซัยนฺ (อ.)ได้สอนคนทั้งหลายให้เรียนรู้เรื่องการต่อสู้ การต่อต้านความอยุติธรรม และความเสียหาย ท่านได้ใช้เวลาในช่วงสุดท้ายในชีวิตของท่านอ่านอัล กุรอานและมาซเพื่ออัลลอฮฺ
แม้กระทั่งในเวลาที่อยู่กลางสมรภูมิ ท่านได้ขอเวลาพักรบจากศัตรูเพื่อทำนมาซ อิมามฮุซัยนฺ (อ.)ได้นมาซกับสหายของท่านในขณะที่ดอกธนูพุ่งเข้าใส่พวกเขาประดุจห่าฝน การต่อสู้ของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เพื่อการดำรงอยู่ของอิสลาม และหนทางของอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนี้มุสลิมจึงรำลึกถึงอิมามฮุซัยนฺ (อ.) อยู่เสมอ พวกเขารำลึกถึงโศกนาฏกรรมในวันอาชูรอพร้อมทั้งเหยื่อสังหารเหล่านั้น ด้วยความเศร้าโศก ที่พวกอุมัยยะฮฺได้ก่ออาชญากรรม และเข่นฆ่าลูกหลานของท่านศาสดา และบุคคลผู้มีความเป็นเลิศในหมู่มุสลิม อิมามฮุซัยนฺ (อ.) มีชีวิตอยู่ 57 ปี ท่านได้ใช้ช่วงชีวิตเหล่านั้น ไปในการกระทำความดีและรับให้มวลมนุษย์ และบำเพ็ญหัจญ์ที่บัยตุลลอฮฺ อัล ฮะรอม โดยเดินทางไปด้วยการเดินเท้าหลายครั้งวันหนึ่งอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เดินผ่านคนยากจน พวกเขาได้คลี่ผ้าคลุมบนพื้น แล้วนำขนมปังหัก ๆ วางลง แล้วกล่าวว่า “เข้ามาร่วมรับประทานกับพวกเราเถิด โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ”
ท่านได้นั่งร่วมรับประทานกับคนเหล่านั้นแล้วอ่านโองการของอัลลอฮฺว่า “แท้จริง อัลลอฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้หยิ่งทะนง” และพูดกับพวกเขาว่า “เมื่อฉันตอบรับคำเชิญของพวกท่านแล้ว พวกท่านก็ต้องตอบรับคำเชิญของฉันตอบ” พวกเขากล่าวว่า “แน่นอน โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ” แล้วคนเหล่านั้นก็ไปพร้อมกับท่านที่บ้าน ท่านได้ให้เกียรติแก่คนเหล่านั้นอย่างดียิ่ง เมื่ออิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ฝังศพของบิดาของท่านแล้ว ประชาชนได้ถามเมื่อมองเห็นรอยคล้ายแผลเป็นข้างหลังของท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ตอบว่า “นี่คือรอยที่เกิดจากการแบกถุงบรรจุอาหารไปแจกจ่ายแก่บ้านเรือนของบรรดาหญิง หม้าย เด็กกำพร้า และคนยากไร้"
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวถึงการำลึถึงการสังหารอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ว่า "แท้จริงการสังหารฮุซํยนฺ เป็นความร้อนที่รุอุใจหัวใจของผู้ศรัทธาทุกคน และจะไม่มีวันเย็นลงเด็ดขาด"

วันอาชูรอ

วันที่ 10 เดือนมุฮัรรอม โดยปกติแล้ว วันนี้มิได้มีพิธีการ รำลึกถึงผู้ใดมาก่อน ต่อมาเมื่ออิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้พลีชีพในวันนี้ เมื่อฮิจเราะฮฺศักราชที่ 61 มุสลิมจึงถือเป็นวันจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่วันหนึ่งในทุกหนแห่ง พวกเขาจะจัดประชุม เพื่อแสดงความเสียใจและร้องไห้แด่บรรดาผู้พลีชีพในเหตุการณ์กัรบะลาอ์ กัรบะลาอ์ คือดินแดนทะเลทราย ที่ไม่เคยมีผู้ใดพำนักอาศัยอยู่ที่นั่นเลย แต่แล้วเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป มันก็ได้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในด้านต่าง ๆ ทั้งวิชาความรู้และศาสนา
ในประเทศอียิปต์ “ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮฺ” ได้ประกาศให้วันอาชูรอเป็นวันโศกเศร้าวันหนึ่งในรอบปี ที่บรรดาร้านรวงในตลาดต่างปิด เพื่อให้ประชาชนได้ไปชุมนุมร่วมกันที่สุสานของท่านหญิงซัยนับ เพื่อจะได้มีการร้องไห้ และรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งกัรบะลาอฺ์
ในประเทศอิหร่าน รัชสมัยการปกครองของอัด ดัยละมีย์ ได้มีคำสั่งประกาศให้วันอาชูรอเป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศ
ด้วยเหตุนี้บรรดามุสลิมต่างได้ร่วมกันทำพิธีในวันอาชูรอ ทั้งในประเทศอียิปต์ อิหร่าน อิรัก อินเดีย ประเทศอื่นๆ อีกที่นับถือศาสนาอิสลาม การรำลึกถึงวันอาชูรอยังคงเป็นเรื่องที่ดำเนินอยู่ต่อไปปีแล้วปีเล่าในประเทศอิหร่าน ประชาชนได้ทำความเข้าใจกับการพลีอุทิศของอิมามฮุซัยนฺ (อ.) จนมีการปฏิวัติครั้งใหญ่ล้มล้างระบอบการปกครองของกษัตริย์ชาห์พร้อมกับสถาปนาระบอบปกครองแบบอิสลามขึ้นมา

ใครคือผู้ชนะ

ได้ มีบางคนกล่าวว่า อิมามฮุซัยนฺ (อ.) ประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับต่อบรรดาทหารของยะซึด บุตรของมุอาวิยะฮฺ จึงถูกสังหารพร้อมกับสหายจำนวนหลายคน อีกทั้งบุตรหลานถูกจับเป็นเชลยเดินประจาร ไปตามเมืองต่าง ๆ แต่ถ้าพิจารณาประวัติศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะพบว่าท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ต่างหากที่เป็นผู้ได้รับชัยชนะเหนือศัตรูของอิสลาม
แท้จริงหลักการ ขั้นพื้นฐานที่เป็นเหตุให้ฮุซัยนฺถูกสังหารนั้น ยังคงดำรงเป็นพลังอมตะอยู่ในดวงใจของมนุษยชาติเสมอ ปัจจุบันนี้เกียรติยศของยะซีด และบุตรของซิยาด ตลอดทั้งเกียรติยศของมุอาวิยะฮฺมิได้มีผู้กล่าวถึง แม้แต่หลุมฝังศพก็ไม่อาจค้นพบได้ มิได้มีผู้ใดกล่าวถึง แน่นอน เกียรติยศชื่อเสียงของคนเหล่านั้นได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว และไม่หลงเหลือไว้ให้ใครรำลึกถึงเลย หากมีใครสักคนหนึ่งได้รำลึกถึงพวกเขา แน่นอนที่สุด ใครคนนั้นก็จะต้องกล่าวถึงพวกเขาด้วยการสาปแช่งเพียงประการเดียว บรรดาพวกอาชญากร ต้องการที่จะขจัดอิมามฮุซัยนฺ (อ.) แต่อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะให้ท่านดำรงอยู่อย่างนิรัดร์ ทั้งในภพนี้และภพหน้าส่วนเหล่าศัตรูทั้งหลายของท่าน จะถูกการสาปแช่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และต้องอยู่ในไฟนรกตลอดไป
กัรบะลาอฺได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ และการแสวงหาเสรีภาพ ตอลดจนชัยชนะของเลือดที่มีเหนือคมดาบ


ที่มา  http://www.islamshia-w.com

 

 

แสดงความเห็น