มุบาฮิละฮ์ คือ อะไร

มุบาฮิละฮ์ คือ อะไร?

ดินแดนนัจญ์รอน ซึ่งประกอบไปด้วย 72 หมู่บ้าน ตั้งอยู่แนวชายแเดนฮิญาซติดกับเยเมน ในช่วงยุคต้นๆ ของอิสลามนั้น ที่นี่นับเป็นดินแดนเดียวในฮิญาซที่มีพลเมืองเป็นคริสเตียน พวกเขามีโบสถ์หลังใหญ่ที่พวกเขาถือว่าสำคัญเทียบเท่ากับกะอฺบะฮฺ ในแง่ที่ว่าใครก็สามารถร้องขอและจะได้รับการปกป้องคุ้มภัย พวกเขามีผู้นำทางศาสนาที่สำคัญสามคนคือ อะกีย อับดุลลอฮฺ มาซีหฺและอบูฮาริษ

ในปีฮิจเราะฮฺที่9 ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ไดส่งสาสน์ไปยังหัวหน้าเผ่าต่างๆ และผู้นำของประเทศต่างๆ ให้เข้ารับอิสลาม และท่านก็ได้เขียนไปยังอบูหาริษผู้เป็นบาทหลวงของนัจญ์รอน เพื่อเชิญชวนประชาชนในแถบนั้นให้เข้ารับอิสลามด้วยเช่นกัน

การเชิญชวนอย่างเปิดเผยให้ศรัทธาในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก สำหรับผู้ที่เชื่อในหลักการแห่งตรีเอกานุภาพที่จะยอมรับได้ อบูหาริษต้องการให้ประชาชนทั้งหมดยอมรับอิสลาม แต่ทว่า เพื่อนของเขาได้ต่อต้านความคิดนี้อย่างเต็มที่ จึงได้มีข้อตกลงกันว่าระดับผู้นำและบาทหลวงน่าที่จะได้ไปยังมะดีนะฮฺเพื่อพูดคุยกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งในการนี้ได้มีการเลือกคนที่โดดเด่น และได้รับความเคารพนับถือจำนวน 60 คน ให้เป็นคณะผู้แทนไปดำเนินการ

คณะผู้แทนนั้นได้ไปถึงยังมะดีนะฮฺด้วยเครื่องแต่งกายอันหรูหรางดงามพวกเขาสวมแหวนทองคำที่นิ้ว ผ้าไหมแท้ๆ และเย็บปักด้วยดิ้นทอง จนกระทั่งว่าชาวเมืองมะดนะฮฺที่ได้พบเห็นก็พากันตะลึงงัน ไม่เคยมีคณะผู้แทนจากดินแดนส่วนใดของอารเบียที่มายังมะดีนะฮฺด้วยการโอ้อวดและการวางท่าหรูหราเช่นนั้นมาก่อน ในขณะที่ท่านศาสดาเยซู (อ.) ได้สอนพวกเขาไว้ว่า "จงเลิกสะสมเพื่อตัวท่านเอง ซึ่งความมั่นคั่งในโลกนี้ ที่ซึ่งมีแมลงเม่าที่จะกัดกินและที่ซึ่งมีขโมยที่จะบุกเข้าและลักขโมยไป แต่ทว่า จงสะสมเพื่อตัวท่านซึ่งความมั่นคั่งแห่งสวรรค์ที่ซึ่งไม่มีแมลงเม่าและสนิมที่จะกัดกิน และไม่มีขโมยที่จะบุกเข้าและลักมันได้เนื่องด้วย ณ ที่ซึ่งความมั่งคั่งของท่านอยู่นั้น ณ ที่นั้นหัวใจของท่านจะอยู่ด้วย" (แมทชิว 6/19-21)

บรรดาสาวกของท่านศาสดาเยซู (อ.) ได้ละทิ้งคำสอนอันยิ่งใหญ่ไปกับสายลม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีอัธยาศัยไมตรีเยี่ยมยอดก็ไม่อาจจะยอมทนใจกว้างกับสิ่งนี้ได้ ท่านถือว่ายังไม่เป็นการเหมาะสมด้วยซ้ำที่จะตอบรับการทักทายของพวกเขา ท่านอิมามอะลี (อ.) บอกให้พวกเขาออกไป และเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่เรียบง่ายแทน

พวกเขายอมรับคำแนะนำนี้ และเปลี่ยนชุดของพวกเขา หลังจากนั้นท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) จึงได้ต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น พวกเขาได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งที่มุมหนึ่งของมัสญิด และได้รับอนุญาตให้สวดมนต์ตามแบบของตนได้ หลังจากนั้นการสนทนาจึงได้เริ่มขึ้น

บาทหลวงคริสเตียน "ท่านที่ความคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ของเรา"

ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) "ท่านเป็นมนุษย์ธรรมดาที่สร้างโดยพระผู้เป็นเจ้า และเป็นศาสดาท่านหนึ่ง"

 

และพวกเขาก็กล่าวว่า "ในเมื่อท่านเชื่อว่า พระเยซูไม่มีบิดาที่เป็นนมุษย์ ดังนั้น ท่านควรเชื่อว่า บิดาของพระองค์นั้นคือพระผู้เป็นเจ้า"

เพื่อเป็นการตอบคำถามนี้ท่านศาสดาจึงได้อ่านโองการจากอัล-กุรอาน ดังนี้

"อีซาเป็นดั่งเช่นอาดัม ณ อัลลอฮฺ พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน และกล่าวแก่เขาว่า "จงเป็น และเขาก็เป็นขึ้นมา" (3/59)

ประเด็นปัญหาที่สำคัญก็คือ หากท่านเยซู (อ.) จะได้รับการเรียกขานว่า "บุตรของพระเจ้า" อันเนื่องจากที่ท่านเกิดมาโดยปราศจากบิดาแล้ว ดังนั้น ท่านอาดัมสมควรได้รับฉายานี้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะท่านเกิดมาโดยปราศจากทั้งบิดาและมารดา

คณะผู้แทนคริสเตียนไม่อาจปฏิเสธข้อโต้แย้งนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงยืนกรานในศรัทธาของพวกเขา และยังคงโต้แย้งอยู่ต่อไป ดังนั้นโองการต่อไปนี้จึงได้ถูกประทานลงมานั่นคือ

"สำหรับบรรดาผู้โต้แย้งกับสู่เจ้าในเรื่องของอีซา ภายหลังจากที่ความรู้ได้มายังสูเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิดว่า จงมาและจงนำเอาลูกๆ ของเรา และลูกๆ ของพวกท่าน สตรีของเรา และสตรีของพวกท่าน ตัวตนของเรา และตัวตนของพวกท่านมาด้วย เราจะสวดอ้อนวอนเพื่อให้คำสาปแช่งจากอัลลอฮฺบังเกิดแก่ผู้โกหก" 3/61)

พวกคริสเตียนยอมรับคำท้านี้ และกลับไปยังที่พักของพวกเขา อบูหาริษก็ได้แนะนำ และบรรดามิตรสหายและบุคคลที่เหนือกว่า

"หากพวกท่านเห็นมุฮัมมัด นำเอาวีรบุรุศสงคราม และเจ้าหน้าที่ของเขามายังสนามแห่งการทำมุบาฮิละฮฺ และได้สำแดงความดอ่อ่าทางวัตถุ และความขัดแย้งทางภายนอกแล้ว พวกท่านจงสรุปได้เลยว่า คำกล่าวอ้างของเขาเป็นเท็จและเขามิได้มีความเชื่อมั่นในการเป็นศาสดาของตนเอง แต่ถ้าหากว่าเขาออกมาสู่การทำมุบาฮิละฮฺพร้อมๆ กับลูกๆ และผู้เป็นที่รักของเขาและปรากฏตนเอง ณ เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ โดยปราศจากความยิ่งใหญ่และความสูงส่งทางวัตถุประเภท นั่นก็ย่อมหมายความว่าเขาเป็นศาสดาที่แท้จริง และเป็นผู้มีความศรัทธามั่น และความมั่นใจในตนเองจนกระทั่งว่าเขาไม่เพียงแต่พร้อมที่จะถูกทำลายเป็นการส่วนตัวเท่านั้น แต่ทว่ายังเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ด้วยความกล้าหาญอันสมบูรณ์ ในอันที่จะให้บุคคลที่เป็นที่รักของตนต้องถูกทำลายไปพร้อมกันด้วย"

วันต่อมา เมื่อได้เวลาตามนัดหมายท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ก็มาถึงยังที่ที่ซึ่งจะมีการทำมุบาฮิละฮฺพร้อมกับอุ้มท่านฮุเซน และได้โอบกอดท่านฮะซันในอ้อมแขน ท่านมาพร้อมกับการติดตามของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ และท้ายสุดด้วยท่านอะลี ท่านศาสดาได้บอกกับพวกเขาว่า "เมื่อฉันสวดอ้อนวอนแล้ว ท่านจงกล่าวว่า อามีน"

 

คณะผู้แทนคริสเตียนได้สังเกตบุคคลทั้งห้าซึ่งเดินมายังที่นัดหมาย อบูหาริษถามผู้คนแถบนั้นว่า บุคคลสี่คนที่ออกมพร้อมกับท่านศาสดานั้นเป็นใคร และเขาก็ได้รับทราบชื่อ และความสัมพันธ์ที่บุคคลทั้งสี่มีต่อท่านศาสดา

ท่านศาสดาได้มายังที่นัดหมายและนั่งลงที่นั่นในลักษณะที่มีการนำเอาลูกๆ ของตน และสตรีของตน และตัวตนมาด้วย

ดังนั้น อบูหาริษจึงได้กล่าวปราศรัยแก่พรรคพวกเขาว่า "ฉันได้เห็นใบหน้าของบุคคลที่ว่าหากเขายกมือขึ้นวิงวอน และสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ภูเขาลูกใหญ่ถูกเคลื่อนจากที่ของมันแล้ว มันก็จะเป็นเช่นนั้นโดยทันที เราไม่ควรเข้าร่วมในการทำมุบาฮิละฮฺกับบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีคุณธรรมเหล่านี้ เพราะว่ามันเป็นการไม่เหมาะสมที่ว่าเราจะถูกทำลาย และมันยังเป็นไปได้ว่าการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าอาจแพร่ขยายไปสู่โลกคริสเตียนทั้งหมด และจะไม่มีคริสเตียนคนใดหลงเหลืออยู่บนหน้าโลกนี้เลย"

ทุกคนยอมรับคำแนะนำของเขาพวกเขาจึงยกเลิกมุบาฮิละฮฺ และได้มีการเขียนสนธิสัญญาขึ้นพร้อมกับมีการลงนามโดยสหายสองท่านของท่านศาสดาในฐานะพยาน และประทับตราโดยท่านศาสดาเอง

แสดงความเห็น