กลุ่มชนที่หัวใจมืดบอดในทัศนะของอัลกุรอาน

กลุ่มชนที่หัวใจมืดบอดในทัศนะของอัลกุรอาน

อัลกุรอานหลายโองการได้จำแนกกลุ่มชนออกเป็นกลุ่มก้อน ตามความเชื่อศรัทธา และพฤติกรรมของพวกเขา ซึ่งในการจัดแบ่งกลุ่มชนเหล่านี้ อัลกุรอานยังกล่าวถึงผลลัพธ์และสิ่งที่กลุ่มชนเหล่านั้นจะได้รับอีกต่างหาก

หลังจากนั้นพระองค์จะเปรียบเทียบให้เห็นว่าชนแต่ละกลุ่มบั้นปลายสุดท้ายของพวกขาจะเป็นอย่างไร เพื่อให้มนุษย์ได้คิดใคร่ครวญก่อนที่จะจัดเตรียมตนเอากับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตรงนี้อัลกุรอาน กล่าวถึงกลุ่มชนที่มีหัวใจมืดบอดและไร้ศรัทธาไว้ดังนี้ว่า

“และถ้าพวกเขาว่าเจ้ามุสา (ก็หาใช่สิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใด) หมู่ชนของนูฮฺ และอาด และษะมูด ก็ได้ว่า (ศาสดาของตน) มุสามาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว และหมู่ชนของอิบรอฮีม และหมู่ชนของลูฏ (ก็ได้กล่าวทำนองเดียวกัน) และชาวมัดยัน (ก็ได้ประพฤติทำนองนั้น) และมูซาก็ได้ถูกว่ามุสา (โดยฟิรอูนและพวกพ้องด้วยเช่นกัน) แต่ฉันได้ประวิงเวลาให้แก่พวกปฏิเสธ แล้วฉันได้คร่าพวกเขา (สู่การลงโทษ) ดังนั้น (เจ้าได้เห็นแล้วใช่ไหมว่า) ฉันได้ปฏิเสธการงานของพวกเขาอย่างรุนแรงเช่นไร? (และได้ตอบโต้พวกเขาอย่างไร?) ตั้งกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันขณะที่ชาวเมืองอธรรม โดยที่ (กำแพงของ) มันพังลงมาบนหลังคา และตั้งกี่บ่อน้ำที่ถูกทอดทิ้ง และวังสูงอันมั่นคง (ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย)  และพวกเขามิได้ท่องเที่ยวตามแผ่นดินดอกหรือ เพื่อจะได้มีหัวใจที่เข้าใจ (ความจริง) หรือมีหูที่ใช้สดับฟัง (เสียงเรียกร้องแห่งสัจธรรม) ? เพราะดวงตานั้นไม่บอดดอก แต่ว่า หัวใจที่อยู่ในหัวอกต่างหากที่บอด (ความหมายหนึ่งของ "หัวใจ" คือปัญญา และความหมายหนึ่งของ "หัวอก" คืออาตมันของมนุษย์)  และพวกเขารบเร้าเจ้าให้เร่งในเรื่องการลงโทษ ขณะที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงผิดสัญญาของพระองค์เป็นอันขาด และแท้จริง วันหนึ่ง ณ พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นราวกับหนึ่งพันปีตามที่พวกเจ้านับ ตั้งกี่เมืองแล้วที่ฉันได้ประวิงเวลาให้แก่มัน ขณะที่ (ชาวเมืองของ) มันอธรรม (แต่พวกเขาก็ไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเอง) แล้วฉันได้คร่ามัน (สู่การลงโทษ) และยังฉันเท่านั้นคือการกลับของทุกสิ่ง” (อัลกุรอานบทฮัจญฺ 42 – 48)

และบั้นปลายที่เป็นอุทาหรณ์ของพวกเขา

อัลกุรอานโองการต่างๆ ได้กล่าวถึงการถูกกดขี่ของศรัทธาชนและการกดขี่บีฑาของผู้ต่อต้านอิสลาม ในกลุ่มโองการนี้ กุรอานได้เตือนความทรงจำให้รำลึกถึงชะตากรรมของหมู่ชนต่างๆ ในอดีต เพื่อปลอบใจท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ซ็อล ฯ) และบรรดาศรัทธาชนว่า การต่อต้าน การเป็นปฏิปักษ์ และการปฏิเสธของศัตรูตัวฉกาจของอิสลามนั้น ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด หมู่ชนผู้ดื้อรั้นในอดีตก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้ และบรรดาศาสดาท่านก่อนๆ ก็ถูกกลั่นแกล้งและถูกกล่าวหาว่ามุสามาแล้วเช่นกัน แต่ทว่า การเป็นปฏิปักษ์และการปฏิเสธดังกล่าว ไม่ทำให้พวกเขาท้อถอยในการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนไปสู่เอกภาพของอัลลอฮฺและสัจธรรม

 

 

 

ในขณะเดียวกัน กุรอานประสงค์ที่จะเตือนสำทับผู้ต่อต้านและผู้ตั้งภาคีทั้งหลายว่า จงถือเอาชะตากรรมของหมู่ชนผู้ดื้อรั้นในอดีตเป็นบทเรียน และอย่าได้คิดไปว่าจะสามารถแสดงพฤติกรรมที่น่าอดสูนี้ได้ตลอดไป เพราะกฎข้อหนึ่งของอัลลอฮฺได้แก่การที่พระองค์ทรงประวิงการลงโทษแก่ผู้ต่อต้านแนวทางของพระองค์ และทรงทำให้พวกเขามีความสุขสบาย เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่มีข้ออ้างใดๆ ในภายหลัง อีกทั้งพวกเขาจะได้ประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้นเนื่องจากการก่อกรรมชั่วมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว หลังจากนั้น พระองค์จะทรงลงทัณฑ์พวกเขาอย่างสาสม โดยที่เฉพาะร่องรอยความหายนะและซากปรักหักพังเท่านั้นที่จะหลงเหลืออยู่เป็นอนุสติ

ใช่แล้ว ซากปรักหักพังของปราสาทราชวังของบรรดาผู้กดขี่และผู้อหังการในอดีต ล้วนเป็นหน้าหนังสือที่เต็มไปด้วยความหมายและมีชีวิตที่คอยเล่าเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์ในอดีตแก่มนุษย์ การได้เห็นและใคร่ครวญร่องรอยเหล่านี้ จะทำให้มนุษย์หวนรำลึกถึงการซ้ำรอยของประวัติศาสตร์  หัวใจของเขาจะตื่นจากความหลับใหล และดวงตาและหูของเขาจะมองเห็นและได้ยินสัจธรรม แต่ทว่า ร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ไม่มีผลใดๆ ต่อหัวใจอันมืดบอดของบรรดาผู้ต่อต้านคัดค้านอิสลามเลยแม้แต่น้อย

อีกโฉมหน้าหนึ่งของความเขลาเบาปัญญาของผู้มีใจมืดบอดที่ไร้ศรัทธา ได้แก่การนำเอาความล่าช้าในการลงโทษของอัลลอฮฺมาเยาะเย้ยถากถางว่า คำสัญญาของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเท็จ กุรอานได้ตอบพวกเขาว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อัลลอฮฺต้องทรงเร่งรีบ เพราะคราใดที่พระองค์ทรงประสงค์ ก็ทรงสามารถทำในสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ได้ และไม่ว่าช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวันหรือระยะเวลาอันยาวนานเป็นพันปี ก็ไม่มีความแตกต่างกันสำหรับพระองค์ อีกทั้ง ทุกสรรพสิ่งต้องหวนกลับไปยังพระองค์ทั้งสิ้น หากพระองค์ทรงประวิงเวลา ก็ถือว่าเป็นโอกาสในการสำนึกและกลับตัวกลับใจ แต่พวกเขาต้องตระหนักไว้เสมอว่า หากการลงโทษอุบัติขึ้นเมื่อใด ประตูแห่งการสำนึกผิดและทางรอดย่อมถูกปิดตายเมื่อนั้น ดังที่หมู่ชนในอดีตได้ประสบกับการลงโทษของอัลลอฮฺอันเนื่องมาจากพฤติกรรมที่น่าอดสูดังกล่าวนี้มาแล้ว ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะร้องขอความช่วยเหลือสักเพียงใดก็ตาม มันก็ไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้เลย

อนึ่ง โองการสุดท้ายข้างต้น มีการเปลี่ยนสรรพนามแทนอัลลอฮฺจากบุรุษที่สามเป็นบุรุษที่หนึ่งที่เป็นเอกพจน์ ซึ่งในเชิงของสำนวนโวหารให้ความหมายว่า อัลลอฮฺประสงค์ที่จะเตือนสำทับผู้ต่อต้านอิสลามว่า หากพวกเขาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนทูตของฉัน ฉันจะเป็นปฏิปักษ์และคู่กรณีกับพวกเขาเอง

ด้วยเหตุนี้

 

 

 

1) ผู้ใดมีใจมืดบอดมักจะปฏิเสธและเยาะเย้ยถากถางสัจธรรมอยู่เสมอ ดังนั้น เราจะต้องไม่อ่อนแอและย่อท้อในการเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนี้

2) หัวใจของมนุษย์จะตื่นและหูของเขาจะได้ยินสัจธรรม ด้วยการดูและใคร่ครวญร่องรอยทางประวัติศาสตร์

3) บางคนตาเนื้อของพวกเขาปกติ แต่ตาใจกลับมืดบอดและมองไม่เห็นสัจธรรม บุคคลประเภทนี้เป็นคนตาบอดที่บอดสนิทที่สุด ดังที่ท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า "คนตาบอดที่บอดสนิทที่สุด คือคนใจบอด"[1]

4) สัญญาของอัลลอฮฺจะไม่ถูกบิดพลิ้ว และจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม

ที่มาเว็บไซต์ซอฮิบซะมาน

แสดงความเห็น