จับโกหกวะฮาบีกับ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวีจากหนังสือ “ลิลลาห์ ษุมมะลิต ตารีค”
จับโกหกวะฮาบีกับ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวีจากหนังสือ “ลิลลาห์ ษุมมะลิต ตารีค”
การจนมุมทางวิชาการของเหล่าวะฮาบีต่อชีอะฮ์ทั้งในประเทศและระดับสากล ทำให้วะฮาบีต้องแสวงหาวิธีการสกปรกต่างๆนาๆมากมายเพื่อมาทำการตอบโต้ชีอะฮ์ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการเมค”ชีอะฮ์กลับใจ”ที่เปลี่ยนไปเป็นวะฮาบีขึ้นมา เพื่อประชาชนจะได้คล้อยตามคิดว่าไม่ใช่แต่วะฮาบีเท่านั้นที่กลายไปเป็นชีอะฮ์ แต่ชีอะฮ์ระดับสูงก็เปลี่ยนมาเป็น วะฮาบีเช่นกัน อย่างเช่น อายาตลเลาะฮ์ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี ซึ่งหลังจากมาเป็นวะฮาบีแล้วก็ได้เขียนหนังสือเปิดโปงชีอะฮ์ที่มีชื่อว่า “ลิลลาห์ ษุมมะลิต ตารีค” และหนึ่งในเนื้อหาสำคัญที่เหล่าวะฮาบีนำมาโพสท์บ่อยๆโดยอ้างจากหนังสือเล่มนี้นั้นก็คือเรื่องที่ ผู้เขียนได้เล่าว่า ท่านอิมามโคมัยนี่นั้น ทำการมุตอะฮ์กับเด็ก สี่ขวบ???? และตัวเขาเองก็นอนฟังเสียงร้องของเด็กคนนั้น
ต่อไปนี้เราจะมาพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวผู้เขียนนั้นมีความน่าเชื่อถือแค่ใหน และเราก็จะรู้ถึงความสกปรกและการโกหกของพวกวะฮาบี
ก่อนหน้านี้ก็ได้ตั้งเป็นกระทู้เปิดโปงหนังสือเล่มนี้แล้ว แต่เนื่องจากมันยาวและเห็นชัดเจนถึงการโกหกของวะฮาบีมากเกินไป ก็เลยถูกลบกระทู้ แต่เราก็ไม่ติดใจไม่ว่ากัน
ความจริงมันเป็นเรื่องขมขื่นเสมอสำหรับผู้ที่บกพร่องทางปัญญา
กระแสการโต้ตอบชีอะฮ์ของวะฮาบีด้วยวิธีการสกปรกต่างๆนาๆทั้งในและนอกประเทศนั้นคือเครื่องบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ลัทธินี้ตั้งอยู่บนสัจธรรมแค่ใหน และจากหลายๆวิธีสกปรกที่วะฮาบีใช้นั่นก็คือ การเมคกลุ่มชีอะฮ์กลับใจขึ้นมา ซึ่งในโลกอินเตอร์เนตก็ถึงขั้นเปิดเว็บไซต์เป็นตุเป็นตะขึ้นมา โดยรวบรวมเอาผู้ที่อ้างว่ากลับตัวกลับใจออกจากชีอะฮ์ไปเป็นวะฮาบี แต่กลับไม่มีใครเลยที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเคยเป็นชีอะฮ์มาก่อนหรือมีตัวตนอยู่จริง และที่น่าสังเก็ตก็คือไม่มีแม้แต่คนเดียวที่อยู่ในขั้น ปัญญาชนหรือผู้รู้ของชีอะฮ์เลย
จากหน้าประวัติศาสตร์ ๑๔๐๐ปีไม่เคยมีชีอะฮ์ไปเป็นซุนนีเลย แต่ซุนนีมาเป็นชีอะฮ์นั้นมีมากมายซึ่งบางคนนั้นก็ได้กลายมาเป็นเป็นอุลามาผู้รู้สำคัญๆของชีอะฮ์ด้วย
และหากจะมีบ้างนักการศาสนาที่ออกจากชีอะฮ์ ก็เป็นจำนวนที่นับนิ้วได้เท่านั้น พวกนั้นออกจากชีอะฮ์จริงๆแต่ก็ไม่เคยมีใครเลยที่ยอมไปเป็นวะฮาบีหรือซุนนี ที่มีตัวตนจริงๆและออกมาต่อต้านชีอะฮ์อย่างชัดเจน ก็เช่น
ซัยยิดอะบุลฟัฏล์ อัลบุรเกาะอี
อะฮ์มัด กาติ๊บ
ซัยยิดมูซา มูเซาวี
และสุดท้ายคือ อายาตุลเลาะฮ์ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี
เมื่อใครก็ตามที่ออกมาต่อต้านชีอะฮ์ วะฮาบีซาอุก็จะถือหางช่วยเหลือและติดยศติดตำแหน่งให้ทันที บางคนจึงได้เป็น อายาตุลเลาะฮ์ บางคนก็ ด๊อกเตอร์ แต่ทว่าสามคนแรกที่ กล่าวมาแล้วนั้นกลายเป็นผู้ที่ทำให้วะฮาบีซาอุต้องเจ็บปวดใจมากที่สุดทั้งๆ ที่ได้ทุ่มเงินและให้การสนับสนุนอย่างมากมาย นั่นก็คือว่าทั้งสามคนนั้นไม่เคยประกาศแม้แต่ครั้งเดียวว่าตนนั้นเปลี่ยนไปเป็น วะฮาบีหรือซุนนีแล้ว ทั้งสามคนนี้ถึงจะต่อต้านชีอะฮ์แค่ใหนแต่ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ยอมประกาศว่าได้เปลี่ยนไปเป็นวะฮาบีแล้ว
ในเมื่อวะฮาบีลงทุนกับคนทั้งสาม(ซัยยิดอะบุลฟัฏล์ อัลบุรเกาะอี อะฮ์มัด กาติ๊บ และซัยยิดมูซา มูเซาวี )ทั้งสามคนอย่างมากมายแต่กลับไม่ได้ผลตอบแทนกลับมา ไม่มีใครยอมประกาศตนว่าเปลียนไปเป็นวะฮาบีหรือซุนนีเลย “ อายาตุลเลาะฮ์ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี”จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่วะฮาบีจะได้สมประสงค์เอาไปโฆษนาหักล้าง ชีอะฮ์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองได้ว่าว่า มีชีอะฮ์ระดับผู้รู้เปลี่ยนมาเป็น วะฮาบีจริงๆ(ไม่ได้โม้) แถมยังเป็นระดับอายาตุลเลาะฮ์ ผู้รู้ใหญ่จากชีอะฮ์ ที่เกิดในครอบครัวชีอะฮ์และมาจากเมืองกัรบะลาอฺด้วยและที่สำคัญคือ ประกาศ ว่าเปลี่ยนไปเป็นวะฮาบีอย่างชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจากนั้นก็ยังพิสูจน์ได้ให้เห็นอีกว่าแท้จริงแล้วแนวทางของชี อะฮ์นั้นคือแนวทางที่หลงผิด และบรรดา อิมามทั้งหลายของชีอะฮ์นั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องกับพวกชีอะฮ์ด้วยเลย ด้วยเหตุนี้ อายาตุลเลาะฮ์ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวีจึงใด้แต่งหนังสือเพื่อเปิดโปงชีอะฮ์เล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า
“ลิลลาห์ ษุมมะ ลิตตารีค กัชฟุล อัสตาร วะตับรออะฮ์ อัลอะอิมมะฮ์ อัลอัฏฮาร”
(เพื่ออัลเลาะฮ์และเพื่อประวัติศาสตร์ เปิดเผยความลับและปกป้องอิมามผู้บริสุทธิ์)
ในเว็บมุสลิมไทยหรือเว็บของวะฮาบีของในไทยก็มีผู้ที่ประกาศอ้างตัวเหมือนกันว่าเป็น “ชีอะฮ์กลับใจ” และยังได้ให้หมายเลขโทรฯติดต่อหากต้องการพูดคุยใว้อีกด้วย (ในมุสลิมไทยใช้นิคเนม IITMB) โดยเป้าหมายเพื่อลบกระแสวะฮาบีเปลี่ยนเป็นชีอะฮ์ แต่น่าแปลกผู้แอบอ้างคนดังกล่าวไม่กล้าที่จะให้รายละเอียดความจริงว่าเป็น ใคร? ทั้งที่ในวะฮาบีนั้นไม่มีการตะกียะฮ์จะต้องพูดแต่ความจริงเท่านั้น และจากจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นชีอะฮ์กลับใจจริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากที่ให้พี่น้องชีอะฮ์ที่ยะลาตรวจสอบ ก็รู้ว่าเจ้าของหมายเลข ชีอะฮ์กลับใจนั้นเป็น เด็ก มอ.ปัตตานี เอกประวัติฯ ชื่อ อามีน ลอนา สมาชิกของกลุ่ม อัซซาบิกูนวะฮาบี บ้านเดิมอยู่ บาโงยซิแน จ.ยะลา
และหลังจากตรวจสอบไปยังที่บ้านก็ปรากฏว่าเป็นเด็กมีปัญหา ที่บ้านก็ไม่เคยมีใครเป็นชีอะฮ์มาก่อนแต่มีความสัมพันธ์ดีกับกลุ่มชีอะฮ์ และที่สำคัญก็คือ ครอบครัวของอามีนก็ต่อต้านการเป็นวะฮาบีของ อามีนด้วย
มันจึงไม่แปลกที่คนแบบนี้จะสร้างวีรกรรมลวงโลกว่าเป็นชีอะฮ์กลับใจ และจากการฟังไฟล์เสียงโทรศัพย์ของอามีน ก็ทำให้รู้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ อามีนต้องมาเล่นบทลวงโลก นั่นก็เพราะว่าไม่มีวิธีการใดที่จะตอบโต้หนังสือของ ดร.อัตติญานี อดีตผู้รู้ซุนนีที่มาเป็นชีอะฮ์ได้ ซึ่งมันกำลังแพร่หลายในสามจังหวัดภาคใต้ นอกจากจะต้องสร้าง อดีตชีอะฮ์ขึ้นมาเพื่อชนกับอดีตซุนนี และด้วยสาเหตุนี้เองอามีนจึงยอมเสียสละ แสดงบทมุนาฟิก(หรือตะกียะในแบบวะฮาบี)เป็นอดีต”ชีอะฮ์”ที่กลับใจไปเป็นวะฮาบีในฉบับของไทย และในระดับสากลนั้นก็คือ อายาตุลเลาะฮ์ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี
และต่อไปนี้เราจะมาชำแหละ ชีอะฮ์กลับใจคนที่สี่ที่ชื่อว่า อายาตุลเลาะฮ์ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี ที่อามีนและเหล่าวะฮาบีเอามาโปรโมทว่า นี่ไงคนระดับผู้รู้สูงสุดของชีอะฮ์ยังลาออกจากชีอะฮ์มาเป็นวะฮาบีเลย เพราะชีอะฮ์มันเป็นแนวทางที่เป็นเท็จหลงผิด บิดอะฮ์ ฏอลาละฮ์ และบรรดาอิมามของชีอะฮ์เองก็ปฏิเสธต่อพวกชีอะฮ์ ท่านอิมามเหล่านั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
ใครคือ อายาตุลเลาะฮ์ ซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวี?
ผู้เขียนกล่าวว่า
ข้าพเจ้าเกิดที่เมือง กัรบะลาอฺในครอบครัวชีอะฮ์ที่เคร่งครัด ข้าฯเริ่มเข้าเรียน ณ รร.แห่งหนึ่งของเมือง จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น(อย่างน้อยคงจบประถมหรือมัธยมต้น)หลังจากนั้นบิดาก็ ส่งข้าฯเข้าสู่เฮาซะฮ์เมืองนะญัฟ ซึ่งเป็นศูนย์การศึกษาศาสนาใหญ่ที่สุดในโลก และได้ซึมซับวิชาการความรู้จากอุลามา ผู้รู้สำคัญๆหลายท่านในยุคนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ ท่านซัยยิด มุฮัมมัด อาลิ อัลฮุซัยน์ กาชิฟ อัลฆิฏอ
* ชื่อซัยยิด ฮุซัยน์ อัลมูซาวีย์ของผู้เขียนนั้นเป็นเพียง นามแฝงเท่านั้น เพราะผู้เขียนระบุในบทนำว่า
ตนนั้นอาศัยอยู่ใน เมืองนะญัฟ ประเทศอิรัก จึงไม่สามารถเปิดเผยตนเองได้ และยังได้กล่าวอีกว่าสาเหตุที่จำเป็นต้องตะกียะฮ์ไม่เปิดเผยตนนั้น เพราะกลัวเหล่าชีอะฮ์จะทำร้าย
ความจริง
ในสถาบันเฮาซะฮ์เมือง นะญัฟไม่เคยมีใครรู้จักอายาตุลเลาะฮ์ที่เป็นชาวเมือง กัรบะลาอฺเลย และจากชีอะฮ์ในเมืองกัรบะลาเองก็ไม่เคยก็ไม่เคยมีใครรู้จัก อายาตุลเลาะฮ์ดังกล่าวตามที่ระบุคุณลักษณะในหนังสือเล่มนี้แม้แต่คนเดียว
อายาตุลเลาะฮ์ ฮุซัยน์ มูซาวีผู้เขียนนั้น ไม่ได้เป็นไม่ได้เป็นชีอะฮ์ หรือผู้รู้ชีอะฮ์ และที่คือสำคัญไม่มีตัวตนอยู่จริงในโลกนี้แต่ถูกอุปโลกโดยวะฮาบี เพราะ
๑-อยู่เป็นสิบๆปีแต่เรียกชื่ออาจารย์ของตนเองไม่ถูก
โดยเรียกเป็นเป็น ซัยยิด มุฮัมมัด อาลิ อัลฮุซัยน์ กาชิฟ อัลฆิฏอ ซึ่งชื่อของท่านที่ถูกคือ เชค มุฮัมมัด อัลฮุซัยน์ อาลิ กาชิฟ อัลฆิฏอฺ และแถมยังใส่คำนำหน้าเป็นซัยยิดอีกด้วยในหน้า ๓ ๕ ๙ ๓๒ ๕๑ ๕๓ ๕๔ ฯล ทั้งที่ท่าน นั้นเป็นเชค
การเอยชื่อผิดหลายครังหลายครานั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้เขียนนั้นไม่ได้มีความคุ้นเคยกับ เชค อาลิ กาชิฟุล ฆิฏอฺเลย ทั้งที่ผู้เขียนบอกว่าได้รำเรียนกับท่านตั้งแต่ จบชั้นประถมจนได้รับการรับรองสถานะความเป็นอายาตุลเลาะฮ์จากท่านเชค กาชิฟุลฆิฏอฺ ซึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๒๐ปี สิ่งนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับ เชค มุฮัมมัด อุซัยน์ อาลิกาชิฟ อัลฆิฏอฺเลย
เหมือนกับมีคนมาแอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็นลูกศิษของเชคริดอ อะฮ์มัด สะมะดีแต่เรียกชื่ออาจารย์ตนเองว่า “ซัยยิด ริดอ สะมะดี อะฮ์มัด” ซึ่งคนที่คลุกคลีกับ เชค ริดอนั้นก็จะรู้ทั้นทีว่าคนนั้นพูดจริงหรือเท็จ
๒-ไม่เข้าในในคำว่า”เชค”และ”ซัยยิด”
เพราะในสังคมชีอะฮ์นั้นผู้สืบเชื้อสายจากท่านศาสดาไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หรือคนธรรมดาเราจะเรียกว่า”ซัยยิด” ส่วนอุลามาผู้รู้ที่ไม่ได้ผู้สืบเชื้อสายจากนบีจะเรียกว่า “เชค” แต่เนื่องจากว่าผู้เขียนไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้เราจึงเห็นการใช้คำนี้ผิดมากมาย โดยอุลามาที่ไม่ได้เป็น ซัยยิดกลับถูกนำหน้าด้วยคำว่า ซัยยิด และผู้เขียนก็มักจะใช้คำว่า ซัยยิดนั้นหมายถึงอุลามา ซึ่งในหมู่ชีอะฮ์จะไม่ใช้กัน
อย่างเช่น นำหน้าชื่ออาจารย์ของตนก็ใช้คำว่า ซัยยิดในหน้า ๓ ๕ ๙ ๓๒ ๕๑ ๕๓ ๕๔ ฯลฯ ทั้งๆที่ท่าน มุฮัมมัด อุซัยน์ อาลิกาชิฟ อัลฆิฏอฺนั้นเป็นเชค ไม่ใช่ ซัยยิดสืบเชื้อสายลูกหลานศาสดา และเรียกบุคลอื่นๆมากมายที่ไม่ใช่ ซัยยิดเป็น ซัยยิดเช่น
-เรียกเชค อลี อัลฆอรอวีเป็นซัยยิดในหน้า ๗และ ๒๑
-เรียก อะฮ์มัด กาติบเป็นซัยยิดในหน้า ๖และในอีกหลายๆหน้า ทั้งๆที่ไม่ได้สืบเชื้อสายนบี
-เรียกเชค มุฮัมมัด ญะวาด อัลมุฆนียะฮ์ในหน้า ๙ และ๑๓ เป็นซัยยิดทั้งที่ ตาสีตาสาทั่วไปก็ยังรู้จักว่าเป็นเชค
-เรียกเชค ลุฏฟุลเลาะฮ์ อัลศอฟีเป็น ซัยยิด ลุฏฟุลเลาะฮ์ ในหน้า ๔๘
-เรียกเชค อะฮ์มัด อัลวาอิลีเป็นซัยยิดในหน้า ๕๑
และที่ตลกอย่างแรงคือเป็นถึงอายาตุลเลาะฮ์แต่ไม่รู้จักเชค ฏูซีย์ดันเรียกเป็น ซัยยิด ฏูซีย์ในหน้า ๑๐๕
และตลกยิ่งกว่าก็คือการเรียก เชคฮุซัยน์ อัลกะรอกีย์ อัลอามิลีเป็น “الشيخ الثقة السيد” ซึ่งแปลว่า เชคที่น่าเชื่อถือที่สุดจากพวก ซัยยิด ถ้าเปลียนเป็นประโยคที่พูดถึงสีเพื่อเปรียบเทียบก็จะได้ดังนี้ “สีขาวที่ดีที่สุดจากพวกสีดำ”
การสับสนเรียกผิดเรียกถูกนี้บ่งชี้ชัดเจนเลยว่า ผู้ที่เมคหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาไม่ได้อยู่ในสังคมชีอะฮ์ด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะเป็น อายาตุลเลาะฮ์เลย
ในสังคมชีอะฮ์ ระหว่างซัยยิดกับเชคนั้นเป็นสิ่งที่ชัดเจนอย่างมากไม่มีทางที่จะใช้ผิดกันได้เลยเพราะ ซัยยิดนั้นใช้เรียกผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดา(ศ)เท่านั้น ถ้าเป็นผู้รู้ก็จะใส่ผ้า สะระบันสีดำ ส่วนเชคนั้นจะใช้เรียกผู้รู้ที่ไม่ได้สืบสายเลือดจากท่านนบีและจะสวม สะระบันสีขาวเท่านั้น
การที่ผู้เขียน ใช้คำว่า ซัยยิดนำหน้าอุละมาทุกคนนั้นแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขานั้นเป็น วะฮาบี เพราะในสังคม วะฮาบีนั้นไม่มีการแยกระหว่างผู้ที่สืบสายเลือดจากศาสดาและคนที่ไม่ได้สืบสายเลือดจากนบี
๓-ไม่รู้จักรูปแบบการศึกษาศาสนาของชีอะฮ์
ในหน้า ๒๓ ผู้เขียนได้กล่าวถึงวิชาหนึ่งที่ได้เรียนว่า
“ครั้งหนึ่งขณะที่เราได้ทำการอ่าน ฮะดีษจากหนังสือ อุซูล อัลกาฟีย์พร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆให้กับท่าน อายาตุลเลาะฮ์ อัลคูอีย์ฟัง......”
คนที่ได้เคยรำเรียนจากสถาบันสอนศาสนาของชีอะฮ์ไม่ว่าจะในอิรัก อิหร่านหรือแม้ประเทศไทยเองก็ตามจะรู้ได้ทันทีว่าผู้เขียนนั้นโกหก เพราะรูปแบบการเรียนที่อ้างถึงนั้น มันไม่มีในสารบบการเรียนศาสนาของชีอะฮ์ การอ่านฮะดีษให้อาจารย์ฟังนั้นไม่มีในรบบการเรียนการสอนศาสนาของชีอะฮ์ แต่มันเป็นรูปแบบการเรียนในสถานศึกษาของวะฮาบี และซุนนี ซึ่งสามารถหาดูรูปแบบการเรียนที่ว่านี้ได้จากสถาบันปอเนาะต่างๆของวะฮาบีที่ปักษ์ใต้ แล้วก็ไปดูสถาบันดารุลอิลม์ ปอเนาะของชีอะฮ์ที่เจริญพาศ หรือ ปอเนาะอัล มะฮ์ดี(อ)ที่ จ.นครศรีฯ ใกล้กับบ้านของอ.ปราโมท(ฆาตกรยิง บังแอ หัวเขา คู่อริรับซื้อกุ้ง) ลองดูว่ามันเหมือนกันหรือไม่
ไม่ว่าจะในสถาบันการศึกษาของชีอะฮ์ที่ใดในโลกนี้ก็ไม่มีหรอก วิชาอ่านฮะดีษให้อาจารย์ฟัง จะมีก็แต่ในของวะฮาบีเท่านั้น
ดังนั้นจากคำพูดนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้เขียนนนั้นไม่ได้ร่ำเรียนใน เฮาซะฮ์สถาบันสอนศาสนาของชีอะฮ์เลย
๔-ศอละวาตไม่เป็น
การศอละวาตให้กับท่านศาสดาและวงศ์วานนั้นเป็นสิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนที่สุดของชีอะฮ์ โดยเมื่อได้ยินชื่อศาสดาก็จะทำการกล่าว ศอละวาตสรรเสริญท่านศาสดาว่า
اللهم صل علي محمد وال محمد
“อัลลอฮุมมะ ศอลลิ อะลา มุฮัมมัด วะอาลิ มุฮัมมัด”
และเวลาเอ่ยนามศาสดาก็จะกล่าวว่า
صلى الله عليه وآله وسلم
“ศอลลอล ลอฮุ อลัยฮิ วะอาลิฮี วะซัลลัม”
จะไม่ศอละวาตแบบ อับตัรหางด้วนโดยที่ไม่ใส่ อาลิฮีวงศ์วานท่านศาสดา แต่ผู้เขียนที่อ้างว่าเป็นถึงขั้นอายาตุลเลาะฮ์กลับ ศอละวาตแบบชีอะฮ์ไม่ถูก เช่นในหน้า ๒๐ กล่าวว่า
“ศอลลอลลอฮู อลัยฮิวะซัลลัม วะอาลิฮี” (صلى الله عليه وسلم وآله)
ซึ่งรูปแบบการศอละวาตแบบนี้ไม่ใช่ของชีอะฮ์แน่นอน ล้านเปอร์เซ็น และในหน้าเดียวกันนั่นแหละ ยังทำการศอละวาตแบบหางด้วนไม่สมบูรณ์โดยกล่าวว่า (صلى الله عليه وسلم) “ศอลลอลลอฮู อลัยฮิ วะซัลลัม”? โดยไม่ใส่คำว่า “อาลิฮี”
และก็ยังกล่าวผิดๆไม่สมบูรณ์แบบเดิมในหลายหน้าเช่น ๒๐ ๒๒ ๒๔ ๓๐ โดยกล่าวว่า
(رسول الله صلوات الله عليه) “รอซูลุลลอฮ์ ศอละวาตุลลอฮ์ อลัยฮิ”
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนระดับอายาตุลเลาะฮ์ จะศอละวาตไม่เป็น ลูกเจ๊กข้างบ้านผมยัง ศอละวาตถูกเลย
ในเรื่องพื้นฐานแบบนี้ไม่มีทางจะผิดพลาดกันได้เลย ขนาดคนที่เปี่ยนจาก ซุนนีมาเป็นชีอะฮ์ถึงจะเปลี่ยนไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังกล่าว “อุศอลลีย์”อย่างถูกต้องเหมือนสมัยเป็น ซุนนี ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีในชีอะฮ์ก็ตาม หากเขากล่าว อุศอลลีย์ไม่ได้หรือไม่ถูก ก็จะต้องถามกลับว่าตอนเป็นซุนนีเขาเคยนมาซหรือป่าว เพราะคนทำนมาซต้องอ่าน อุศอลลีได้ เช่นเดียวกันกับ การศอละวาต หากบอกเป็นชีอะฮ์แต่ ศอละวาตไม่เป็นหรือไม่ถูก ก็ต้องถามกลับไปว่า เขาเป็นชีอะฮ์จริงหรือป่าว??? หรือว่ามาแหกตาแบบ อามิง ลอนาว่าเป็นชีอะฮ์กลับใจ???
และสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนที่สุดว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั้นไม่ใช่ชีอะฮ์นั่นก็คือการกล่าวคำว่า
“รอดิยัลลอ อันฮุ”หลังจากนามของบรรดาอิมาม(อ)ในหน้า ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ๑๘ ๑๘ ๒๐ ๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๓ เพราะคนที่เป็นชีอะฮ์ อยู่ในสังคมชีอะฮ์นั่นจะไม่ใช่คำว่า“รอดิยัลลอ อันฮุ”แต่จะใช่คำว่า “อลัยฮิสลาม”แทน
*แต่เป็นที่หน้าสังเกตุว่าหนังสือที่ตีพิมพ์รุ่นใหม่นั้นได้เปลี่ยนเป็น “อลัยฮิสลาม”เรียบร้อยแล้ว
หากวะฮาบีเอยนามท่าน อลี บิน อบีฏอลิบก็จะลงท้ายด้วยคำว่า“รอดิยัลลอฮุ อันฮุ” แต่หากชีอะฮ์กล่าวก็จะลงท้ายด้วย “อลัยฮิสลาม” มันจึงเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเป็นใครจากกลุ่มใหนแนวใด
ดังนั้นรูปแบบการ ศอละวาตและการกล่าวสรรเสริญลงทายทำให้เรารู้ได้ว่าใครเป็นวะฮาบีหรือชีอะฮ์ เช่นเดียวกันหากใครก็ตามที่ย้ำพูดแต่คำว่า บิดอะฮ์ ชีริก ฏอลาละฮ์หรือมีนิสัยหยาบคายดื้อรั้นชอบกินสัตว์สงวนอย่าง “วรนุช” เราก็จะรู้ทันทีว่าต้องเป็น วาซาบิลัทธิมูรีดแน่นอน????
๕-ไม่รู้ว่า ฮะรัมและฮุซัยนียะฮ์คืออะไร
ในหน้า ๓๔ ผู้เขียนกล่าวว่า “อุลามา เฮาซะฮ์แห่งนะญัฟ และอุลามาฮุซัยยนียะฮ์ และตามสุสานของอิมามทั้งหมดนั้นต่างทำการ มุตอะฮ์เพื่อหวังในผลบุญ....”
คำกล่าวนี้ไม่มีทางที่จะเป็นของผู้ที่เคยเป็นชีอะฮ์อย่างแน่นอน เพราะเราไม่มีอุลามาประจำ ฮุซัยยนียะฮ์หรือสุสานของอิมาม คำพูดนี้เป็นคำพูดของวะฮาบีที่ไม่เคยรู้จักและไม่เข้าใจว่า ฮะรัมสุสานของอิมามและฮูซัยยนียะฮ์คืออะไร ก็เลยคิดไปว่ามันก็คงเหมือนกับมัสยิดที่ต้องมีผู้รู้หรือโต๊ะอิมามประจำอยู่
ฮุซัยนียะฮ์ในประเทศไทยก็มีหลายแห่งสามรถไปดูได้ว่าเค้ามีโต๊ะอิมามหรืออุลามามั้ย
ดังนั้นคำว่า”อุลามาฮุซัยนียะฮ์ หรืออุลามาประจำสุสานนั้น” ไม่ใช่ของชีอะฮ์แน่นอนแต่เป็นคำพูดที่มาจากคนที่ไม่เคยอยู่ในสังคมชีอะฮ์
๖-เรียกชื่ออิมามไม่ถูก
ในหน้าที่ ๓๑ ผู้เขียนเรียกชื่อท่านอิมาม บากิร(อ)ผิดเป็น(علي بن جعفر الباقر อลี บุตรของ ญะฟัร ฉายานาม อัลบากิร) สงสัยคงจะเป็นอิมามคนใหม่เพราะชื่อนี้ไม่มีชีอะฮ์คนใดรู้จัก ที่รู้จักก็คือ อิมามท่านที่ห้านั้นชื่อว่า มุฮัมมัด บุตรของ อลี ฉายานาม อัลบากิร และอิมามญะฟัร ลูกของอิมามบากิร(อ)นั้นก็มีฉายานามว่า อัศศอดิก
คนระดับอายาตุลเลาะฮ์ก็คือผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่อง อัลกุรอ่าน อัลฮะดีษ นะฮู ซอรอฟ ประวัตฺศาสตร์ ฯลฯและทุกๆด้าน จะเป็นไปได้อย่างไรที่เรียกชื่อของอิมามบากิร(อ)ผิด ทั้งๆที่จะต้องพูดถึงบ่อยที่สุด เพราะอิมามสองท่านนี้นั้น(บากิรและศอดิก(อ)สำคัญที่สุดในเรื่องฮะดีษ ซึ่งมีรายงาน ฮะดีษมามากที่สุด
แม้แต่เด็กประถมก็ยังเรียกชื่ออิมามไม่ผิด
เป็นอายาตุลเลาะฮ์จิงอะป่าวหรือเป็นวะฮาบีปลอมมากันแน่???
๗-หนังสือ ซอเฮี๊ยทั้งแปด VS ซอเฮี๊ยทั้งหก
- ในหน้า ๙๘ ผู้เขียนเรียกหนังสืออ้างอิงหลักของชีอะฮ์ว่า (الصِّحاح الثمانية หนังสือ ศอเฮี๊ยทั้งแปด) และในหน้า ๑๐๐ (إن صحاحنا طافحة بأحاديث زرارة) และ (ومن راجع صحاحنا وجد مصداق هذا الكلام) และหน้า ๑๐๒ (قلت: أحاديثه في الصِّحاح كثيرة جداً)
การใช้คำศัพย์เทคนิกโดยเรียกหนังสือฮะดีษชีอะฮ์ว่า”ศอเฮี๊ย”แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วผู้เมคหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานั้นเป็น วะฮาบีตะกียะฮ์ปลอมตัวมา (จริงๆแล้วต้องบอกว่าทำ มุนาฟิก เพราะวะฮาบีไม่มีการ ตะกียะฮ์) เพราะในโลกของชีอะฮ์นั้นไม่มีใครรู้จักหนังสือ “ศอเฮี๊ยทั้งแปด”เลย ไม่เคยมีอุลามาคนใดเรียกเช่นนี้แม้แต่คนเดียว และไม่มีหนังสือเล่มใดเลยที่ชีอะฮ์จะเรียกมันว่า”ศอเฮี๊ย” หรือเชื่อว่าถูกต้องทั้งหมดยกเว้นเพียง อัลกุรอ่านเล่มเดียวเท่านั้น
แท้จริงแล้วผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ วะฮาบี
ไม่มีหนังสือ ฮะดีษของชีอะฮ์เล่มใดเลยที่ถูกเชื่อว่าสิ่งที่ถูกบันทึกในมันนั้นถูกต้องทั้งหมด ซึ่งมันต่างกับของ วะฮาบีที่มีหนังสือที่เรียกกันว่า “ศอเฮี๊ยทั้งหก” หนึ่งในนั้นคือ ศอเฮี๊ยบุคอรีและมุสลิม โดย อุลามาของวะฮาบีกล่าวใว้ว่า
ความยิ่งใหญ่ของ ซอเฮี๊ย บุคอรีและมุสลิม
اتفقالعلماء
قال الإمام النووي في شرح مسلم : اتفق العلماء على أن أصح الكتب بعد القرآن الكريم الصحيحان : ( صحيح البخاري ) و ( صحيح مسلم ) وتلقاهما الأمة بالقبول
وكتاب البخاري أصحهما صحيحا
كشف الظنون\ باب الجامع الصحيح \ ج1 ص541
ท่านอิมาม นะวาวีกล่าวว่า
“บรรดาอุลามาใด้มีมติเป็นเอกฉันว่าหนังสือ ซอเฮี๊ย ทั้งสอง(บุคอรีและมุสลิม)นั้นเป็นหนังสือที่ ซอเฮี๊ย ที่สุดรองจากอัลกุรอ่านและบรรดาอุมมะฮ์มั้งหมดก็ยอมรับเช่นกัน
กัชฟ์ อัซซุนูน เล่ม1หน้า541
کاتب الشلبي
أصحالكتببعدكتابالله
قال الشلبي(صاحب كشف الظنون)
والكتب المصنفة في علم الحديث أكثر من أن تحصى إلا أن السلف والخلف قد أطبقوا على أن أصح الكتب بعد كتاب الله سبحانه وتعالى : صحيح البخاري ثم صحيح مسلم ثم الموطأ ثم بقية الكتب الستة وهي : سنن أبي داود والترمذي والنسائي وابن ماجة والدار قطني والمسندات المشهورة
كشف الظنون\ باب غلم الحديت ج 1 ص635
เป็นหนังสือที่ ซอเฮี๊ยที่สุดรองจากอัลกุรอ่าน
กาติบ ชะละบีย์กล่าวว่า
หนังสือที่ซอเฮี๊ยที่สุดรองจากอัลกุรอ่านคือ บุคอรี หลังจากนั้นคือ มุสลิม อัลมุวัฏฏอฺ และหนังทั้งหกที่เหลือคือ สุนันอบี ดาวุด ติรมีซี นะซาอี อิบนุมาญะฮ์ ดาร์ อัลกุฏนี...
ผู้เขียนหนังสือ กัชฟ์ อัซซุนูน เล่ม1หน้า153
เป้าหมายของผู้เขียนต้องการที่จะให้ชีอะฮ์มีหนังสือที่ชื่อว่าเป็น ศอเฮี๊ยเหมือนกับของวะฮาบีด้วย เพื่อให้ง่ายในการที่จะเอามาโจมตีอย่างที่พวก บอดอ วะฮาบีทำอยู่ในตอนนี้ พวกนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะบอกว่าหนังสือ อุศูล อัลกาฟีย์ ตะฮ์ซีบ อิสติบศอร บิฮารุลอันวาร ฯ นั้น ศอเฮี๊ยทั้งหมด เพื่อง่ายที่จะเอาฮะดีษ ดออีฟขัดกับ อัลกุรอ่านหรือขัดกันเอง เอามาเป็นเป้าโจมตีชีอะฮ์ทั้งที่ชีอะฮ์ก็ประกาศอยู่ทุกวันว่า ไม่มีหนังสือใดเลยถูกเรียกว่า “ศอเฮี๊ย” และทุกๆฮะดีษนั้นจะต้องตรวจสอบเท่านั้นถึงจะเชื่อถือได้
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละพวกพวกบอดอ ดื้อดึงดันทุรังมันไม่มีทางเข้าใจหรอก ต้องเชื่ออย่างที่พวกนี้ว่าเท่านั้นถึงจะถูก ชีอะฮ์มีความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือของตนอย่างไรนั้น ต้องฟังจากวะฮาบีเท่านั้นเพราะพวกนี้รู้ดีกว่า
ชีฮะฮ์มีหนังสือชื่อว่าศอเฮี๊ยหรือไม่นั้นพวกนี้ก็รู้กว่าชีอะฮ์ มันจึ่งไม่แปลกที่พวกนี้จะ ฮุก่มให้ใครต่อใครเป็นชาวนรกก็ได้ เพราะมันรู้ดีกว่าอัลเลาะฮ์(ซบ)
๘-ไม่ได้เป็นอายาตุลเลาะฮ์
การเป็นอายาตุลเลาะอ์ของผู้เขียนนั้นเป็นเพียงการแบบอ้างเท่านนั้น เพราะผู้ที่ไปถึงขั้น อิจติฮาดเป็นอายาตุลเลาะฮ์วินิจฉัยคำสั่งศาสนานั้น ความคิดความอ่านการพูดการเขียนจะต่างจาก อุลามาธรรมดาทั่วไป แตคุณลักษณะหนึ่งในหนังสือเล่มนี้สิ่งที่พบมากที่สุดคือ ผู้เขียนนั้นจะเป็นผู้ถามอยู่เสมอ ซึ่งผิดวิสัยของการเป็นมุจตะฮิดผู้ที่รู้กว่าคนอื่น
อย่างเช่นในหน้า ๙
وسألت السيد محمد الحسين آل كاشف الغطاء عن ابن سبأ فقال: إن ابن سبأ خُرافة وضعها الأمويون والعباسيون ...
ฉันถาม ซัยยิดมุฮัมมัด อัลฮุซัยน์ ถึงเรื่อง อิบนุ สะบะอฺ.......
หน้า ๒๖
لما سألتُ الإمام الخوئي عن قول أبي عبد الله للمرأة بتولي أبي بكر وعمر، قال: إنما قال لها ذلك تَقِيَّة!!
ฉันถาม อิมาม อัลคูอีย์.......
หน้า๔๒
سألتُ الإمام الخوئي عن قول أمير المؤمنين في تحريم المتعة يوم خيبر، وعن قول أبي عبد الله في إجابة السائل عن الزواج بغير بينة أكان معروفاً على عهد النبي (ص) ؟
ฉันถาม อิมาม อัลคูอีย์.......
หน้า ๘๐
وقد سألت مولانا الراحل الإمام الخوئي عن الجفر الأحمر، من الذي يفتحه؟ ودم مَن الذي يُراق؟ وغيرها كثير وكثير..
ฉันถาม อิมาม อัลคูอีย์.......
เราพบเพียงการถาม อายาตุลเลาะฮ์ คูอีย์เพียงอย่างเดียวแต่ไม่เคยโต้แย้งหรือยกเหตุผลใดๆมาหักล้างคำพูดท่าน คูอีย์เลย ก็คือไม่เคยมีการแสดงทัศนะใดๆของตนเองเลยซึ่งมันผิดกับวิสัยของ มุจตะฮิดผู้ที่สามารถวินิจฉัยศาสนาเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถามในเรื่อง อินุสะบะอฺนั้นคือหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้เป็น อายาตุลเลาะฮ์ เพราะคนที่จะถึงขั้นอายาตุลเลาะฮ์ได้เรื่อง อิบนุสะบะอฺนั้นจะต้องเคลียร์จนชัดเจนก่อนแล้วว่าจริงหรือเท็จ
ลองสังเกตุดูชีอะฮ์ในบ้านเราก็พอ ที่ใหนวะฮาบีไปเปิดเวทีโจมตีชีอะฮ์ เหล่าชีอะฮ์ก็จะไม่นิ่งเฉยจะต้องบุกไปทำการโต้แย้งแสดงทัศนะหักล้างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ สตูล สงขลา นคร หรือแม้แต่ใน กทม และล่าสุดที่ ภูเก็ตซึ่งทั้ง เชค ริดอและ อ.ฟารีดยังขยาดไม่กล้าไปเหยียบ ภูเก็ต นี่ขนาดคนธรรมดาของชีอะฮ์เท่านั้นยังรู้จักการยกเหตุผลโต้แย้งในสิ่งที่ไม่ถูก แต่ระดับ อายาตุลเลาะฮ์กลับนิ่งเงียบไม่โต้เถียงใดๆเลยมันไม่ใช่วิสัยของมุจตะฮิดที่สามารถอิจติฮาดเองได้
จริงๆแล้วนิสัยสักแต่ว่าถามอย่างเดียวไม่เคยตอบใครนั้น เป็นนิสัยพวก วะฮาบี พวกนี้ชอบแต่จะถามคนอื่นพอถูกถามกลับก็จะแถ ขนาดพวกเดียวกันก็ยังโดนเลย เช่นคลิปในยูทูปที่มีการถามตอบ อุลามาวะฮาบี พอถูกถามมากๆก็เลยด่าและสุดท้ายก็คือพูดว่า ถามแบบนี้เป็น รอฟิเฏาะฮ์ชีอะฮ์ใช่มั้ย???
และเหมือกันเด๊ะเลยกับที่ผมได้ฟังคลิปเสียงของ อามิง ลอนาที่พูดถึงเชคริดอว่า หากใครถามมากๆก็จะโดนตะเพิดกลับว่า ถามแบบนี้เป็นชีอะฮ์ใช่มั้ย ???
๙-ยกฮะดีษโดยไม่มีการตรวจสอบ
น่าเห็นดูจิงๆกะพวกนี้ นิสัยการอยากถาม การอยากรู้อยากตอบนั้นเป็นสัญลักษณ์ของชีอะฮ์และด้วยเหตุนี้แหละที่หลายคนเป็นชีอะฮ์ เพราะโต๊ะครูไม่ให้ถาม พอถามมากก็ถูกด่า พอถามลึกๆก็กลายเป็นกาฟิรชีอะฮ์
แต่อายาตุลเลาะฮ์ปลอมของวะฮาบีคนนี้ ไม่เพียงแค่เป็นผู้ถามที่ดีเท่านนั้น แถม ฮะดีษที่ยกมาอ้างอิงในหนังสือเล่มนี้นั้น ไม่มีการระบุอ้างพิสูจน์ สะนัดสายรายงานเลยว่าเป็นฮะดีษประเภทใด ศอเฮี๊ย ฮะซัน มุวัษษัก ฯ เพราะการระบุว่าเป็น ฮะดีษประเภทใหนนั้นคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่จะบ่งบอกว่าเป็นอายาตุลเลาะฮ์ เพราะคนที่เป็นอาลิมผู้รู้ชั้นสูงนั้นจะฟันธงทันทีว่าฮะดีษที่ตนยกมานั้นเชื่อถือได้แค่ใหน แต่อายาตุลเลาะฮ์รายนี้ กลับไม่ระบุเลยว่าฮะดีษที่อ้างมาเชื่อถือได้แค่ใหน และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั่นก็คือ การตัดทอนฮะดีษให้เห็นแค่มุมเดียวเพื่อที่จะโจมตี และยกแต่ฮะดีษที่ ฏออีฟเชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้นซึ่งดูแล้วไม่ต่างกับเหล่าวะฮาบีที่โจมตีอยู่ในเว็บต่างๆเลย
กระทู้ของ บังชะบ๊าบ บังอุษมาน หรือน้องโคกระบือ(โคมั๊ยเนี่ย-โคจริงๆแหละ)ยังดีกว่าและดูเป็นนักวิชาการ เป็นผู้รู้กว่าอายาตุลเลาะฮ์ อัลมูเซาวีย์คนนี้เป็นไหนๆ กระทู้ของน้องโคกระบือยังเห็นมีการระบุสายรายงานชัดเจ็นว่าเป็น ฮะดีษแบบใหน แต่อายาตุลเลาะฮ์ มูซาวีย์ของวะฮาบีนี้ไม่ได้เรื่องเลยเขียนหนังสือเป็นร้อยหน้า ยกฮะดีษมากมายแต่กลับไม่บอกสักคำ สถาณะฮะดีษนี้ ศอเฮี๊ย ฮะซัน มุวัษษัก ดออีฟฯ กระทู้บังชะบ๊าบกะน้องโคยังดูน่าเชื่อถือกว่าเยอะเลย
ผมว่าถ้าให้ดีก็ต้องเลื่อนขั้น บังๆที่ว่านี้เป็น อายาตุลเลาะฮ์ด้วยก็จะดี
๑๐-การโกหกสร้างฮะดีษปลอม
อายาตุลเลาะฮ์ของวะฮาบี ปลอมฮะดีษโกหกใส่ท่านศาสดา(ศ)
หน้า ๓๕กล่าวอ้างว่า ท่านศาสดากล่าวว่า
”ใครก็ตามที่มุตอะฮ์กับสตรีผู้ศรัทธา เปรียบเสมือนกับว่าเขานั้นทำการเยี่ยมอัลกะอฺบะฮ์ถึงเจ็ดสิบครั้ง???”
และอีกบทคือ ท่านอิมามศอดิก(อ)กล่าวว่า
”มุตอะฮ์นั้นเป็นศาสนาของฉันและบรรพบรุษของฉันใครก็ตามที่ปฏิบัติมันก็เท่ากับปฏิบัติตามศาสนาของฉัน และใครก็ตามที่ปฏิเสธมันก็เท่ากับปฏิเสธฉัน.......” จาก มันลายะฮ์ฏุรุฮู อัลฟะกีฮ์ เล่ม ๓ หน้า ๓๖๖
ความจริง
อะดีษเบื้องต้นทั้งสองบทนั้นเป็นฮะดีษปลอมที่ถูกแต่งขึ้นไม่มีตามที่อ้างมา และไม่มีบันทึกในหนังสือเล่มใดๆของชีอะฮ์ทั้งสิ้น หากผู้ใดเอารูปจากหนังสือดังกล่าวมาให้ดูได้ผมจะออกจากชีอะฮ์
๑๑-โกหกใส่ร้ายท่านอิมาม โคมัยนี(รฏ)
ผู้เขียนเล่าว่าตอนที่ท่านอิมามโคมัยนี่ถูกเนรเทศไปที่อีรัก ท่านได้ไปเป็นแขกบ้านชีอะฮ์คนหนึ่ง และตัวผู้เขียนเองก็ได้ไปหาท่านอิมามที่บ้านชีอะฮ์คนนั้นพร้อมกับค้างคืนที่นั่นด้วย
ในคืนนั้นเองท่านอิมามโคมัยนีก็ได้ทำการมุตอะฮ์กับเด็กอายุ สี่หรือห้าขวบซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้าน และตนเองก็ได้ยินเสียงร้องทรมานของเด็กด้วย???
*ตอนท่านอิมามโคมัยนี่ถูกเนรเทศท่านมีอายุ ๗๐กว่าปีแล้ว
*หลังจากรู้อายุของผู้เขียนแล้วเราก็จะรู้ทันทีว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ
และหลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้กล่าวว่า
ท่านอิมามโคมัยนี่นั้นอนุญาติให้ทำการมุตอะฮ์กับเด็ก(ไม่บาลิฆ)ได้โดยท่านฟัตวาว่า“ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดที่จะ มุตอะฮ์กับเด็ก(ไม่บาลิฆ) จะจูบหรือลูบไล้หรือเอาอวัยวะเพศถูไถบริเวณขาอ่อน”
ดูหนังสือ ตะฮ์รีร อัลวะซีละฮ์ เล่ม๒ หน้า ๒๔๑ ปัญหาหมายเลข ๑๒ ??
ความจริง
คำฟัตวานี้เป็นถูกปลอมขึ้นมาเพื่อดิสเครดิตท่านอิมามโคมัยนี่(รฏ)
ผู้เขียนต้องการที่จะให้เรื่องมุตอะฮ์กับเด็กนั้นดูน่าเชื่อถือและเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น ก็เลยแถมท้ายด้วยการแอบอ้างทัศนะคำฟัตวาของท่านอิมามโคมัยนี่โดยกล่าวว่า “ท่านนั้นอนุมัติให้ทำมุตอะฮ์กับเด็กได้” โดยเป้าหมายก็เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจผิดว่า เนื่องด้วยฟัตวาให้มุตอะฮ์กับเด็กได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าให้มีเซ็กกับเด็กได้ และในที่สุดอิมามโคมัยนี่จึงมีเซ็กกับเด็ก????
และเมื่อตรวจสอบคำฟัตวาดังกล่าวที่อ้างมานั้นปรากฏว่ามันไม่มีอยู่จริงในหนังสือตามที่ได้อ้างมา
จะมีก็แต่คำฟัตวาที่ว่า “ .....لا يجوز وطء الزوجة قبل إكمال تسع سنين، دواماً كان النكاح أو منقطعاً”
“ ไม่อนุญาติให้มีเพศสัมพันธุ์กับภรรยาก่อนที่อายุจะครบเก้าปี ไม่ว่าจะนิกะฮ์ถาวรหรือมุตอะฮ์......”
ตะฮ์รีร อัลวะซีละฮ์ เล่ม๒ หน้า ๒๔๑ ปัญหาหมายเลข ๑๒
*หากคำฟัตวาใส่ร้ายที่แอบอ้างมานั้นมีจริง เราขอออกจากชีอะฮ์
๑๒-ไม่รู้จักหนังสือชีอะฮ์
- ในหน้า ๑๐ เรียกชือหนังสือ(اختيار معرفة الرجال) ของอัล กัชชีย์ผิดเป็น (معرفة أخبار الرجال) ซึ่งสิ่งนี้แม้แต่นักเรียนปีหนึ่งก็ยังเรียกไม่ผิดพลาด แต่อายาตุลเลาะฮ์(ปลอม)เรียกผิดใด้อย่างไร
- ในหน้า ๖๕ ผู้เขียนกล่าวว่าหนังสือ (ضياء الصالحين) นั้นเป็นของท่าน ซัยยิด คูอีย์ ทั้งๆที่ทุกคนก็รู้ว่าหนังสือดังกล่าวนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับ บทดุอาอฺต่างๆซึ่งเป็นผลงานของ ฮัจญี มุฮัมมัด ศอและฮ์ อัลเญาฮัรจี ส่วนหนังสือของท่าน อายาตุลเลาะฮ์คูอีย์นั้นคือ (منهاج الصالحين) หากผู้เขียนเป็นอายาตุลฮ์ร่ำเรียนในเฮาซะฮ์จริง และเคยพบกับท่าน อายาตุลเลาะฮ์ คูอีย์จริง ไม่มีทางที่จะเรียกชื่อหนังสือท่านผิดเพราะมันคนละเรื่องกันเลย
น่าแปลกที่วะฮาบีกระจอกๆอย่าง วิภาวี อามิง ลอนาจอมแหกตายังรู้เลยว่าหนังสือของอายาตุลเลาะฮ์ คูอีย์ชื่ออะไร
-ในหน้า ๑๓ กล่าวว่าหนังสือ (جامع الرواة) เป็นของ มุก๊อดดะซีย์ อัลอัรดะบีลีย์ ทั้งๆที่จริงแล้วเป็นของ มุฮัมมัด บิน อลี อัลอัรดะบีลีย์ อัล ฮาอิรี
- ในหน้า ๑๓ ผู้เขียนได้อ้างแนะนำให้ผู้อ่านดูในหนังสือ (حل الإشكال) ของ ซัยยิด อะฮ์มัด บิน ฏอวูส ทั้งที่ว่าหนังสือดังกล่าวนั้นไม่มีอยู่อีกแล้วในยุคปัจจุบันนี้ (หายสาปสูญไปหลายร้อยปีแล้ว)
-ในหน้า ๑๓ ผู้เขียนกล่าวว่า ท่านซัยยิด มุรตะฏอ อัลอัสการีย์นั้นเป็น ฟะกีฮ์คนหนึ่ง ทั้งที่ทุกคนต่างก็รู้จักว่าท่าน อัสการีย์นั้นเป็นนักค้นคว้าและเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไม่ใช่ ฟะกีฮ์นักนิติศาสตร์
๑๓-ไม่รู้จักนักฮะดีษชีอะฮ์
-ในหน้า ๔๙ ๗๙และ ๕๐ อายาตุลเลาะฮ์ปลอมของวะฮาบีท่านนี้ได้เอ่ยนามของ อบี ยะอฺฟูรนักรายงาน ฮะดีษท่านหนึ่งเป็น أبي اليعفور อะบี อัลยะอฺฟูร ถ้าหากกล่าวผิดเพียงครั้งเดียวเราอาจจะบอกได้ว่า เออมันก็พลาดกันได้ แต่กล่าวผิดชื่อ รอวีคนนี้นับสิบครั้ง มันบงบอกว่า ผู้เขียนนั้นไม่ได้เป็นอาลิมรู้จริง เพราะเรื่องฮะดีษ เรื่องชื่อของนักรายงาน หรือชื่อของอิมามนั้นคนที่เป็นอายาตุลเลาะฮ์จริงเขาจะไม่ผิดพลาด เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญใน อัลฮะดีษ ต้องออกคำฟัตวา และการออกคำฟัตวาโดยไม่มีความเชี่ยวชาญและรู้จักในนักรายงาน ฮะดีษ(ริญาล)นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ นอกจากว่าเขาเป็นอายาตุลเลาะฮ์ที่ถูกปลอมมาโดยวะฮาบี
-เรียกนักฮะดีษคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มุอฺมิน อัลฏอกเป็น “ชัยฏอน อัลฏอก”ซึ่งฉายานี้นั้นซุนนีเป็นผู้ตั้งให้
๑๓-ไม่รู้จักว่า”เฮาซะฮ์”คืออะไร
- อายาตุลเลาะฮ์ปลอมของวะฮาบีคนนี้ ไม่มีความเข้าใจเลยว่า “الحوزة เฮาซะฮ์”นั้นคืออะไร เขาจินตนาการเอาว่า เฮาซะฮ์ ว่านั้นมันคงจะเป็นชื่อของสิ่งปลูกสร้างหนึ่งที่พวกชีอะฮ์ทำการเรียนศึกษาที่นั่น คือเป็นตึกอาคาร คล้ายกับมหาวิทยาลัยที่เรียกกันในหมู่ซุนนีว่า ญามิอะฮ์แต่พวกชีอะฮ์จะเรียกว่า เฮาซะฮ์ เขากล่าวในหน้า ๕๒ ว่า
(كنا أحد الأيام في الحوزة، فوردت الأخبار بأن سماحة السيد عبد الحسين شرف الدين الموسوي قد وصل بغداد، وسيصل إلى الحوزة... ولما وصل النجف زار الحوزة)
วันหนึ่งขณะที่ฉันอยู่ใน เฮาซะฮ์ก็ได้ยินข่าวมาว่า ท่านซัยยิดอับดุลฮุซัยน์ ชะรอฟุดดีน อัลมูซาวี อัลอามิลี ได้มายังแบกแดดและกำลังจะมาที่ เฮาซะฮ์.....และเมื่อถึงเมือง นะญัฟท่านก็ได้ไปเยี่มชม เฮาซะฮ์ ????
ในหน้า ๕๕
(ضُبِطَ أحدُ السادة في الحوزة وهو يلوط بصبي أمرد)
มีบันทึกว่า อาจารย์ในเฮาซะฮ์คนหนึ่งทำการอัดถั่วดำเด็กจนตาย????
ในหน้า ๗๐
(وأرى من الضروري أن أذكر قول آية الله العُظْمَى الإمام الخميني في المسألة، فإنه كان قد تحدث عنها في محاضرات ألقاها على مسامعنا جميعاً في الحوزة عام 1389 هـ)
และฉันเห็นว่ามันจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงคำพูดของท่านอิมามโคมัยนีถึงเรื่องนี้ ซึ่งพวกเราได้ยินเองในขณะที่ท่านปราศัยให้เราฟังใน เฮาซะฮ์ เมื่อปี ๑๓๘๙????
ความจริง
จากคำพูดเบื้องต้นอายาตุลเลาะฮ์ปลอมคนนี้เขาใจว่า”เฮาซะฮ์”คือชื่อของสถานศึกษาศาสนาแห่งหนึ่ง โดยคิดว่าคงจะคล้ายๆกับ “ญามิอะฮ์”ที่ซุนนีวะฮาบีเรียกกัน
ทั้งๆที่ว่าแท้จริงแล้วความหมายของ “เฮาซะฮ์”นั้นคือ “ระบบการศึกษาศาสนาของชีอะอ์” ไม่ใช่ชื่อสถานศึกษา ดังนั้นหากใคบอกว่า ”ฉันศึกษาในเฮาซะฮ์” นั่นก็คือว่าเขานั้นเรียนในสายศาสนาไม่ใช่สายสามัญ ซึ่งบางครั้งจะเรียนกันที่ มัสญิดหรือบ้านของโต๊ะครู หรือตามฮะรัมสุสานของอิมาม หรืออาจจะเป็น มัดรอซะฮ์ และทั้งหมดนี้ก็จะเรียกรวมกันว่า “เฮาซะฮ์” ดังนั้นการเข้าเรียนใน”เฮาซะฮ์เมืองนะญัฟ”นั่นก็คือ”การไปศึกษาศาสนาที่เมืองนะญัฟ” ไม่ใช่เป็นสถานที่จำเพาะแต่อย่างใด
มันก็เหมือนกับสมัยก่อนของ”ปอเนาะ”ในบ้านเรา หากใครบอกว่าเขาเรียนปอเนาะนั่นคือเขาเรียนสายศาสนาไม่เรียนสายสามัญ แต่ปอเนาะสมัยนี้ถูกบังคับให้เรียนสายสามัญควบคู่ไปด้วย สรุปจะเป็นไปได้อย่างไรคนที่รำเรียนในเฮาซะฮ์หลายสิบปีจนเป็นอายาตุลเลาะฮ์กลับไม่รู้ว่า เฮาซะฮ์คืออะไร?และคิดว่ามันก็เป็นอาคารเหมือนๆกับมหาลัย คนโกหกมักจะไม่ฉลาด
๑๔-อายุของผู้เขียนคือสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดคือโกหก
อายาตุลเลาะฮ์กลับใจคือการปั้นน้ำเป็นตัวของวะฮาบี
ท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไรเมื่อหนังสือเล่มนี้ถูกจับได้ว่า"ผู้เขียนไม่ได้เป็นชีอะฮ์และยังปั้นน้ำเป็นตัวอีกด้วย”
๑- ผู้เขียนกล่าวว่าตนนั้นมีอายุอ่อนกว่า นักกลอนที่มีชื่อว่า อะฮ์มัด อัลศอฟี อัลนะญะฟีย์ สามสิบกว่าปี และในหนังสือ (معجم رجال الفكر والأدب في النجف เล่ม ๒หน้า ๗๙๓) ระบุว่านักกลอนคนดังกล่าวนั้นมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ฮศ.๑๓๑๔-๑๓๙๗ ดังนั้นผู้เขียนจะต้องเกิดประมาณปี ๑๓๔๔ หรือหลังจากนั้น
๒-ในหน้า ๑๐๗ ผู้เขียนเล่าว่าได้เดินทางไปอินเดียและได้พบกับ อุลามาชีอะฮ์อินเดียท่านหนึ่งชื่อว่า ซัยยิด เด็ลดอร อลีและซัยยิดท่านนี้ก็ได้มอบหนังสือ (أساس الأصول) ซึ่งเป็นผลงานของท่านเองให้กับผู้เขียน
-ซัยยิด เด็ลดอร อลีนั้นเป็นอุลามาชีอะฮ์ อินเดียและเป็นเจ้าของหนังสือดังกล่าวจริง ซึ่งในหนังสือ الذريعة إلى تصانيف الشيعة เล่ม2 หน้า 4 ระบุว่าท่านนั้นเสียชีวิตปี ฮศ.๑๒๓๕
๓- หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ฮศ.๑๔๒๐ และเล่มที่มีให้โหลดฟรีพิมพ์ปี ฮศ.๑๔๒๒
โดยในบทนำได้กล่าวว่าที่ตะกียะฮ์ปิดบัง(?)ไม่บอกชื่อจริงนั้นเพราะเกรงอันตรายเนื่องจากตนนั้นอาศัยอยู่ในเมื่อง นะญัฟ ศูนย์กลางของชีอะฮ์ใน อีรัก ดังนั้นแสดงว่าอย่างน้อยแล้วผู้เขียนก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงปี ฮศ.๑๔๒๐ อย่างแน่นอน
ตัวเลขเปิดเผยโกหก
ปีที่ อายาตุลเลาะฮ์ ซัยยิดฮุซัยน์ อัลมูซาวี ผู้เขียนคนนี้ถือกำเนิด(๑๓๔๔)กับปีเสียชีวิตของ ซัยยิด เด็ลดอร อลี(๑๒๓๕)นั้นห่างกัน๑๐๙ปี
ตอนที่ผู้เขียนไปพบท่านซัยยิด เด็ลดอร อลี นั้นตนเองเป็นอายาตุลเลาะฮ์แล้วซึ่งอย่างน้อยก็จะต้องมีอายุประมาณสามสิบปีหรืออย่างต่ำสุดๆก็ยี่สิบปี เพราะการเรียนให้ถึงขั้น อายาตุลเลาะฮ์นั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๑๕หรือ๒๐ปี
ก็เท่ากับว่าถ้าหากผู้เขียนพบซัยยิด เด็ลดอร อลีในปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ผู้เขียนนั้นจะต้องมีอายุ ๑๒๙ปี แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ???
ถ้าหากสมมุติว่าผู้เขียนได้พบกับซัยยิด เด็ลดอร อลีที่อินเดียในปีสุดท้ายก่อนที่ท่านซัยยิดจะเสียชีวิตพอดีก็คือ ฮศ.๑๒๓๕ และปีที่ทำการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้คือ ฮศ.๑๔๒๐ ซึ่งผู้เขียนก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นผู้เขียนก็จะต้องมีอายุอย่างน้อย ๑๘๗ปี ??? เชื่อหรือไม่คนอายุ ๑๘๗ ปี คือผู้ที่บอกว่าอิมามโคมัยนี่ มุตอะฮ์กับเด็กสี่ขวบ???
มาถึงตรงนี้ก็คิดว่าสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาความจริงนั้น คงพอที่จะให้คำตอบกับตนเองได้แล้วว่าหนังสือเล่มนี้นั้นมีราคาน่าเชื่อถือ ได้ขนาดใหน? ขณะเดียวกันโฉมหน้าธาตุแท้อันสกปรกของวะฮาบีนั้นก็ได้ถูกเปิดเผยให้เห็นด้วยหนังสือเล่มนี้และ เช่นเดียวกันน่าอดสูเป็นอย่างยิ่งที่วะฮาบีในประเทศไทยก็ยังโง่เขลาเบาปัญญา รับลูกต่อจากวะฮาบีต่างประเทศมาทำการเผยแพร่ข้อมูลต่อต้านชีอะฮ์โดยไม่มีการ ตรวจสอบเลยว่าข้อมูลที่รับมานั้นมีความถูกต้องเป็นจริงแค่ใหน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเรื่องราว”ชีอะฮ์กลับใจ”นั้นไม่มีอยู่จริงและหนังสือเล่มนี้นั้นก็ถูกอุปโลกขึ้นมาโดย วะฮาบี เพื่อใส่ร้ายชีอะฮ์และทำลายภาพลักษณ์ผู้รู้ของชีอะฮ์
อันศอร บนีย์ซะฮ์รอ
wwwwahabizionistcom/fit-nah-txhael-khxng-wa-ha-biy
แสดงความเห็น