สงครามอาร์มาเกดอนในแนวคิดของคริสเตียนไซออนิสต์

สงครามอาร์มาเกดอนในแนวคิดของคริสเตียนไซออนิสต์

 อาร์มาเกดดอน(Armageddon) ในแนวคิดของคริสเตียนไซออนิสต์ (Christian Zionism)นั้นก็คือ “สงครามแห่งยุคสุดท้ายของโลก” ซึ่งปัจจุบันมีแฟนคลับหัวรุนแรงจำนวน 70 ล้านคนอยู่ในสองภูมิภาคของยุโรปและอเมริกา ซึ่งเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นฐานทางแนวคิดและทฤษฎีของตน พวกเขาได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางทั้งในเวทีระดับชาติและนานาชาติเพื่อที่จะปกป้องหลักความเชื่อของพวกเขา ....

อุดมคติของอาร์มาเกดดอน(Armageddon) คืออะไร?

คริสต์ศาสนาได้ถูกแบ่งออกเป็นสามสาขา(หรือสามนิกาย)ที่แยกจากกันและมีความขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง อันได้แก่คริสตจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรม  ออโธด็อกซ์และโปรเตสแตนต์ ทั้งสามคริสตจักรนี้ในด้านความเชื่อทางศาสนาและในพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการเคารพภักดีพระเจ้านั้นได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และจะปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นคนละศาสนา และแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลของโปรเตสแตนต์ก็มีความแตกต่างอย่างมากกับคัมภีร์ไบเบิลของคาทอลิก

คุณลักษณะพิเศษประการหนึ่งของคริสตจักรโปรเตสแตนต์คือการมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลทั้งหลายของยุโรป และรัฐบาลเหล่านี้เพื่อที่จะแผ่ขยายศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศโลกที่สาม พวกเขาได้ให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางในด้านการเงิน การเผยแพร่ต่าง ๆ และด้านการเมืองแก่กลุ่มมิชชันนารีของตนเอง  ตัวอย่างเช่นในประเทศอังกฤษนั้น รัฐบาลและคริสตจักรโปรเตสแตนต์ไม่ได้แยกออกจากกัน และสมเด็จพระราชินีของอังกฤษได้ตั้งอยู่ในส่วนยอดของรัฐและคริสตจักร

ในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กระแสใหม่ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างสูงในหมู่ชาวโปรเตสแตนต์ นั่นคือสำนักคิดใหม่ ที่เรียกว่า พระวรสาร หรือ พระกิตติคุณ(Gospels)(ผู้เผยแพร่คำสอนของพระเยซู) ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สำนักคิดที่เกิดขึ้นใหม่นี้ได้เป็นที่รู้จักในนาม “ลัทธิการนับถือหลักการเดิม”(Fundamentalism) และมีอิทธิพลอย่างมากมายในสังคมอเมริกา

เป็นที่ชัดเจนก็คือว่า แนวความคิดดังกล่าวนี้ไม่มีรากฐานที่แข็งแรงทางด้านศาสนาเท่าใดนัก และถูกวางพื้นฐานอยู่บนระดับหนึ่งของพยานหลักฐาน การคาดเดาและการจินตนาการ

หลักการของกระแสแนวคิดพระวรสารหรือพระกิตติคุณในอเมริกาและอังกฤษนั้นคือการสนับสนุนทุก ๆ ด้านทางความเชื่อและการเมืองของไซออนิสต์  และพวกเขาเชื่อว่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามคริสตจักรโปรเตสแตนต์เพื่อการปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่งของพระคริสต์(เยซู)นั้นจำเป็นจะต้องดำเนินการตามความประสงค์บางประการของพระคริสต์(เยซู) นั่นคือ การอรรถาธิบายคัมภีร์ไบเบิลในคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบในประเด็นเกี่ยวกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล

 

บรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งจากพระกิตติคุณ(ผู้เผยแพร่คัมภีร์ไบเบิล) และพวกเขาเชื่อว่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ เป็นชาวคริสต์ที่จะได้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สองโดยที่พวกเหล่านี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้รอดพ้นส่วนบุคคลอื่น ๆ จะพบกับความพินาศ คุณลักษณะเด่นเป็นพิเศษประการหนึ่งของบรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ คือการมีความเชื่อที่มั่นคงเหนียวแน่นและมีความคลั่งไคล้เป็นพิเศษต่อลัทธิไซออนิสต์ และความคลั่งไคล้ของคริสเตียนกลุ่มนี้ที่มีต่อลัทธิไซออนิสต์นั้นมีมากเสียยิ่งกว่าชาวยิวไซออนิสต์ที่พำนักอยู่ในอิสราเอลและในอเมริกาเสียอีก.

แต่อุดมการณ์ที่สำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมากที่บรรดาผู้ปฏิบัติตามลัทธิคริสเตียนไซออนิสต์(Christian Zionism) มีความเชื่อมั่นต่อมัน นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เรียกว่า “อามาเกดดอน”(Armageddon)หรือสงครามครั้งสุดท้าย อุดมการณ์ดังกล่าวนี้ในความเป็นจริงนี้แล้ว เป็นแนวความคิดอันเป็นเฉพาะประการหนึ่งที่มีมุมมองในเรื่องเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของโลก  และบรรดาผู้นับถือหลักการเดิมแห่งคริสเตียนนั้นมีความผูกพันในเรื่องนี้อย่างมาก และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงได้มุ่งนำเสนอข้อมูลและการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ

สิ่งที่เป็นที่ชัดเจนก็คือว่านี้ แนวความคิดดังกล่าวนี้ไม่มีรากฐานที่แข็งแรงทางด้านศาสนาเท่าใดนัก และถูกวางพื้นฐานอยู่บนระดับหนึ่งของพยานหลักฐาน การคาดเดาและการจินตนาการเอาเอง

อามาเกดดอน(Armageddon)ในแนวคิดของคริสเตียนไซออนิสต์(Christian Zionism)นั้นก็คือ “สงครามแห่งยุคสุดท้ายของโลก” ซึ่งปัจจุบันมีแฟนคลับหัวรุนแรงจำนวน 70 ล้านคนอยู่ในสองภูมิภาคของยุโรปและอเมริกา ซึ่งเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นฐานทางแนวคิดและทฤษฎีของตน พวกเขาได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางทั้งในเวทีระดับชาติและนานาชาติเพื่อที่จะปก ป้องหลักความเชื่อของพวกเขา

อาร์มาเกดดอน(Armageddon) คืออะไร?

Armageddon เป็นคำภาษาฮิบรู มีความหมายว่า เนินเขาศักดิ์สิทธิ์หรือภูเขา มันคือเนินเขาซึ่งตั้งอยู่ในส่วนตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฮัยฟา(Haifa)ในภาคเหนือของปาเลสไตน์และอยู่ในอาณาเขตเวสต์แบงก์(ชายฝั่งตะวันตก)ของแม่น้ำจอร์แดน กล่าวกันว่าในอดีตเคยเป็นสถานที่ยุทธศาสตร์ในเส้นทางผ่านและเป็นจุดตัดของทิศเหนือกับทิศใต้และทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก สิ่งที่น่าสังเกตก็คือว่าพื้นที่นี้มีอาณาเขตที่จำกัดและมีขนาดเล็กมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือว่าในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ถูกเลือกในฐานะสถานที่สำหรับสงครามครั้งสุดท้ายของโลกตามความเชื่อของพวกที่ยึดถือหลักการเดิม(Fundamentalists)

พื้นที่อาร์มาเกดดอน(Armageddon)ตั้งอยู่ในด้านตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและอยู่ระหว่างเมือง “อัลญะลีล”และ“อัซซามิเราะฮ์”  ในที่ราบลุ่ม“ยัซร่ออัยน์” เป็นสถานที่ซึ่งแม้แต่นาโปเลียน บานาพาร์ท(Napolion Bonaparte)เองเคยกล่าวไว้ว่าในสถานที่แห่งนี้ สงครามที่ใหญ่ที่สุดของโลกจะเกิดขึ้น.

แต่พวกที่ยึดถือหลักการเดิม(Fundamentalists) แห่งคริสเตียนนั้นเชื่อว่าเพื่อการมาปรากฏตัวและการกลับมาเกิดใหม่เป็นครั้งที่สองของพระคริสต์ (เยซู) นั้น สงครามนิวเคลียร์และปรมาณูจะเกิดขึ้นในบริเวณอาร์มาเกดดอน (Armageddon) โดยที่จะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นจำนวนมาก และโดยสื่อสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ส่วนใหญ่ของบรรดาเมืองทั้งหลายในโลกจะประสบกับความเสียหายและความพินาศ

ในคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงสถานที่นี้เพียงครั้งเดียวในการเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า(การดลใจ)ของโยฮันนา , บทที่ 16, โองการที่ 16 โดยมีเนื้อความดังนี้ว่า:"... และจะรวมพวกเขามาในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาฮิบรูว่าอาร์มาเกดดอน (Armageddon)”

ในพันธะสัญญาเดิมจะไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลยที่บ่งชี้ถึงท้องทะเลทรายนี้ และเกี่ยวกับเหตุการณ์ของอาร์มาเกดอน(Armageddon) ดังนั้นมีปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในการฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าของคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่ และในแหล่งอ้างอิงของอิสลามเองอย่างเช่นคัมภีร์อัลกุรอานและบรรดาริวายะฮ์ (คำรายงาน) ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่กล่าวถึงเกี่ยวกับอาร์มาเกดอน (Armageddon) เลย

ในขณะที่ในท่ามกลางคำรายงาน(ริวายะฮ์)จำนวนมากมายมหาศาลที่มีอยู่ในมือเรานั้น มีเพียงหกพันริวายะฮ์(คำรายงาน)เท่านั้นที่เป็นเนื้อหาเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของยุคสุดท้ายของโลก(อาคิรุซซะมาน)และเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.) แต่ดังที่กล่าวไปแล้วว่าไม่มีชื่อของสงครามดังกล่าวนี้ปรากฏให้เห็นเลย ในพันธสัญญาเดิมก็ไม่มีสัญลักษณ์บ่งชี้ใด ๆ เกี่ยวกับท้องทะเลทรายนี้และเหตุการณ์อาร์มาเกดดอน (Armageddon) นี้

มีคำกล่าวอ้างที่ว่าในสงครามดังกล่าวนี้จะมีกองกำลังสองฝ่ายที่จะเข้าสู่การเผชิญหน้ากันซึ่งฝ่ายหนึ่งจะเป็นกองกำลังแห่งความชั่วร้ายและไร้ศรัทธาโดยที่บุคคลที่ถูกอ้างถึงในนาม“ดัจญาล” (มารผู้ต่อต้านพระเจ้า) จะทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการของพวกเขาซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ (เยซู) และบรรดาผู้ร่วมทัพของพวกเขาประกอบไปด้วยชาวอาหรับ ชาวมุสลิมและบรรดาผู้สนับสนุนชาวรัสเซียซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นกองทัพที่มีจำนวนทหาร 400 ล้านคน

เจอร์รี่ ฟอลเวลล์(Jerry falwell) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งจากพระวรสารที่หัวรุนแรงและมีความกระตือรือร้นของคริสเตียนไซออนิสต์และมีผู้เลื่อมใสจำนวนมากอยู่ในทำเนียบขาว เขาได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า: รัสเซียและพันธมิตรของพวกเขา (อิหร่าน, แอฟริกาใต้ (เอธิโอเปีย), แอฟริกาเหนือ (ลิเบีย) ยุโรปตะวันออก, คอเคซัส) จะอยู่ในฝ่ายกองทัพที่ชั่วร้ายและสงครามครั้งนี้จะครอบคลุมอย่างกว้างขวางและเป็นสงครามนิวเคลียร์และผู้คนจำนวนมากจะถูกทำลายลง

แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นกองกำลังแห่งความดีงามซึ่งนั่นก็คือกองกำลังที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลโดยที่พวกเขาจะเข้าสู่สงครามภายใต้การนำของมะซีห์(พระเยซู) และพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีคุณลักษณะพิเศษนั่นคือเป็นกลุ่มชนที่นำมาซึ่งแสงสว่าง ความจำเริญและความดีงาม ส่วนผลของสงครามนั้นก็คือว่าพระคริสต์(พระเยซู)จะเปิดฉากการโจมตีเป็นคนแรกต่อฝ่ายกองกำลังแห่งความชั่วร้ายด้วยอาวุธต่าง ๆ ที่ร้ายแรงของท่าน และจะทำลายกองทัพนั้นลงในลักษณะที่มีการกล่าวกันว่าเลือดจะอาบนองไปทั่วทุกหนแห่ง จนกระทั่งว่าบังเหียนม้าจะจมลงในกองเลือดนั้น

ในอีกที่หนึ่ง เจอร์รี่ ฟอลเวลล์(Jerry falwell) ได้สาธยายด้วยวิธีการอย่างมีเล่ห์กระเท่ห์และชาญฉลาดโดยใช้บางส่วนของเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่อย่างไรก็ดีเขาได้อ้างคำพูดของพระเจ้าด้วยการตีความโดยใช้ทัศนะความเห็นส่วนตัวและการคาดเดาของตนด้วยสำนวนคำพูดเช่นนี้ว่า:

“สูเจ้าทั้งหลายจงมาเถิด และจงบริโภคสัตว์เชือดพลี (เนื้อมนุษย์) ที่ข้าได้จัดเตรียมไว้ให้พวกสูเจ้า สูเจ้าทั้งหลายจงไปยังภูเขาของอิสราเอล และกินเนื้อและดื่มเลือดเถิด!  จงกินเนื้อของเหล่านักรบและจงดื่มเลือดของบรรดาผู้นำของโลกซึ่งประหนึ่งดั่ง แกะ แพะ และวัวที่อ้วนพลี”

ท้ายที่สุดสงครามอาร์มาเกดดอน(Armageddon)ก็จะจบลงด้วยกับการที่ชาวยิวจะมีความศรัทธาต่อพระเยซูในฐานะผู้ที่ช่วยให้พวกเขาได้รับความรอดพ้นหลังจากที่สองในสามของพวกเขาได้ถูกฆ่าทำลายลงในการต่อสู้ครั้งนี้  จากนั้นพระคริสต์(พระเยซู)จะนำพาบรรดาผู้ที่หันมาศรัทธามั่นต่อตนเองขึ้นสู่ฟากฟ้า และพวกเขาจะเฝ้ามองดูการต่อสู้ในสงครามแห่งอาร์มาเกดดอน(Armageddon)นี้ จากเบื้องสูงแห่งฟากฟ้า ในสภาพที่มีแต่ความสะดวกสบายและความสุข และหลังจากที่สงครามได้สิ้นสุดลงพวกเขาจะกลับลงมาสู่พื้นโลกอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพระคริสต์ เพื่อที่จะใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเผาสุกไพบูลย์และความสะดวกสบายเป็นระยะเวลาอันยาวนาน

ดูเหมือนว่าในการพรรณนาต่าง ๆ ที่ได้มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์นั้นได้ถูกปรุงแต่งด้วยกับ จินตนาการและความเพ้อฝันต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน  ด้วยกับการตรวจสอบวิจัยที่ละเอียดอ่อนมากกว่านี้ เป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เราจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน

อาร์มาเกดดอน(Armageddon) นั้นที่จริงแล้วคือคือสงครามแห่งลุ่มน้ำยูเฟรตีส (Euphrates War)!

ในปี ค.ศ. 1997 นักเขียนชาวอเมริกันผู้หนึ่งได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า"การบิดพลิ้วต่อบัยตุลมักดิส(เยรูซาเล็ม)"โดยที่ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่าทุก ๆ การเจรจาสันติภาพกับชาวปาเลสไตน์นั้นเป็นละเมิดต่อหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลและบิดพลิ้วต่อความประสงค์ต่าง ๆ ของพระคริสต์(พระเยซู) และเขาพยายามที่จะชี้นำแก่บรรดาผู้อ่านตลอดเวลาถึงประเด็นนี้ที่ว่าพระคริสต์จะมาปรากฏตัวในช่วงต้นของสหัสวรรษที่สามและก่อน ปี ค.ศ. 2007 และจะสถาปนารัฐอิสราเอลอันยิ่งใหญ่ขึ้นโดยครอบคลุมพื้นที่จากแม่น้ำไนล์ไปจรดยังแม่น้ำยูเฟรตีส   ถึงแม้ว่าในปีดังกล่าวสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นก็ตาม แต่การโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ในหนังสือที่มีเนื้อหาลักษณะนี้พยายามที่จะโฆษณาชวนเชื่อว่าเพื่อที่จะเร่งการมาปรากฏกายของพระเยซูนั้นชาวคริสต์ทั้งหลายจำเป็นจะต้องทำลายประเทศบาบิโลน -- อิรักปัจจุบัน -- และแม่น้ำยูเฟรติสนั้นจำเป็นจะต้องแห้งสนิท สิ่งที่สมควรกล่าวถึงในที่นี้ก็คือว่า พวกเขาจะเรียกสงครามอาร์มาเกดดอน(Armageddon War) อีกชื่อหนึ่งว่า “สงครามแห่งลุ่มน้ำยูเฟรตีส"(Euphrates War) ด้วยเช่นกัน (เมื่อพิจารณาถึงประเด็นนี้แล้วเป็นไปได้ว่าการบุกโจมตีประเทศอิรักและการเข้าไปครอบครองประเทศนี้โดยรัฐบาลของอเมริกาดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลที่เหมาะสม.)

บรรดาผู้นำศาสนาของคริสเตียนไซออนิสต์มีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในการสำรวจโพลครั้งหนึ่งซึ่งได้ถูกจัดทำโดยสำนักข่าวเอพี(Associated Press) ในปี ค.ศ. 1997 ได้ประกาศว่า ร้อยละ 25 ของประชากรอเมริกามีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าด้วยกับการเริ่มต้นของสหัสวรรษที่สาม สงครามครั้งสุดท้ายแห่งอามาเกดดอน(Armageddon War)จะเริ่มขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ และสงครามครั้งนี้จะจะดำเนินไปเป็นระยะเวลาถึงเจ็ดปี และในผลของสงครามครั้งนี้โลกจะถูกทำลายลง และในช่วงสุดท้ายของสงครามเจ็ดปีนี้ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่าจะเป็น"โศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงสำหรับคริสตจักรและชาวคริสต์" พระเยซูจะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและจะมาปรากฏตัวพร้อมกับชาวคริสต์ และจะทำให้ดัจญาล(มารผู้ต่อต้านพระเจ้า)ประสบกับความพ่ายแพ้ และท่านจะสถาปนารัฐบาลโลกของตนขึ้นโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บัยตุลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม)

ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงถือว่าวิหารอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะกลายเป็นต้นเหตุของสงครามอาร์มาเกดดอน(Armageddon)นี้ เป็น"วิหารแห่ งโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่"  ตามความเชื่อของคริสเตียนไซออนิสต์นั้น นอกจากผู้ที่ศรัทธามั่นต่อ "ความต้องการต่าง ๆ ของพระคริสต์” แล้ว มนุษย์ทุกคนในโลก ทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนจะต้องถูกสังหารโดยดัจญาล(Dajjal—ผู้ต่อต้านพระเจ้า)ทั้งสิ้น

ใช่แล้ว! สิ่ง เหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่เพียงวลีต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวซ้ำและเป็นเรื่องเรียบง่ายธรรมดาเท่านั้น  ทว่ามันได้รวมเอาโลกของเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆมากับตัวมันด้วย  นี่คือภาพรวมของความเชื่อถือต่าง ๆ ที่มั่นคง และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของความเชื่อและการยึดมั่นในศาสนาสำหรับแต่ละบุคคลที่มีความเคร่งในศาสนาว่ามีความสำคัญอย่างไร เหมือนดั่งคริสเตียนอเมริกันที่ยอมรับคัมภีร์เตาร๊อตมากกว่าคัมภึร์เล่มอื่น ๆ และถือว่าท่วงทำนองภาษา จินตนาการและการให้เหตุผลในเชิงศีลธรรมและการต่อสู้ต่าง ๆ ของความเป็นมนุษย์ของหนังสือเล่มนี้ในฐานี่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพแห่งความเป็นอเมริกันของตนและจินตนาการของพวกเขาก็คือว่าจำเป็นที่พวกเขาจะต้องยืนหยัดขึ้นเพื่อแสดงบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์นี้

การเพาะบ่มแนวความคิดเช่นนี้คือสิ่งที่ได้รับจากการเรียนการสอนในช่วงวัยเด็กซึ่งทั้งภายในบ้านและในโรงเรียนพวกเขาจะเผชิญกับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาโดยที่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับอดีตแห่งคัมภีร์เตาร๊อตทั้งในจิตสำนึกและจินตนาการของพวกเขา และวัฒนธรรมแห่งคัมภีร์เตารอตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขาโดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ ในลักษณะที่การฟื้นฟูพันธะสัญญาเดิมและและการยึดมั่นปฏิบัติตามมันถูกนับในฐานะหลักความเชื่อและวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและได้ก่อให้เกิดกระแสทางด้านศาสนาใหม่ ๆ ขึ้นมา

ดังนั้นจึงเป็นธรรมชาติอยู่เองที่ชาวอเมริกันผู้ที่ยึดหลักการเดิมของศาสนาคริสต์(fundamentalist)จึงนำพาตนเองเขาไปซุกอยู่ในอ้อมอกของอิสราเอล และมีมรดกทางจิตวิญญาณและศาสนาที่เหมือนกันในระหว่างพวกเขาและด้วยสื่อความเป็นเนื้อหน่วยเดียวกัน และความมีส่วนร่วมกันอันเกิดจากคำสอนต่าง ๆ ทางศาสนาพวกเขาจึงดำเนินการต่าง ๆ ตามที่ต้องการ

"คาบูต โลดจ์"หัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์ต่างประเทศของสภาคองเกรสในคำปราศรัยของเขา ในบอสตัน ในปี ค.ศ. 1922   เขาได้กล่าวในเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณแห่งความมีอคติต่อปัญหาของปาเลสไตน์ไว้เช่นนี้ว่า:

"ในทัศนะของผม  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีและน่าประทับใจมากที่ประชาชนชาวยิวทั่วโลกกำลังพร้อมใจกันที่จะสร้างชาติให้กับบรรดาผู้ร่วมศาสนาของตนเองที่มีความปรารถนาจะกลับไปยังดินแดนที่เคยเป็นถิ่นกำเนิดของพวกเขามาก่อน และนับเป็นเวลาหลายพันปีที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น ผมไม่เคยสามารถที่จะนึกมโนภาพได้เลยว่าอัล-กุดส์(มัสยิดอัลอักซอ)และแผ่นดินปาเลสไตน์จะตกอยู่ภายใต้อำนาจการครอบครองของบรรดาผู้ปฏิบัติตามแนวทางของมุฮัมมัด(ชาวมุสลิม) การที่อัล-กุดส์และปาเลสไตน์–ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวและเป็นดินแดนที่ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับประชาชาติคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งมวลแห่งโลกตะวันตก –ยังคงสภาพอยู่ในมือของชาวเตริก(Turks) (ชาวมุสลิม) เป็นระยะเวลายาวนานหลายปีนั้นมันเป็นเสมือนตราบาปที่อยู่บนหน้าผากของอารยะธรรมซึ่งจำเป็นต้องลบล้างออกไป"

ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าพวกที่ยึดหลักการเดิมของศาสนาคริสต์(Fundamentalist) นั้นจะทำทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ และพวกเขามีอำนาจการเลือกและการตัดสินใจมากมายอยู่ภายในปาเลสไตน์ และพวกเขาจะหาเหตุผลข้ออ้างในการดำเนินการต่าง ๆ อันป่าเถื่อนของตนได้อย่างง่ายดาย

ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ในวันนี้เรากำลังพบเห็นมันเกิดขึ้นอยู่นั้น ล้วนเกิดขึ้นมาจากนโยบายที่ได้ถูกวางแผนการเอาไว้แล้ว และมีรากฐานที่มาอีกทั้งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการหยั่งรากลึกของความเชื่อทางศาสนาและความมีทิฐิของพวกที่ยึดหลักการเดิม(Fundamentalist)

ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าพวกที่ยึดมั่นในหลัการเดิม(fundamentalist )นั้นจะทำทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ และพวกเขามีอำนาจการเลือกและการตัดสินใจมากมายอยู่ภายในปาเลสไตน์ และพวกเขาจะหาเหตุผลข้ออ้างในการดำเนินการต่าง ๆ อันป่าเถื่อนของตนได้อย่างง่ายดาย และพวกเขาจะแนะนำให้รู้จักชาวอาหรับว่าเป็นคนโง่และเกียจคร้านซึ่งเราจะพบเห็นได้บ่อยครั้งในภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาจะนำเสนอชาวมุสลิมในเชิงสัญลักษณ์ที่เป็นชนเร่ร่อนและเป็นผู้อาศัยอยู่ในท้องทะเลทราย และบรรดาบุคคลผู้ซึ่งทำหน้าที่บริหารควบคุมกิจการต่าง ๆ ทางด้านการเมืองและประเทศก็เป็นผู้ที่อ่อนแอและส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกหัวรุนแรงและมีหน้าตาเหมือนกับเป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง ดังนั้นเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป พวกเขาจึงหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับพันธะสัญญาแห่งการกลับคืนสู่แผ่นดินของชาวยิวขึ้นมาและยืนกรานในความเชื่อนี้ของพวกเขาอย่างหนักแน่น

บรรดาผู้ยึดถือหลักการเดิมเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู(Evangelical fundamentalist) ซึ่งมีมุมมองทางศาสนาอันเป็นเฉพาะของตนนั้น ในปัจจุบันนี้มีการรวบรวมงบประมาณและทรัพย์สินจำนวนมากมายมหาศาลให้กับอิสราเอลเพื่อให้มีการดำเนินการต่าง ๆ อย่างเช่นการทำลายมัสยิดอัล-อักซอและการสร้างวิหารโซโลมอน และสิ่งนี้ก็คือความเชื่อต่าง ๆ ที่บรรดาผู้นำของพวกเขาก็มีความเชื่อเช่นนี้ด้วยเช่นกัน

พวกเขาคาดคิดว่าการที่จะมุ่งเดินไปบนเส้นทางแห่งสัจธรรมและความจริงนั้น คือการที่พวกเขาจะต้องสังหารหมู่ชาวอินเดียแดงและยึดครองอเมริกา และภายหลังจากการยึดครองอเมริกาได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว จำเป็นที่พวกเขาจะต้องดำเนินการในการสร้างระบอบเช่นนี้ให้เกิดขึ้นอีกในจุดอื่นของโลก นั่นหมายถึงในปาเลสไตน์

ไซออนใหม่อันเป็นความใฝ่ฝันของบรรดาผู้ที่จะมาตั้งถิ่นฐาน ก็คือไซออนเดิมกล่าวคือแผ่นดินปาเลสไตน์นั่นเอง และเนื่องจากบรรดาผู้ที่จะมาตั้งถิ่นฐานชาวคริสต์บางส่วนได้เชื่อว่าการสังหารหมู่และการเข่นฆ่าชาวอินเดียแดงนั้นมีผลบุญตอบแทน  ด้วยเหตุนี้เองบรรดาชาวคริสต์กลุ่มนี้จึงถือว่าการช่วยเหลือทางด้านทรัพย์สินเงินทองแก่พวกไซออนิสต์เป็นสิ่งที่วางอยู่บนหลักสัจธรรมเพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นในการสังหารหมู่และการเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์

อามาเกดดอน(Armageddon) สงครามระหว่างกองทัพแห่งความดีและความชั่ว

บรรดาผู้นำทางความคิดของคริสเตียนไซออนิสต์หรือก็คือพวกนิยมหลักการเดิม(fundamentalists) นั้น พวกเขามีความเชื่อต่างๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของสงครามอาร์มาเกดดอน(Armageddon) ในมุมมองของบรรดามิชชันนารีผู้นิยมหลักการเดิม(fundamentalist)ในช่วงสมัยต่าง ๆ นั้น ช่วงเวลาต่าง ๆ ของการเกิดขึ้นของสงครามครั้งนี้ได้ถูกพยากรณ์เอาไว้ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นล้วนแสดงให้เห็นว่าสงครามครั้งนี้จะเกิดขึ้นก่อนการมาปรากฏของพระเยซูคริสต์ และภายหลังจากการสถาปนารัฐอิสราเอล หมายความว่า สองสิ่งนี้เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเกิดขึ้นของสงครามล้างผลาญนี้ ด้วยเหตุนี้บรรดามิชชันนารีของสำนักคิดของคริสเตียนผุ้นิยมหลักการเดิม(fundamentalist Christian)นี้ แต่ละคนจึงพยายามที่จะเจาะจงเวลาของการเกิดเหตุการณ์นี้

ฮอล ลินด์เซ(Hal Lindsay) ผู้เขียนหนังสือที่มียอดขายสูงถึงแปดล้านเล่มซึ่งมีชื่อว่า"Big star is declining land” (ดาวดวงใหญ่ที่กำลังตกสู่พื้นดิน) เขาเคยพูดไว้ว่า  : ชนรุ่นที่เกิดตั้งแต่ ปี 1948 เป็นต้นมาจะได้เห็นการกลับมาของพระคริสต์ แต่ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นนั้น สงครามยะอ์ญูจ(Gog) และมะอ์ญูจ(Magog) หรือสงครามแห่งอามาเกดดอน(Armageddon)จะต้องเกิดขึ้นก่อน สงครามนี้จะเกิดขึ้นก่อนการปรากฏตัวของพระคริสต์ และภายหลังจากการจัดตั้งรัฐอิสราเอล หมายความว่าเงื่อนไขสองประการนี้ที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเกิดขึ้นของสงครามล้างผลาญนี้

เมื่อการพยากรณ์นี้ไม่เกิดขึ้นจริงตามที่เขากล่าว ก็มีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า พระคริสต์"บิลลี่ เกรแฮม"ได้เตือนเกี่ยวกับปี ค.ศ. 1970 ไว้ว่าโลกกำลังขับเคลื่อนไปสู่อาร์มาเกดดอน (Armageddon) อย่างรวดเร็ว และเยาวชนคนหนุ่มสาวปัจจุบันนี้คือชนรุ่นล่าสุดของประวัติศาสตร์

เขาเป็นผู้หนึ่งจากพระวรสารที่มีอิทธิพลของสำนักคิดนี้ แต่ตอนนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว และลูกชายของเขากำลังดำเนินตามเส้นทางของเขา เขาได้ร่วมงานอยู่กับประธานาธิบดีของทำเนียบขาว(ไวท์เฮ้าส์)ถึงสี่คนและจะถูกรู้จักในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณคนพิเศษของไวท์เฮ้าส์ และได้รับความเคารพให้เกียรติอย่างมาก

โรเบรินสัน เป็นอีกคนหนึ่งจากมิชชันนารีกลุ่มนี้ ได้กล่าวไว้ (เมื่อวันที่  9 มิถุนายน 1982 สามวันหลังจากการรุกรานเลบานอนโดยอิสราเอล) ว่า:"ผมขอให้ความมั่นใจแก่พวกท่านว่าวันสิ้นโลกและวันแห่งการฟื้นคืนชีพกำลังจะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1982 สหภาพโซเวียตจะทำการโจมตีทางทหาร และความหายนะขั้นแตกหักและขั้นสุดท้ายจะมาประสบกับพวกเขาเอง

คำพยากรณ์ในลักษณะเช่นนี้มีให้เห็นอย่างมากมายในหมู่ของผู้ดำเนินตามสำนักคิดนี้ และมันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์นี้มากเพียงใดและมีการวางแผนการต่าง ๆ สำหรับมัน

ส่วนสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ต่าง ๆ หลายประการซึ่งได้ถูกอธิบายไว้ดังต่อไปนี้ :

1 – การถูกสังหารอย่างราบคาบของชาวอาหรับและชาวมุสลิมและการถูกทำลายล้างห้าในหกส่วนของประชากรโลก

2 –การถูกสังหารสองในสามของประชาชนชาวยิว และจะเหลือรอดอยู่เพียง 144,000 คนจากชาวยิว

3 -- การแห้งเหือดลงของแม่น้ำยูเฟรตีส

4— การถูกทำลายอย่างราบคาบของบัยตุลมักดิส (มัสยิดอัล-อักซอ

5 – การขึ้นสู่ฟากฟ้าของชาวคริสต์ fundamentalist และลงมาของพระเยซูคริสต์พร้อมด้วยไพร่พลของท่านและการทำลายล้างกองทัพแห่งความชั่ว

6– การเริ่มต้นของความโชคดีและความผาสุกนานับพันประการ

 

ตามความเชื่อต่าง ๆ ของสำนักคิดข้างต้นในทัศนะของชาวโปรเตสแตนต์นั้น จำเป็นจะต้องมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อที่ว่าพระคริสต์จะได้มาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่งและบรรดาสาวกของสำนักคิดนี้มีหน้าที่ทางศาสนาที่จะต้องพยายามในการเร่งให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา เหตุการณ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องถูกปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงด้วยมือพวกเขามีดังต่อไปนี้ :

1 – ชาวยิวจากทั่วโลกจะต้องถูกนำกลับไปยังปาเลสไตน์และประเทศอิสราเอลจะต้องถูกสถาปนาขึ้นในอณาเขตที่มีความกว้างจากแม่น้ำไนล์ไปจรดยังแม่น้ำยูเฟรตีส และบรรดาชาวยิวผู้ซึ่งอพยพไปอยู่ในอิสราเอลนั้นจะเป็นผู้ได้รับความรอดพ้น

2 – ชาวยิวจำเป็นจะต้องทำลายสองมัสยิดคือมัสยิดอัล-อักซอและมัสยิดอัซ-ซ็อคเราะฮ์(Dome of the rock)ที่อยู่ในบัยตุลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม)ลง และและพวกเขาจะต้องสร้างวิหารอันยิ่งใหญ่ขึ้มาแทนที่สองมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมนี้ (จวบจนถึงขณะนี้ทั้งมัสยิดอัล-อักซอและมัสยิดอัซ-ซ็อกเราะฮ์ซึ่งตั้งอยู่ในบัยตุลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม)นั้นได้ตกเป็นเป้าโจมตีของชาวยิวและคริสเตียนไซออนิสต์มาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยครั้ง)

3 – วันที่ชาวยิวสามารถทำลายมัสยิดอัล-อักซอและมัสยิดอัซ-ซ็อคเราะฮ์ในบัยตุลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม)ลงได้สำเร็จนั้น  สงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายแห่งอาร์มาเกดดอน(Armageddonได้เริ่มต้นขึ้นแล้วโดยการนำของอเมริกาและสหราชอาณาจักร ในสงครามโลกครั้งนี้ โลกทั้งหมดจะถูกทำลายล้างลง

4 –วันที่สงครามอาร์มาเกดดอนจะเริ่มต้นขึ้นนั้น บรรดาชาวคริสต์ทั้งหมดที่ปฏิบัติตามความเชื่อที่ว่า”จำเป็นจะต้องทำให้ความต้องต่าง ๆ การของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นมา" โดยที่บรรดาชาวคริสต์กลุ่มนี้จะเกิดมาอีกครั้งหนึ่ง และพวกเขาจะได้พบกับพระคริสต์ และจะได้ถูกนำพาตัวไปจากโลกนี้มุ่งสู่สวรรค์โดยเรือขนาดใหญ่ และจากที่นั่นพวกเขาจะนั่งชมการถูกทำลายของโลกและการลงโทษที่รุนแรงในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ร่วมกับพระคริสต์

5 – ในสงครามอาร์มาเกดดอนนี้ ในช่วงเวลาที่ผู้ต่อต้านพระคริสต์(ดัจญาล-Dajjal)กำลังจะบรรลุสู่ชัยชนะนั้น  พระเยซูพร้อมด้วยชาวคริสต์ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่นั้นจะมาปรากฏตัวในโลกนี้ และจะทำให้ผู้ต่อต้านพระคริสต์(ดัจญาล)ต้องพ่ายแพ้ในช่วงท้ายของสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ และจะสถาปนารัฐบาลโลกขึ้นโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บัยตุลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม) และวิหารหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่มัสยิดอัล-อักซอและมัสยิดอัซ-ซ็อคเราะฮ์ ในบัยตุ้ลมักดิส(กรุงเยรูซาเล็ม) – โดยมือชาวคริสต์และชาวยิวก่อนที่สงครามอาร์มาเกดดอน(Armageddon)จะเริ่มขึ้น – และวิหารแห่งนี้จะเป็นสถานที่บัญชาการรัฐบาลโลกของพระคริสต์

1 – รัฐไซออนิสต์ของอิสราเอลจะทำลายมัสยิดอัล-อักซอและมัสยิดอัซ-ซ็อคเราะฮ์ในบัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) โดยการช่วยเหลือของอเมริกาและสหราชอาณาจักร และวิหารอันยิ่งใหญ่จะถูกสร้างขึ้นในสถานที่นี้ด้วยมือพวกเขา และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา

2 -- เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

3 – ก่อนการเกิดขึ้นของสงครามอาร์มาเกดดอนนั้น ความหวาดผวาและความสะพรึงกลัวจะปกคลุมไปทั่วสังคมของอเมริกาและยุโรป

4 –ก่อนการมาปรากฏตัวอีกครั้งของพระเยซูนั้น สันติภาพในโลกจะยังไม่บังเกิดขึ้น และบรรดาชาวคริสต์เพื่อที่จะช่วยเร่งการมาปรากฏตัวของพระเยซูนั้นจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเตรียมการขั้นพื้นฐานต่าง ๆสำหรับสงครามอาร์มาเกดดอนและการทำลายล้างโลก

พวกนิยมหลักการเดิม(Fundamentalism) นั้นเชื่อว่า เงื่อนไขของการกลับมาของพระคริสต์นั้น คือการสถาปนารัฐอิสราเอลและการสร้างวิหารโซโลมอนขึ้นใหม่แทนที่ซากปรักหักพังของมัสยิดอัล-อักซอ ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบันพวกเขาจึงได้มการปฏิบัติการในการเจาะขุดอย่างมากมายในบริเวณรอบ ๆ และส่วนใต้ของมัสยิดอัล-อักซอ และการดำเนินการดังกล่าวนี้เป็นไปถึงขั้นที่กล่าวกันว่าหากมีการเกิดขึ้นของแผ่นดินไหวครั้งเดียวที่มีกำลังแค่เพียงสองริคเตอร์เท่านั้น ก็จะทำให้อาคารมัสยิดอัล-อักซอทั้งหมดพังทลายลงมาอย่างราบคาบ

พวกเขากล่าวอ้างตนว่าเป็นผู้ช่วยเหลือชาวยิว เพราะพวกเขาเชื่อว่าชาวยิวนั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า และใครก็ตามที่ให้การช่วยเหลือพวกเขา  เขาผู้นั้นก็จะได้รับความกรุณาและการช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง และผู้ใดก็ตามที่ทำสงครามต่อต้านคนเหล่านี้ ก็หมายความว่า เขาผู้นั้นกำลังต่อต้านและเผชิญหน้ากับพระประสงค์ของพระเจ้า

พึงตระหนักเถิดว่าแนวความคิดและทัศนะคติเหล่านี้ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะประชากรกลุ่มเล็ก ๆ ในโลกเพียงแค่นั้น แต่มีประชาชนจำนวนมากมายที่เชื่อมั่นในเรื่องนี้ และในทุก ๆ วันก็มีการให้การศึกษาและการการแพร่กระจายการโฆษณาชวนเชื่อในแง่มุมต่าง ๆ ที่หลากหลายออกไป

ในท้ายที่สุดแล้ว กลุ่มผู้นิยมหลักการเดิม(fundamentalist)เหล่านี้ มีความเชื่อว่า ถ้าบรรดานักการเมืองและผู้ปกครองอเมริกันมีแผนการเพื่อสันติภาพของโลก และโดยสื่อแผนการดังกล่าวทำให้พวกเขาต้องเอาแผ่นดินนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่กลุ่มชนหนึ่งโดยเฉพาะไปจากพวกเขา(ชาวยิว)และนำไปมอบให้แก่กลุ่มชนอื่น แม้แต่เพียงคืบเดียวของมันก็ตาม พวกเขาได้กระทำบาปที่ร้ายแรงที่สุด  และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การละเมิดต่าง ๆ ของอิสราเอลที่มีต่อชาวอาหรับจนเป็นเหตุนำไปสู่สงคราม การฆาตกรรม การยึดครองแผ่นดิน การทิ้งระเบิดหน่วยงานต่าง ๆ และการทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจึงพบว่ามีเหตุผลที่เหมาะสม เพราะทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสนองตอบความสงบสุขและการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยให้แก่อิสราเอล

กลุ่มผู้นิยมหลักการเดิม(Fundamentalist)เหล่านี้ มีความเชื่อว่า ถ้าบรรดานักการเมืองและผู้ปกครองอเมริกันมีแผนการเพื่อสันติภาพของโลก และโดยสื่อแผนการดังกล่าวทำให้พวกเขาต้องเอาแผ่นดินนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่กลุ่มชนหนึ่งโดยเฉพาะไปจากพวกเขา(ชาวยิว)และนำไปมอบให้แก่กลุ่มชนอื่น แม้แต่เพียงคืบเดียวของมันก็ตาม พวกเขาได้กระทำบาปที่ร้ายแรงที่สุด

ตราบช่วงเวลา ที่สหภาพโซเวียตยังไม่ได้ล่มสลายนั้น กลุ่มผู้ยึดมั่นในหลักการเดิมของคัมภีร์ไบเบิล (Evangelical fundamentalist) ได้เรียกระบบการปกครองนี้ว่าเป็นผู้นำของกองกำลังฝ่ายที่ชั่วร้าย และเนื่องจากสหภาพโซเวียตนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาจึงเรียกได้อย่างมั่นใจว่าเป็นผู้นำสงคราม แต่เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง อุดมการณ์ของอาร์มาเกดดอน(Armageddon)ได้สูญเสียอำนาจหลักของตนในการที่จะให้เหตุผลเกี่ยวกับการต่อสู้สงครามนี้  แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมละวางจากจุดยืนเดิมนี้ของตน  และพวกเขาได้แบ่งแยกแผนการต่าง ๆ ใหม่อีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้พวกเขาได้แนะนำชาวมุสลิมในฐานะกองกำลังใหม่ของยะอ์ญูจ(Gog) และมะอ์ญูจ(Magog) และพวกเขาได้เรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาผลิตระเบิดนิวเคลียร์และส่งมอบให้อิสราเอล  ทั้งนี้เนื่องจากว่าไม่เป็นที่อนุญาตใด ๆ ที่พวกเขาจะยุติจากการดำเนินการในเรื่องนี้  และทุก ๆ การหยุดชะงักในขอบข่ายดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้าและการพยากรณ์ของพวกเขาสำหรับอนาคต

แหล่งที่มา :

"ไซออนิสต์ที่ไม่ใช่ยิว" , เรจิน่า ชะรีพ , วารสาร”อัลมะอ์ริฟะฮ์”.

"อาร์มาเกดดอน", มะห์มูด อัลนะญีรี, สำนักพิมพ์ อัลฮิลาล.

"อาร์มาเกดดอน, ไซออนิสต์และโปรเตสแตนต์", ฮัยดัร ริฎอ ซอบิฏ, เว็บไซต์เมาอูด

"Christian Zionism", Sayed Amir Hossein -- Asghari, เว็บไซต์เมาอูด

"ศาสนายิว", Abdul Sarvestani Soleimani, สำนักพิมพ์ ซ่อดัฟ

http://www.yaranesahleh.ir

คัดลอก เว็บไซต์ซอฮิบซะมาน

แสดงความเห็น