สัญญาณทั่วไปก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี

สัญญาณทั่วไปก่อนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี

สัญญาณทั่วไปก่อนการมาปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี

โดย อะบูอะลี

สามารถกล่าวได้อย่างหาญกล้าว่า มัซฮับและสำนักคิดที่กล่าวถึง การปรากฏกาย ผู้ปลดปล่อย ยุคสมัยสุดท้าย นั่นก็คือ มัซฮับชีอะฮ์ อิมามียะ ที่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจน

หากถามชาวคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องการปรากฏกาย พวกเขาจะตอบว่า เราไม่รู้เพราะว่า นี่คือ ความลับของพระเจ้า

ซึ่งในความเป็นจริง ต้องยอมรับในคำพูดของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า จะพูดอย่างไร เนื่องจาก พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้  เหมือนกับที่เราถามพวกเขาว่า และพวกท่านมีความเห็นอย่างไรในความเชื่อที่ว่า พระเจ้านั้นมีสามพระองค์ จะเป็นหนึ่งในสาม หรือสามในหนึ่ง หมายความว่าอย่างไร? พวกเขาก็ตอบว่า ท่านจะต้องมีศรัทธาเสียก่อนแล้วจึงจะเข้าใจ  และเราก็ถามพวกเขาอีกว่า ท่านนั้นมีศรัทธาแล้ว ไหนละ ท่านบอกเรามาดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร  พวกเขาก็ตอบอีกว่า มันเป็นไปไม่ได้และเช่นเดียวกัน ในเรื่องการปรากฏกาย พวกเขาก็ไม่รูเกี่ยวกับรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร?

ดังนั้น ในทุกๆศาสนามีความเชื่อเกี่ยวกับการปรากฏกายและมีการพูดถกเถียงกัน แต่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งมีการดัดแปลงในความเชื่ออันนั้น  และจะมีเพียงแต่ชีอะฮ์อิมามียะฮ์เท่านั้น ที่อธิบายเกี่ยวกับสัญญาณการปรากฏกาย หรือก่อนการปรากฏกายได้อย่างชัดแจ้ง

ความอธรรม การกดขี่ข่มเหงจะมีอยู่เต็มผืนดิน ซึ่งผู้ปลดปล่อยจะมาพิชิตเหนือ ความอธรรมทั้งหลายเหล่านั้น

นิยามของอธรรม นั้นมีมากมาย และสามารถตีความได้หลายความหมายด้วยกัน อย่างเช่น คนใดคนหนึ่งถูกทุบตีโดยที่ไม่มีความผิด หรือ การริดรอนสิทธิผู้อื่น นี่ก็คือ ความอธรรมประเภทหนึ่ง แต่อธรรมที่ผู้ปลดปล่อยองค์สุดท้ายจะมาทำลาย ก็คือ การกดขี่ตัวของมนุษย์เอง  และเราสามารถขจัดความอธรรมนี้ให้ออกไปจากตัวของเรา เหมือนดั่งกับว่า เรา นั้นคือ ท่านซัลมาน อัลฟารซีย์ อีกคนหนึ่งก็เป็นได้

และจะเห็นได้ว่า บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ อิมามผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายนั้น มีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และสูงส่ง นั่นก็คือ ความรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ เป็นความโปรดปรานของพระผู้เป็นที่เจ้าที่ทรงมอบให้แด่พวกท่านเหล่านั้น และคำกล่าวของพวกท่านเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนและถูกต้องที่สุด

บรรดาอุละมาอ์ (นักวิชาการศาสนา) กล่าวว่า บางสัญญาณนั้นเกิดขึ้นจริง และในบางสัญญาณมิได้เกิดขึ้น หรืออาจจะไม่เกิดขึ้น ก็ได้ แต่มีบางสัญญาณที่บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์กล่าวว่า จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ความหมายของ การเกิดขึ้น มิได้หมายความว่า ถ้าสัญญาณนี้ เกิดขึ้น  ท่านอิมามมะฮ์ดีจะปรากฏกายทันที แต่หมายถึง การเกิดขึ้นของสัญญาณเหล่านี้ หลังจากนั้นไม่นาน หรือระยะเวลาหนึ่งท่านอิมามจะปรากฏกาย เหมือนดังลูกตัสเบียะฮ์ ที่ชาวมุสลิมนับกัน ที่จำนวนของมันนั้น อยู่ติดกัน ดังนั้น สิ่งที่บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์กล่าวไปนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้น แต่คำกล่าวของพวกท่าน คือ ข้อพิสูจน์แห่งพระเจ้า เพราะฉะนั้น สัญญาณดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น เราทราบกันดีว่า หลังจากการมาของซุฟยานี หลังจากนั้น ในเวลาอีก 6 เดือน ท่านอิมามจะปรากฏกายให้เห็นกัน และนี่คือสิ่งที่เราเข้าใจจากคำกล่าวของบรรดามะอ์ศูม  

และจากการรายงานต่างๆมากมายที่กล่าวถึงสัญญาณก่อนการมาปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี ถ้าหากว่า เราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดและใช้เวลาให้มากยิ่งขึ้น จะพบว่ามีสัญญาณต่างๆมากกว่า ที่จะกล่าวต่อไปนี้อีก

1.การสร้างความเสียหาย วุ่นวาย  จะเกิดขึ้นในทุกมุมโลก ทุกๆสถานที่ แม้แต่ในมัสยิด

ถามว่า มีบ้านหลังใดบ้างที่บ้านหลังนั้น ทุกๆคนที่อาศัยอยู่ที่นั้น มีความเชื่อและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า แบบที่ไม่มีข้อสงสัย อย่างร้อยเปอร์เซ็น?

ถามอีกว่า มีหลังคาบ้านใดบ้างที่ไม่มีคลื่นดาวเทียม คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต?

ความขัดแย้งกันทางศาสนา จะรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่เคยพบมาก่อนว่า จะมีความรุนแรงมากเพียงนี้ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดกล้าที่จะประกาศในศาสนาที่ตนศรัทธา เพราะว่า เขากลัวจะถูกฆ่า หากว่าเขายอมรับในศาสนาและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของศาสนานั้น

ไม่มีใครก็ที่จะบอกว่า เสียงเพลงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และมีความกล้าที่จะทำบาปต่างๆเพิ่มมากขึ้น

2.ความอธรรม และการกดขี่ข่มเหงจะเกิดมากขึ้น และถือว่า เป็นสาธารณะ

3.ความหมดสิ้นหวังในสิ่งต่างๆในการดำเนินชีวิต ซึ่งผลที่จะได้รับ ก็คือ การฆ่าตัวตาย หรือ การกินยาระงับประสาททางโรคจิต

ถ้าหากว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ก็จะเกิดวิกฤติทางสังคม โดยเฉพาะวิกฤติที่เกิดจากความตึงเครียดและโรคประสาท คาดว่าในปี 2020 จะเกิดวิกฤติดังกล่าว ตามรายงานของนักสังคมวิทยา

4. การแตกแยกจะเพิ่มมากขึ้น  และการแตกแยกนี้ จะไม่มีวันหมดสิ้น และไม่เกิดผลดีอะไรเลยสำหรับมนุษย์ นอกจากเขาจะพบกับความวิบัติ ไม่ว่า การเกิดขึ้นของสงครามโลก ครั้งที่หนึ่ง ที่สอง และคาดว่า จะมีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หรือ จะเป็นการสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย หรือ เกิดการปกครองโดยผู้ปกครองที่ฉ้อฉล

5.มนุษย์จะยอมรับในศาสนาหนึ่งโดยที่ตนเองเคยนับถือศาสนาอื่นได้อย่างง่ายดาย

การที่มนุษย์คนหนึ่งจะยอมรับนับถือในศาสนาหนึ่งนั้น เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยทีเดียว แต่ในสมัยก่อนการมาปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดีนั้น เป็นเรื่องง่าย ดั่งคำรายงานที่กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนศาสนา จะเกิดขึ้นในขณะที่มนุษย์คนหนึ่งเมื่อเขาหลับในยามค่ำคืน ในสภาพที่เป็นผู้ศรัทธา และเขาตื่นมาในสภาพที่เป็นผู้ปฏิเสธ หรือตรงกันข้าม

6. การกินดอกเบี้ย จะเป็นที่รู้จักกันทั่วไป มีคำรายงานกล่าวว่า ในยุคสุดท้าย ไม่มีผู้ใดมีชีวิต นอกจากเขาผู้นั้นเป็นผู้กินดอกเบี้ย หรือ มีกลิ่นของการกินดอกเบี้ยในทรัพสินของเขา

ซึ่งอัลลอฮ์ (ซ.บ) ทรงตรัสว่า ผู้ที่เขานั้นกินดอกเบี้ย หรือให้ดอกเบี้ย เสียงของเขาจะดังและเขาจะเป็นผู้หนึ่งที่ทำสงครามกับพระเจ้า

7.การมีศาสนาและดำรงอยู่ด้วยศาสนานั้น มีความยากลำบากในยุคสุดท้าย ทุกๆศาสนา

ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาคริสต์  ซึ่งปัจจุบันยังไม่ยุ่งยากสักเท่าไร หรือ ชาวคริสเตียนจะดำรงชีพอย่างไรตามคำสั่งสอนของคัมภีร์เตารอตและอินญีล (ไบเบิลเก่าและใหม่)

ดังนั้นการใช้ชีวิตอยู่ของพวกเขาในสภาพที่มีศาสนาไม่ยากกระนั้นหรือ?

มีคำรายงานกล่าวไว้ว่า การมีศาสนาในยุคสมัยสุดท้าย นั้นมีความยากลำบากมากเหมือนกับการเอามือไปจับบนกองไ ฟ และผู้ศรัทธาที่ต้องรักษาศาสนาของตนก็เปรียบเสมือนหมาป่า กับลูกๆของมันที่หนีจากการไล่ล่าไปตามภูเขาทั้งหลาย และมุมิน (ผู้ศรัทธา)ก็เช่นเดียวกัน  เขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้เลย

มีรายงานอีกว่า ถ้าเขาพูดเมื่อนั้น เขาก็จะถูกฆ่า และถ้าเขาหยุดนิ่ง เขาก็จะถูกริดรอนสิทธิ

8.การตกแต่งประดับประดามัสยิด แต่มัสยิดหลังนั้นกลับว่างเปล่าปราศจากผู้คน

หมายความว่า มีคนอยู่ในมัสยิด แต่หัวใจของเขาไม่มีเอกภาพต่อกันและมีความขัดแย้งกัน

ไม่มีใครยอมรับกันและกัน คนหนึ่งต้องการฆ่าอีกคน และอีกคนก็ต้องการฆ่าคนนั้น และมีความขัดแย้งกันในทัศนะทางความคิดกันในมัสยิด

9. การเกิดสงครามอย่างต่อเนื่อง จนไม่มีวันใดที่ปราศจากสงคราม

ตามสถิติรายงานว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือครั้งที่สอง โลกว่างจากสงครามเพียง 14 วันเท่านั้น

10.ความชั่วร้ายและการผิดประเวณีจะเพิ่มมากขึ้น

ในยุคก่อนๆ ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ปัจจุบัน หากพวกเราเพ่งมองอย่างละเอียดในศาสนาต่างๆเช่น ศาสนายิว คริสต์  ฮินดู ฯลฯ  จะพบว่า มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น หรือ ถ้ามีโอกาสลองเดินทางไปตามประเทศต่างสิ จะเห็นในความชั่วร้ายและการผิดประเวณีเกิดขึ้นในสังคมของประเทศนั้น นี่คือ ปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ทางแก้ไขได้

มีรายงานกล่าวไว้ว่า ในอาคิรุซซะมาน (ยุคสุดท้าย)  จะเกิดการรักร่วมเพศเดียวกัน หมายถึง ชายกับชาย และหญิงกับหญิง  และยังกล่าวอีกว่า ระหว่างชายเพศเดียวกัน จะไม่มีความละอาย เหมือนดั่งบิดาที่ไม่มีความละอายต่อบุตรสาวของตน

ความผิดบาป ถือว่า เป็นสิ่งปกติ แม้ว่า โบสถ์เอง ได้ประกาศยอมรับ การแต่งงานของพวกรักร่วมเพศและจัดงานเฉลิมฉลองให้กับพวกนั้น และแสดงความภาคภูมิใจในการมีอยู่ของมนุษย์จำพวกนี้ และประกาศว่า ถ้าใครก็ตามที่คัดค้านและต่อต้าน พวกรักร่วมเพศ ถือว่า เขานั้น คัดค้านและต่อต้านกับสิทธิมนุษยชน

11.การเกิดความแตกแยกระหว่างผู้ศรัทธา

12.การเกิดความแตกแยกระหว่างบรรดาผู้นำโลกอาหรับ

สัญญาณหนึ่งของการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี ก็คือ การเสียชีวิตของกษัตริย์อับดุลลอฮ์  ถือว่า เป็นสัญญาณก่อนการปรากฏกาย มิใช่บอกว่า เมื่ออับดุลลอฮ์เสียชีวิต ทันใดนั้น ท่านอิมามจะต้องปรากฏ แต่เพียงจะบอกว่า การเสียชีวิตของอับดุลลอฮ์ เป็นแค่สัญญาณของสัญญาณทั้งหลาย  เพราะจากการเสียชีวิตของเขา บรรดามุกุฏราชกุมาร จะเกิดการขัดแย้งกันตัวแทนของอับดุลลอฮ์ เป็นอย่างมาก และมีรายงานกล่าวว่า การปกครองจะยาวนานจากปี เป็นเดือน จนกระทั่งถึงเวลาที่กำหนด

13.การตายของมนุษย์จำนวนหนึ่งด้วยกับการตายสีแดงและสีขาว

มีรายงานกล่าวว่า เวลาที่บรรดาประชาชนอยู่ ณ ทุ่งอะรอฟะฮ์ ได้มีข่าวการเสียชีวิตของกษัตริย์อับดุลลอฮ์ และก็เกิดการขัดแย้งกัน และมีการฆ่ากันเกิดขึ้น และในที่สุด จากการขัดแย้งนี้ เป็นสาเหตุที่บรรดาผู้ฉ้อฉลลดน้อยลง นี่คือ ความโปรดปรานหนึ่งของอัลลอฮ์ และยังมีรายงานอีกว่า ก่อนปรากฏกาย จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งได้ล้มตายด้วยการตายแบบสีแดง นั่นคือ การถูกฆ่าในสงคราม และการตายแบบสีขาว นั่นคือ การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายเข้ามารุมเร้า

14.อายุขัยของมนุษย์จะลดน้อยลง

ปัจจุบัน เรื่องนี้ ถือว่า เป็นสิ่งปกติ แต่ในอนาคต พวกเขาจะประหลาดใจและเหมือนกับชนรุ่นก่อนที่ประหลาดใจเมื่อท่านศาสดาได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้

รายงานกล่าวว่า มนุษย์จะมีอายุขัยเพียงเท่านี้

ได้มีอาริฟคนหนึ่งกล่าวขี้นว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันจะทำสูญูด (ก้มกราบ) ต่อพระเจ้าให้นานที่สุด และสิ่งนี้ กล่าคือ อายุขัย ในสมัยของนบีนุฮ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่า นบีนุฮ์ มีอายุถึง 1000 ปีทีเดียว

15. สัจธรรมจะถูกแยกออกจากอธรรมอย่างชัดเจน ก่อนการปรากฏกาย

มีรายงานกล่าวไว้ว่า สัจธรรม จะเริ่มจากเมืองกุม เพราะเมืองกุม จะกลายเป็นนครแห่งความรู้ แม้แต่หญิงที่เป็นแม่บ้านก็รู้ถึงเรื่องนี้

16. เกิดขบวนการที่ต้องการทำลายศาสนาทุกศาสนา ก่อนมาปรากฏกาย  มีการวางแผนมาแล้วมากกว่าหนึ่งร้อยปี  ซึงเรียกว่า สงครามอะมาเกดอน

จะเห็นได้ว่า พวกยิวและคริสเตียน เคยเป็นศัตรูต่อกันมาหลายร้อยปี แต่ในยุคสุดท้าย พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกัน โดยบอกว่า เรามีศัตรูอันเดียวกัน นั่นคือ อิสลาม  และเพื่อที่จะทำลายอิสลาม เราต้องสามัคคีกัน

17. การเกิดขึ้นของบรรดาผู้ปกครองที่ฉ้อฉล ก่อนการปรากฏกาย จะมีผู้ปกครองที่กดขี่ข่มเหงประชาชนในยุคสมัยก่อนการมาของท่านอิมามมะฮ์ดี

18. ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมาม ความชั่วจะแทนที่ความดี และความดีจะแทนที่ความชั่ว ในหมู่มุสลิม การกระทำที่ดี จะเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และตรงกันข้าม สิ่งที่ต้องห้ามจะกลายเป็นความดี

19. ระหว่างผู้คนจะมีจำนวนน้อยที่มีศาสนา และยืนหยัดต่อศาสนาของตน

20.ได้มีรายงานกล่าวว่า ผู้ชายจะเหมือนผู้หญิง และผู้หญิงจะเหมือนผู้ชาย

บางทีอาจจะหมายถึง การผ่าตัดแปลงเพศ  เราจะไม่กล่าวถึงประเด็นนี้ ทางหลักชะรีอะฮ์ (ศาสนบัญญัติ) ว่า อนุญาต หรือไม่ แต่จะกล่าวถึง ในความเป็นจริงมนุษย์ แม้ว่า จะแปลงเพศแล้วก็ตาม จะอย่างไร ก็เพศเดิมนั้นแหละ  ไม่ว่า จะเป็นผู้ชายก็ต้องมีความเป็นผู้ชายอยู่ และผู้หญิงก็เช่นก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี

21. การหย่าร้างจะมากเพิ่มขึ้น ผลสะท้อนของสังคมที่มีการหย่าร้างนั้น เป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวที่มีต่อสังคม เพราะว่า พระเจ้าทรงสร้างคู่ครองมา  และการหย่าร้างในอิสลามเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง ในศาสนาคริสตร์ถือว่า ไม่การหย่าร้างเพราะหลังจากแต่งงานกันแล้ว จะเป็นคู่ครองกันตลอดไป แม้ว่าจะทำการหย่าร้างกันทางกฏหมายก็ตาม เขาทั้งสองก็คือ สามีภรรยากันดังเดิม

22. การไม่ปฏิบัติตามขอบเขตของพระเจ้า

เรื่องเล่าจากประเทศอาเซอร์ไบจัน เป็นประเทศอิสลาม แต่ไม่มีกฏหมายอิสลามในข้อบังคับ ซึ่งจะเห็นว่า มีไนท์คลับ บาร์ ซ่องโสเภณี เปิดกันโดยที่ไม่กลัวในกฏหมาย เพราะรัฐบาลอนุญาตแล้ว แม้แต่การขายลูกสาวเพื่อแลกเงินหรือส่งไปค้าที่ประเทศอื่นๆ  นี่คือ ประเทศอิสลามที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายของอิสลาม

23. สตรีที่ร้องเพลงในสถานที่บันเทิงจะมากเพิ่มขึ้น

24. การทำความผิดบาปจะเกิดขึ้นตั้งแต่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ตะวันตกได้ประดิษฐ์เครื่องเล่นให้กับเด็กผู้หญิงที่อายุ 4 ขวบ เพื่อที่จะนำมาเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวีตตามวิถีตะวันตก ก็คือ การเปลือยกาย  พวกเขาต้องปลูกฝังให้เด็กๆเหล่านั้น เรียนรู้ในการเป็นอยู่ที่ดี คือ ถ้าหากว่า เด็กคนนั้น ต้องการที่จะแสดงความสวยงาม ต้องปลดอาภรณ์ออกจากร่างกายเท่านั้น

25. เครื่องดนตรีการบันเทิงจะมากเพิ่มขึ้น

26.ถ้าจะกระทำการงานใดการงานหนึ่ง จะไม่มีเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดยังพระเจ้า มีรายงานกล่าวว่า เมื่อยามที่ประชาชนไปประกอบพิธีฮัจญ์ พวกเขามีจุดประสงค์ เพื้อไปทำการค้าขาย หรือไปเที่ยว หรืออวดอ้างตนเอง

27. มีคนจนเพิ่มมากขึ้น เขาจะแบมือขอก็ไม่มีผู้ใดให้ ถ้าเขาไม่ขอ เขาก็ต้องตาย หรือจะพินาศ

 

แสดงความเห็น