การรู้จักพระเจ้าคือสัญชาตญาณดั้งเดิม

การศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าคือ

สัญชาตญาณดั้งเดิม (ฟิฏเราะฮ์) ของมนุษย์

 

 

          เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตผ่านพ้นวัยแห่งความเป็นเด็ก และย่างก้าวเข้าสู่วัยที่สามารถจำแนกแยกแยะถึงความดีงามและความเลวร้ายของสิ่งต่างๆได้แล้วนั้น หากเขาย้อนกลับไปยังจิตใต้สำนึก (วิจญ์ดาน) ของตนเอง เขาจะรู้สึกได้ทันทีว่าโดยธรรมชาติแล้ว เขามีความรู้สึกรักชอบการรับใช้เพื่อนมนุษย์ และคุณลักษณะที่น่าสรรเสริญอื่นๆ นั่นหมายความว่าเขาจะตระหนักถึงคุณค่าและความดีงามของคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้ และในการตระหนักหรือการรับรู้สิ่งดังกล่าว เขาไม่ต้องการการเรียนรู้และการอ่านหนังสือแต่อย่างใด หากมีคนใดถามเขาว่า

            "ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ท่านเข้าใจว่า ความซื่อสัตย์ และการพูดความจริง เป็นการกระทำที่น่าสรรเสริญ ?" เขาก็จะให้คำตอบว่า

             "อันที่จริงฉันมิได้เรียนรู้สิ่งดังกล่าวโดยอาศัยหลักฐานและข้อพิสูจน์แต่อย่างใด ทว่าความรู้สึกของความดีงามและความน่าสรรเสริญของมันได้ถูกผสมผสานเข้าอยู่ในสามัญสำนึก และสัญชาติญาณดั้งเดิมของฉัน"

             ความเชื่อมันต่อการมีอยู่ของพระเจ้า (ผู้สร้างโลกและผู้ให้กำเนิดแก่สิ่งมีอยู่ทั้งมวล) ก็จัดอยู่ในเรื่องราวและกิจการต่างๆ ที่รับรู้ได้โดยตรงจากสัญชาติญาณดั้งเดิมของมรุษย์เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะได้รับมาซึ่งความเชื่อถือ ศรัทธาดังกล่าวของมนุษย์ เขาไม่ต้องการครู การเรียนการสอน และการอ่านหนังสือแต่อย่างใด ทว่าโดยการย้อนกลับไปยังสามัญสำนึก และสัญชาติญาณดั้งเดิมของตนเพียงเท่านั้น เขาก็สามารถประจักษ์ได้ว่าโลกและจักรวาลนี้มีผู้สร้าง ผู้ทรงรอบรู้ และทรงอานุภาพ

             ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง เมื่อเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เราก็จะพบว่าความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้นมีปรากฏอยู่ในทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในช่วงเวลาซึ่งมนุษย์ยังคงมีการดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพกึ่งสัตว์ (ซึ่งเรียกว่ายุคหิน) และยังไม่มีวัฒนธรรมและการเรียนการสอนใดๆ เลย เพียงแต่ว่าบางครั้งการจำแนกแยกแยะในพระผู้เป็นเจ้านั้น อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจคาดคิดไปว่าดวงอาทิตย์หรือดวงดาวบางชนิด หรือสิ่งมีอยู่บางอย่างบนพื้นดิน คือพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ส่วนในเรื่องของรากฐานความเชื่อต่อการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้สร้างนั้นปรากฏอยู่ในความนึกคิดของมนุษย์ตลอดมา

            มาถึงจุดนี้ ความหมายของคำว่า

            "ความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าคือสัญชาติญาณดั้งเดิม (ฟิฏเราะฮ์) ของมนุษย์" ก็เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้ว

           จากนี้ไปเราจะขอชี้แจงประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งนั่นก็คือ

            บรรดาสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สามารถตระหนักได้ด้วยจิตสำนึก หรือสัญชาตญาณดั้งเดิมของตนเองนั้น บางครั้งด้วยสาเหตุบางประการได้ก่อให้เกิดความเผอเรอขึ้นในสัญชาติญาณดั้งเดิมดังกล่าว หมายความว่าถ้าหากมีผ้าหน้าๆ ผืนหนึ่งมาขวางกั้นหลอดไปที่กำลังส่องแสงอยู่เอาไว้ แสงไฟย่อมจะไม่สามารถลอดผ่านออกมาได้ ในทำนองเดียวกันสัญชาติญาณแห่งการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า บางครั้งด้วยผลแห่งการทะนงตนในความรู้ หรือบางครั้งด้วยผลของการจมปลักอยู่ในห้วงแห่งตัณหา และอารมณ์ใคร่ต่างๆ สัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ก็จะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งความหลงลืมและเผอเรอได้เช่นกัน มันจะทำให้มนุษย์หลงลืมในพระผู้เป็นเจ้า จนกระทั่งประหนึ่งว่าความเชื่อดังกล่าว (หมายถึงการรู้จักพระเจ้า) นั้น มิได้อยู่ในสัญชาตญาณดั้งเดิม (ฟิฏเราะฮ์) และในจิตสำนึก (วิจญ์ดาน) ของเขา แต่ประการใดเลย ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ม่านหมอกดังกล่าวถูกขจัดออกไป มนุษย์ทุกคนก็จะผินหน้ากลับสู่พระผู้เป็นเจ้าโดยอัตโนมัติ

           ด้วยผลแห่งการกระทำความชั่วของมนุษย์ และการบูชาอารมณ์ใคร่จนเป็นเหตุให้พวกเขาหลงลืม และเผอเรอจากสัญชาติญาณดั้งเดิมแห่งการรู้จักพระผู้เป็นเจ้านั้น เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ อาจจะเป็นในเครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินทะเล หรือสถานที่อื่นๆ โดยเป็นที่ประจักษ์ว่าหนทางแห่งความรอดพ้นถูกปิดลงแล้วสำหรับเขา และมือของพวกเขาก็ไม่อาจไขว่คว้าหาที่พักพิงใดๆ ได้อีกแล้วนั้น พวกเขาก็จะมุ่งหน้าไปสู่พระผู้เป็นเจ้าอย่างพร้อมเพียงกัน และแสวงหาการช่วยเหลือจากพระองค์ นั่นหมายความว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ สัญชาติญาณแห่งการแสวงหา การกระทำความรู้จัก และการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาก็จะปรากฏรูปขึ้นในจิตใต้สำนึกของพวกเขาได้ในลักษณะที่ถูกต้อง

           ท่านอิมามผู้บริสุทธิท่านที่ 6 คือท่านอิมามญะอ์ฟัร อัซซอดิก(อ.) ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าวในคำอธิบายสั้นๆ ของท่านดังรายงานบทหนึ่งที่ว่า

           บุรุษผู้หนึ่งขอร้องให้ท่านอิมาม(อ.) ช่วยชี้นำเขาให้รู้จักกับพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างโลกนี้ (ด้วยการอธิบายหลักฐานบางอย่างซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า) ท่านอิมาม(อ.)กล่าวตอบคำขอร้องของเขาว่า

          "โอ้บ่าวของพระเจ้าเอ๋ย ! ท่านเคยโดยสารเรือเดินทะเลบ้างไหม ?"

          "ใช่แล้ว ! (ข้าพเจ้าเคยโดยสารมัน) "

          "เคยมีเหตุบังเอิญบ้างไหม ที่ทำให้เรือของท่านต้องแตกลงโดยที่ไม่เรือลำอื่นที่จะให้การช่วยเหลือแก่ท่าน และตัวท่านเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นซึ่งจะช่วยให้ท่านรอดพ้นจากการจมน้ำได้ (หมายความว่าในช่วงเวลานั้นท่านไม่สามารถที่จะไขว่คว้าหาการช่วยเหลือจากแหล่งใดๆ ได้อีกแล้ว) ?"

           "ใช่แล้ว !"

           "ในสภาพซึ่งความหวังของท่านได้ถูกตัดขาดลงจากสิ่งอื่นๆ จนหมดสิ้นแล้วนั้น ภายใต้ก้นบึ้งแห่งหัวใจของท่านมิได้มีความหวังต่อสิ่งใดบ้างเลยกระนั้นหรือ ที่จะสามารถช่วยให้ท่านรอดพ้นจากอันตรายที่กำลังเผชิญหน้าท่านอยู่ ?"

           "ทำไมจะไม่เป็นเช่นนั้นเล่า (จิตใจของข้าพเจ้ามีความรู้สึกและตระหนักว่ามีอำนาจหนึ่ง ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือข้าพเจ้า ให้รอดพ้นจากภยันตรายแห่งความตายได้)"

           อิมามซอดิก(อ.) จึงกล่าวเสริมต่อไปว่า "สิ่งดังกล่าวนั้นแหละคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสามารถที่จะให้การรอดพ้น โดยไม่มีผู้ใดจะให้การรอดพ้นได้อีกแล้ว...."

           หมายความว่า : ในยามที่มนุษย์ตกอยู่ในความคับขันและไร้ซึ่งความสามารถใดๆ เขาจะมุ่งแสวงหาและรำลึกถึงผู้นั้นขึ้นมาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และอำนาจแห่งความทระนง ความหลงตนเอง การพึ่งพิงยังมนุษย์ด้วยกันเอง และความมุ่งหวังยังสื่อต่างๆ จากภายนอกถูกขจัดออกไป มนุษย์ก็จะหันหน้าและมุ่งไปหาอำนาจนั้น ผู้นั้นหรืออำนาจดังกล่าวนั้นก็คือ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลนั่นเอง  พระองค์คือผู้ที่จะสนองตอบความต้องการทั้งหลาย และจะเป็นผู้ให้การรอดพ้นแก่ผู้ประสบกับความทุกข์ยากทั้งมวล

 

อธิบายคำศัพท์

         ฟิฏเราะฮ์ สัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงความรู้หรือคุณลักษณะอันบริสุทธิ์ที่พระเจ้าได้มอบไว้ในจิตใจของมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด หรืออาจหมายถึงความรู้สึกทางศาสนาซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยมิจำเป็นต้องผ่านการเรียนการสอนและการแนะนำใดๆ

            วิจญ์ดาน จิตสำนึก สามัญสำนึก มโนธรรม หรือสำนึกทางศีลธรรม คือพลังอำนาจหนึ่งซึ่งแอบแฝงอยู่ด้านในของมนุษย์ และสามารถที่จะตัดสินถึงความดีงาม และความน่ารังเกียจขั้นพื้นฐานของสิ่งต่างๆ ได้โดยตรง.

 

แหล่งอ้างอิง

อัต เตาฮีต เชคศุดูก หน้าที่ 231

แสดงความเห็น