เลี้ยงลูกให้ฉลาด
ทำไมลูกผมถึงได้ไม่เอาไหน พ่อแม่ก็เก่ง ผมเรียนได้ที่ 1 ตลอด แม่ก็ได้ที่ 1″ คุณพ่อคนนี้ บ่นกับผู้เขียนด้วยใบหน้าบ่งบอกความทุกข์ใจ
“แล้วลูกจะเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไร” คุณพ่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อ
ผู้เขียนเข้าใจคนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกได้ดี พอลูกไม่ได้ดีอย่างที่หวัง พ่อแม่ก็เศร้าใจ
เรื่องความฉลาดเป็นเรื่องพูดยาก แม้พ่อแม่จะเก่งกาจ แต่ลูกอาจไม่เก่ง หรือพ่อแม่ไม่ฉลาด แต่ลูกกลับเก่งก็มีให้เห็น เช่น พ่อแม่เป็นช่างตีเหล็ก แม่เป็นแม่บ้านธรรมดา ฐานะยากจน ปรากฏว่าลูกเรียนจบแพทย์ศิริราช แล้วรับใช้ชนบทยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร จนเป็นที่ชื่นชม ของชาวบ้าน
การเลี้ยงลูกให้โง่หรือฉลาดจึงเป็นเรื่องต้องเตรียมตั้งแต่ก่อนเกิด เช่น ตอนตั้งท้อง ต้องกินอะไร ที่บำรุงครรภ์ ไม่ใช่กินแต่ปลาเค็ม (ใส่ฟอร์มาลีน) ปลาร้า เป็นต้น อย่าลืมอาหารหลายชนิดในปัจจุบันมีมลพิษสูงไม่พอ บางคนยังกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ด้วย เพราะตั้งแต่ตั้งครรภ์ ควรกินอาหารบำรุงลูกแต่ไม่ใช่กินจนลูกออกไม่ได้ (เพราะกินเป็น งานหลัก งานอดิเรกคือ ชอบกิน)
“เกรก เรมี” ศาสตราจารย์จิตวิทยาวิจัยเรื่อง ผู้ใหญ่ต่อความฉลาดของเด็กเล็ก ๆ บอกว่า ช่วงนี้พ่อแม่สำคัญ เพราะเด็กจะรับรู้ช้าหรือเร็วพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก เนื่องจากช่วงแรกเกิด ถึง 1 ขวบ จะเป็นการพัฒนาสติปัญญา
สมาคมจิตวิทยาบอกว่า เด็กจะเก่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
- กรรมพันธุ์
- สิ่งแวดล้อม
เป็นเรื่องของสุขภาพ โภชนาการ และการเลี้ยงดู โดยเฉพาะใน ช่วงเล็ก ๆ ที่สมองเริ่มพัฒนา พ่อแม่จึงมีส่วนชาวยกระตุ้นให้สมองทำงานได้ดีขึ้นโดยตอนเกิดใหม่ ๆ สมองจะมีเซลล์ นับล้าน ๆ เซลล์ ที่เรียกว่า นิวรอน บางเซลล์ก็ทำงานได้ดีแต่แรก เช่น การหายใจ แต่บางเซลล์ ก็ต้องรอให้กระตุ้นให้ช่วยสามารถใช้ได้ดี เช่น นิวรอน ในตา ช่วยให้เห็น ภาพต่าง ๆ แล้วยังทำให้โต้ตอบสิ่งนั้น
การให้ลูกฉลาด ต้องเริ่มแต่เล็ก ไม่ใช่เลี้ยงตามมีตามเกิด โดยอาจต้องพูดกับลูก เป็นการพูดกับลูกแต่แรกเกิด โดยลูกจะรู้หรือไม่รู้ไม่ต้องใส่ใจ ขอให้พูดกับลูกไปเรื่อย ๆ เด็กจะรับรู้โดยไม่รู้ตัว สังเกตได้ว่า เด็กหลายคนจะพูดตาม
การพูดนอกจากจะช่วยด้านสติปัญญาแล้ว ยังทำให้เด็กได้ศัพท์ ทำให้รู้จักประโยค หลากหลาย เช่น เด็กเล็ก ๆ ไปอยู่กับใครก็พูดแบบคนนนั้น แสดงว่าเด็ก ๆ รับรู้ภาษา ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ลูกฝรั่งที่มีพี่เลี้ยงเป็นชาวอีสานพูดอีสานคล่อง ขณะที่เด็กไทยไปอเมริกา พูดภาษาอังกฤษได้ดี
เด็กจะฉลาดหรือไม่อยู่ที่บรรยากาศของบ้าน จะต้องเป็นบ้านที่เพิ่มพูนสติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือของเล่น
คุณพัตรจะมีหนังสือไว้ในห้องนอน อ่านให้ลูกชายฟัง ตั้งแต่ 2 เดือน ทั้งสองคน ผลก็คือ ลูกชายทั้งคู่รักการอ่านจนทุกวันนี้ เป็นการอ่านหนังสือที่ชอบทุกชนิด นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกจับใจความได้ง่ายและพูดอะไรเป็นเหตุเป็นผล หรือสามารถแต่งอ่านเอาเรื่องได้ แม้แต่ของเล่น คุณพัตรจะซื้อของที่เพิ่มพูนความฉลาด เช่น เกมต่อเป็นรูปต่าง ๆ สมัยนั้นก็ใช้กริโกที่มีเป็นชิ้น ๆ แล้วให้ลูกต่อของที่แกชอบ ไม่ว่าจะเป็นรถ บ้าน สัตว์ พอโตขึ้นก็ซื้อของที่ต่อยากขึ้น เป็นการให้ลูกใช้สมองคิดและค้นหาคำตอบ ซึ่งเท่ากับ เหมือนการลับมีดให้คม
“นายแพทย์แฮรี่ ชูกานี่” ผู้เชี่ยวชาญกุมารเวชศาสตร์ แห่งโรงพยาบาลเด็ก ในมหาวิทยาลัย เวน สเตท กล่าวว่า สมองเด็กใช้ได้ดีพอ ๆ กับตอนเป็นผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็ก ๆ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ง่ายนั่นเองถ้าเราสอนให้แกได้รู้จักเรียนรู้
ถ้าอยากให้ลูกฉลาดต้องให้ลูกเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าแกจะเล็กแค่ไหน ก็สามารถทำได้ เช่น เด็กนอนในเปล จะดูรอบตัว คนสมัยก่อนให้ลูกนอนเปล โดยมีปลาเงินปลาทอง ที่ทำด้วยใบลานสีสวย ๆ แขวนอยู่กลางเปล ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เป็นของเล่นห้อยหมุน ๆ เด็กจะดูด้วยความสนใจ แล้วเอื้อมมือไปจับ จับแล้วก็เอามาอม หรือฟาด หรือถู หรือดึง ซึ่งก็แสดงว่าแกเริ่มใช้สมองหาประสบการณ์
ผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่า จะให้ดีต้องเล่นโดยลดตัวให้เท่าแก เช่น ถ้าลูกคลานเราน่าจะคลาน กับลูกเพื่อแกจะได้เห็นหน้า (ใหญ่ ๆ) ของเราให้อุ่นใจ รวมทั้งเล่นกับแก เช่น ส่งตุ๊กตา หรือลูกบอลให้ หรือไม่ก็บอกให้ลูกส่งตุ๊กตา หรือลูกบอลให้คุณ หรืออาจถามลูกว่า “ลูกบอลอยู่ไหน” ถ้าแกชี้ก็ชมว่า “เก่ง”
“เอาตุ๊กตาให้แม่” ถ้าแกหยิบให้ก็ขอบใจแก หรือถามแกว่า กางเกงสีเขียวอยู่ไหน หรือกางเกงสีแดงอยู่ไหน ถ้าแกทำได้ก็แสดงว่าแกสามารถแยกสีได้ แม้เด็กบางคน จะพูดไม่ได้ ซึ่งจะเป็นประจำในเด็กวัย 1 ขวบ
เพลงช่วยสร้างสมอง เพราะเพลงบางเพลงจะเล่าเป็นเนื้อเรื่อง ทำให้เด็กเกิดจินตนาการตาม เช่น เพลงเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านหรือธรรมชาติ ไม่ว่าเป็นนก ต้นไม้ กุ้ง ปลา ผู้เขียนจำได้ว่า ท่องสูตรคูณ ตั้งแต่สูตร 1-12 ได้ เพราะเพลงที่เริ่ม 1 บวก 1 เป็น 2 และ 2 บวก 2 เป็น 4 เป็นต้น ถ้าให้จำธรรมดาคงจำยาก
แม้แต่ ก ถึง ฮ ก็จำได้ด้วยการร้องเพลง เช่น ก เอ๋ย ก ไก่, ข ไข่ อยู่ในเล้า ฯลฯ เป็นการทำเสียงสูงต่ำแบบเหมือนร้องเพลงเลยจำแม่น แม้แต่ A ถึง Z เราก็จะส่งเสียงท่องเหมือนร้องเพลง เพลงเด็กต่าง ๆ ในปัจจุบันมักจะแต่งได้ไพเราะ และมีความหมาย มีคุณธรรมทำให้เด็กเพลิดเพลินในการร้องและจำเนื้อเรื่องได้ง่าย
“ศาสตราจารย์ฟิกสิกส์ กอร์ดอน ชอว์” เน้นว่า คณิตศาสตร์กับเพลง จะช่วยสร้างพลังสมอง ของเด็ก อาจทำให้เด็กคิดเร็วขึ้น
ให้กำลังใจเมื่อทำผิด ชมเชยเมื่อทำดี
เด็กเล็ก ๆ ไม่มีประสบการณ์ย่อมทำผิดได้ และอย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่ก็ทำผิดไม่น้อย เวลาผิดห้ามซ้ำเติม เพราะ เด็กจะกลายเป็นคนขาดกลัว ไม่กล้าแสดงออก ทำให้สมอง ไม่พัฒนาเท่าที่ควร ควรจะออกมาในรูปที่ให้กำลังใจ เช่น แกลุกขึ้นเดินแล้วล้ม ก็ต้องบอกว่า
“ไม่เป็นไรลูก ลองลุกขึ้นใหม่นะ”
พอแกทำได้ ก็ต้องชมเชย
“ดีมากลูก เก่ง”
แต่พูดด้วยปากเด็กเล็ก ๆ จะไม่เข้าใจ ต้องสื่อด้วยภาษาทางกาย เช่น ปรบมือ ยิ้ม มองตาแก การมองตานี้ ควรทำตั้งแต่แกยังเป็นทารก เช่น ไม่กี่เดือน ควรอุ้มแก แล้วพูดด้วยการมอง ที่หน้าแก แกจะได้รู้ว่า คนอุ้มแกหน้าตาเป็นแบบไหน แม่หน้าตาแบบนี้ (สมองเริ่มสั่ง) พ่อต่างกับแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็ไม่เหมือนกัน เป็นการรับภาพ และสมองได้ทำงาน แยกส่วนต่าง ๆ ที่ต่างกัน แล้วทำให้ทารกดูออกอีกว่า ที่หน้าตาไม่คุ้นไปจากบบ้านเป็นอย่างไร สังเกตพอเด็กทารกมีคนแปลกหน้ามาอุ้ม จะร้องลั่น
บทบาทสมมติ มีส่วนทำให้เด็กแยกแยะว่า สิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร เช่น แม่ร้องเมี้ยว ๆ ให้ลูกฟัง เพื่อบอกลูกว่านั่นคือเสียงแมวหรือหมา ร้องอย่างไร
บางครั้งถ้าเด็กทารกพอพูดได้ ก็ให้ทำเสียงสัตว์ที่แกชอบก็ได้ หรือถ้าแกโตพอจะเล่น บทพี่บทน้อง ก็ให้เด็กทำไป แกจะได้รู้ว่า คนเป็นพี่หรือน้องต้องทำตัวอย่างไร
บางครั้งให้แกป้อนนมตุ๊กตา เพื่อให้แกรู้ว่า การเป็นพ่อแม่ พี่เลี้ยง ควรช่วยคนอื่น ที่อ่อนแอกว่า
สรุปแล้ว เด็กเกิดมาไม่ได้อยู่ ๆ ก็จะฉลาดได้ ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์บวกอาหารการกิน การเลี้ยงดู หรือบรรยากาศรอบตัวเด็ก ถ้าพ่อแม่ไม่ช่วยลูกแต่แรก ลูกคงจะฉลาดไม่ได้ เท่าที่ควร แม้พ่อแม่จะเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม
รศ.สุพัตรา สุภา
แสดงความเห็น