ทำไมเราจำเป็นที่จะต้องมีความรักไปยังท่านศาสดามูฮัมมัด และวงศ์วานของท่าน

ทำไมเราจำเป็นที่จะต้องมีความรักไปยังท่านศาสดามูฮัมมัด และวงศ์วานของท่าน

ท่านอิมามบาเก็ร( หลานชายท่านที่ห้าของท่านศาสดามูฮัมมัด)ได้กล่าวว่า:

“ศาสนาอิสลามอยู่บนพื้นฐานของห้าประการ คือ นมาซ จ่ายซะกาต การถือศิลอด การบำเพ็ญฮัจญฺ์และการยอมรับและมอบความรักในวิลายัต(ผู้ถือสาสน์ของพระผู้เป้นเจ้า) ซึ้งไม่มีสิ่งใดจะถูกเน้นย้ำเหมือนวิลายัตเลย”

คำว่า” วิลายัต” มีสองประเภทด้วยกัน ดังนี้

1.วิลายัตในความหมายโดยร่วม หมายถึง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิงนั้นจะต้องมีความเมตตาต่อกันและกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และชักชวนให้กระทำความดี ห้ามปรามไม่ให้กระทำความชั่ว

2.วิลายัตที่ให้ความหมายเฉพาะเจาะจง คือให้ความหมายของผู้นำ(ผู้ถือสาสน์ของพระผู้เป็นเจ้า) ซึ่งสามารถที่ใช้ได้เฉพาะกับท่านศาสดาและวงศ์วานลูกหลานของท่านศาสดา ที่พระองค์ทรงใช้ให้เราปฏิบัติพวกท่าน

ซึ่งจากคำกล่าวของท่านอิมามบาเก็รเบื้องต้นนั้นได้ให้ความหมายของคำว่า วิลายัต ในความหมายที่สองนั้นหมายถึงการยอมรับในการเป็นผู้นำของท่านศาสดาและวงศ์วานลูกหลานของท่านศาสดา

ในเวลาที่มนุษย์มีความรักผู้ใดผู้หนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าผู้ที่เขารักต้องการสิ่งใด หรือสั่งอะไรแก่เขา เขาผู้นั้นก็จะทำทุกอย่างเพื่อที่ให้ผู้ที่เขารักนั้นพอใจไม่ว่าหนทางนั้นจะลำบากหรือเหนื่อยแค่เขาก็พร้อมที่ทำและอดทนที่จะไปถึงผู้ที่ตนรัก หากเราบอกว่าเรารักพระผู้สร้าง จำเป็นที่เราจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามในคำสั่งของพระองค์ พระองค์ทรงให้เราปฏิบัติตามท่านศาสดาและวงศ์วานลูกหลานของท่าน หน้าที่ของเราคือปฏิบัติ เพราะพระองค์ทรงรู้ดีที่สุดว่าหนทางที่นำพามนุษย์ไปสู่เป้าหมายที่สมบูรณ์ที่สุดคือทางใด

พระองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกรุอ่าน ว่า:

“เจ้า(โอ้มูฮัมมัด)จงประกาศเถิด(แก่ประชาชาติ) มาดแม้นว่าพวกท่านมีความรู้ในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านก็จง(ประพฤติ)ตามฉัน แน่นอนว่า พระผู้เป็นเจ้าจะรักพวกท่าน) บทที่3โองการที่31 จากคัมภีร์อัลกรุอ่าน โองการนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เพียงแค่การที่เรามีความรักไปยังท่านศาสดาเท่านั้น ที่จะเป็นสาเหตุให้พระองค์ทรงมอบความรักแก่เรา แต่ทว่ายิ่งไปกว่านั้น การเชื่อฟังไปท่านศาสดานั้นเป็นข้อบ่งบอกถึงการมีความรักอย่างแท้จริงไปยังพระผู้เป้นเจ้า

ท่านอิมามมูฮัมมัด บาเก็ร อิมามท่านที่ห้าได้กล่าวว่า:“ หากท่านต้องการที่จะรู้ว่า ทางที่ท่านกำลังเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางที่ดีและถูกต้องหรือไม่นั้น ให้ท่านมองลงไปในหัวใจของท่านเอง หากว่าหัวใจของท่านมีความรักในพระเจ้าและเกลียดชังไปยังผู้กระทำบาป จงรู้ไว้ว่าทางที่เดินอยู่นั้นคือเส้นทางที่ดีงาม แต่ทว่าหากหัวใจของท่านเกลียดชังผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าและรักไปยังผู้กระทำบาป จงรู้ไว้ว่าทางที่ท่านเดินนั้นไม่มีสิ่งดีงามใดใดอยู่เลย และพระองค์ก็จะถือว่าท่านคือศรัตรูของพระองค์ และจะนำท่านไปอยู่ร่วมกับผู้ที่ท่านรัก”

และได้มีสายรายงานได้กล่าวว่า ใครก็ตามที่ในตลอดช่วงเวลาในชีวิตของเขาอยู่กับการทำความดีอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการนมาซ การถือศิลอด จ่ายซะกาตและคุมส์ เข้าร่วมการบำเพ็ญฮัจญ์ เข้าร่วมการทำสงครามในหนทางของพระเจ้า แต่ทว่าในหัวใจของเขาปราศจากความรักไปยังท่านศาสดา การกระทำความดีของเขาก็ไร้ซึ้งประโยชน์อันใด

ดังนั้น ความดีงามต่างๆที่เขาได้ปฏิบัตินั้นจะถูกตอบรับหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า เขาคนนั้น ปมีความรักไปยังอะลุลบัยต์(ลูกหลานท่านศาสดา)และเกลียดชังต่อผู้ที่ต่อต้านท่านเหล่านี้ หรือไม่นั้นเอง

อะลุลบัยต์ของท่านศาสดาท่านแรกที่หมายถึงคือท่านอิมาม(ผู้นำ)อะลี เพราะท่านคือผู้ปกครอง ผู้นำมนุษยชาติ หลังจากท่านศาสดา ซึ่งท่านอิมามอะลีได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองโดยพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านท่านศาสดาและจำเป็นที่เราจะต้องมอบความรักให้แก่ท่าน และลูกหลานของท่าน(ซึ่งคือผู้ปกครองท่านต่อๆไป) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้อัลกรุอ่านบท มะอิดะ โองการที่๕๕ ว่า: “อันความจริงผู้นำของเจ้าทั้งหลายนั้นคือ พระผู้เป็นเจ้า ศาสนทูตของพระองค์และบรรดาผู้มีความศรัทธา ซึ่งพวกเขาดำรงการนมาซ และบริจาคทานในขณะที่ก้มสดุดีต่อพระองค์”

ซึ่งจากโองการข้างต้นผู้ที่ทำการบริจาคทานไม่มีผู้ใดเลย นอกเสียมีอยู่เพียงผู้เดียว นั้นคือ ท่านอิมามอะลี ซึ่งที่มาของโองการนี้ ดังนี้…

มีชายคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในมัสยิด(สถานที่เป็นศูนย์รวมของผู้ที่ทำการนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้า) และวิงวอนขอต่อพระเจ้าให้ประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา ในขณะนั้นท่านอิมามอะลี กำลังทำนมาซอยู่ ในขณะที่ท่านได้ทำการโค้งคำนับ(ก้มสดุดี) ท่านได้ทำการกระดิกนิ้วที่มีแหวนอยู่เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้ชายผู้นั้นเอาแหวนไป หลังจากเหตุนี้เกิดขึ้น พระองค์ทรงประทานโองการนี้ลงมา

ท่านศาสดาได้กล่าวว่า:

“ผู้ใดก็ตามที่ฉันเป็นนายของเขา ดังนั้น อาลีผู้นี้คือนายของเขาด้วย”ป

ท่านศาสดาได้กล่าวประโยคนี้ในวันที่ท่านแต่งตั้งท่านอิมามอะลีเป็นผู้นำหลังจากท่าน โดยได้รับคำสั่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า และท่านศาสดาได้กล่าวอีกว่า: “โอ้อะลี ใครก็ตามที่บอกว่ารักฉัน ในขณะที่ผู้นั้นเป็นศรัตรูกับเจ้า เขาผู้คือผู้ที่โกหก”

จากหลักฐานท่านหมดที่กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่านอิมามอะลี หากเรารักไปยังท่านอิมามอะลีแสดงให้เห็นว่าเรายอมรับในการผู้นำ(วิลายัต)ของท่านอะลี ซึ่งหากทางกลับกันเราก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้ปฏิเสธทันที พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ชี้นำทางแก่มวลมนุษย์ของพระองค์โดยการชี้แนะถึงผู้ที่เราควรปฏิตาม และยึดถือเป็นผู้นำแล้วเราจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน นั้นคือพระผู้เป็นเจ้า ศาสนทูตของพระองค์และวงศ์วานลูกของท่านศาสดาซึ่งท่านแรกนั้นคือท่านอิมามอะลี ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้

แสดงความเห็น