คุมซ์ในอิสลาม
ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระผู้เป็นเจ้า ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง…
“จงรู้ไว้ด้วยว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าได้รับประโยชน์ดังนั้นจำนวนหนึ่งในห้าของสิ่งดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ของศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานของท่าน ของเด็กกำพร้า ของคนยากจนอนาถาของผู้เดินทาง หากพวกเจ้ามีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งที่ได้ประทานแก่บ่าวของเราในฟรุกอนคือวันที่กลุ่มสองกลุ่มได้เผชิญหน้ากัน และพระผู้เป็นเจ้า ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง”
(อัลฟาล โองการที่ ๔๑)
คุมซ์
ความหมาย
คุมซ์ คือ ชื่อของภาษีชนิดหนึ่งซึ่งมุสลิมทุกคนที่มีรายได้คงเหลือหลังสิ้นปีหรือมีเงินออมหรืออยู่ในกฎเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่มีภาระผูกพันต้องจ่ายคุมซฺจำนวน ๑ใน ๕ ของเงินดังกล่าวหรือ๑ใน๕ของมูลค่าทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ที่อำนาจเต็มในการเก็บคุมซฺ คือ ผู้นำศาสนาที่มีอำนาจเต็มในการบริหารกิจการของโลกมุสลิมทั้งหมด
ความสำคัญ
คุมซฺเป็นภาระผูกพันหนึ่งของผู้ที่อยู่ในกฎเกณฑ์ต้องจ่าย พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดว่าเป็นสิ่งสำคัญประเภทหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้ พระองค์ได้กำหนดให้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานของท่าน โดยการแลกเปลี่ยนกับการที่ท่านไม่ต้องรับซะกาตอันเป็นการให้เกียรติแก่พวกท่านเหล่านั้น และผู้ใดก็ตามที่หวงห้ามมันไม่ยอมจ่ายมันแม้นแต่บาทเดียวเขาก็จะตกอยู่ในสภาพของผู้อรรม ผู้ริดรอนสิทธิของพวกท่านเหล่านั้นเขาเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะตกอยู่ในสภาพของผู้ปฏิเสธ
สิ่งที่ต้องจ่ายคุมซฺ
๑.ทรัพย์เชลยสงคราม
ที่ได้มาจากการสู้รบกับผู้ปฏิเสธ โดยมีข้อแม้ว่าสงครามนั้นต้องได้รับอนุญาตทำสงครามจากผู้นำเสีย(อิมาม)ก่อน
๒.แร่ธาตุต่างๆ
อันได้แก่ ทอง เงิน แร่เหล็ก หินมีค่า อัญมณี ฯลฯ ผู้ที่ขุดมันขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือผู้ปฏิเสธก็ตาม จะพบอยู่ในดินหรืออยู่บนดินก็ตาม เมื่อครบพิกัดของมันแล้วคือ ๒๐ ดิรฮัม(คิดตามมูลค่าของมัน)ต้องจ่ายคุมซฺ ๑ใน๕ของมูลค่าของมัน หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการเอามันออกมาแล้ว
๓.ขุมทรัพย์
ไม่ว่าจะอยู่ในดิน ในภูเขาใต้ต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นขุมทรัพย์ ไม่ว่าจะขุดพบในประเทศมุสลิมหรือประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศมุสลิมก็ตาม ในเรื่องขุมทรัพย์นี้ก็มีอัตรพิกัดเหมือนเรื่องแร่ธาตุ
๔.สิ่งที่งมได้จากทะเล
เช่นไข่มุก หินปะการัง ฯลฯ เมื่องมขึ้นมาได้แล้วก็ติดตามมูลค่าจ่ายออกไป๑ใน๕ของมูลค่านั้น
๕.สิ่งฮะรอมที่ปนอยู่กับสิ่งฮาลาล
ในกรณีที่มีของอยู่สิ่งหนึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นของฮะล้าลหรือของฮะรอม โดยแยกไม่ออกว่าจำนวนสิ่งที่เป็นฮะล้าลหรือฮะรอมนั้นมีอยู่เท่าใด หรือไม่รู้ว่าสิ่งของชึ้นหนึ่งมีใครเป็นเจ้าของ กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องจ่ายคุมซฺ๑ใน๕ของมูลค่าของมัน
๖.ที่ดินซึ่งผู้ปฏิเสธที่อยู่ในประเทศมุสลิมซื้อมาจากมุสลิม
ไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้างหรือไม่มีก็ตาม จะเป็นร้านหรือโรงแรมก็ต้องออกคุมซฺเป็นจำนวน ๑ใน ๕ของมูลค่ามัน
๗.รายได้ส่วนเกินประจำปีหรือผลกำไรค้าขาย
หมายความว่าถ้าหากเรามีเงินเก็บหรือเมื่อหักจากรายจ่ายประจำปีแล้วมีเงินเหลือ หรือถ้าหากทำการค้าพอถึงสิ้นปีคิดบัญชีสินค้าแล้วมีกำไร เงินส่วนนี้ต้องจ่ายคุมซฺ ๑ใน๕ ของมูลค่าของมัน
ส่วนแบ่งของคุมซฺ
คุมซฺจะถูกแบ่งออกเป็น๖ส่วนด้วยกันคือ
๑.ส่วนของอัลลอฮฺ
๒.ส่วนของศาสดา(ศ)
๓.ส่วนของท่านอิมาม
ทั้ง ๓ ส่วนนี้ในสมัยปัจจุบันเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านอิมามมะฮฺดี
๔.ส่วนของเด็กกำพร้า
๕.ส่วนของคนยากจนอนาถา
๖.ส่วนของคนเดินทาง
ข้อแม้ของผู้รับในสามส่วนสุดท้ายต้องเป็นผู้ที่มีอีหม่านในกรณีของเด็กกำพร้าต้องยากจนด้วย ในกรณีของคนเดินทางต้องมีความจำเป็นในการใช้เงินระหว่างทางหรือที่พำนัก
ผู้มีสิทธิ์รับคุมซฺ
คือผู้ที่เป็นซัยยิด(ลูกหลานของท่านศาสดา)ที่สืบเชื้อสายทางฝ่ายบิดาไปถึงท่านศาสดา
คุณลักษฺณะซัยยิด(ลูกหลานของท่านศาสดา)
๑.ยากจนหรือพลัดถิ่น
๒.ไม่ทำบาปอย่างเปิดเผย
๓.เป็นชีอะฮฺอิมามมียะฮฺ
๔.จะต้องไม่ใช่บุคคลที่ผู้จ่ายคุมซฺจะต้องรับผิดชอบในนัฟเกาะฮฺของเขา (กล่าวคือไม่ใช่ ภรรยา หรือบุตรของผู้จ่ายคุมซฺ)
วิธีจ่ายคุมซฺ
ต้องส่งให้ถึงมือผู้มีอำนาจเต็มในการเก็บคุมซฺ(อาจจะเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาที่เราปฏิบัติตามอยู่หรือผู้รู้ที่มีอำนาจสูงสุดในปกครอง)หรือส่งผ่านตัวแทนที่มีหน้าที่เก็บคุมซฺ
ทรัพย์สินต่อไปนี้ที่ไม่ต้องจ่ายคุมซฺ
-มรดกที่ได้รับมา
-ของขวัญหรือรางวัลต่างๆ
-สิ่งที่บุคคลให้โดยเสน่หา
-ทรัพย์สินที่ได้มาโดยคุมซฺ,ซากาตหรือการบริจาคอื่นๆ
แสดงความเห็น