ความสำคัญของการรู้จักพระเจ้า
ความสำคัญของการรู้จักพระเจ้า
เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ และจะพบได้ว่าในหน้าประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนถึง ความเชื่อของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้ามาอย่างยาวนาน และถือว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และด้วยเหตุนี้ หน้าที่หลักของมนุษย์ คือ การรู้จักพระเจ้า และมีความเชื่อต่อพระองค์ ดังนั้น จะเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง มนุษย์ที่มีความเชื่อต่อการมีอยู่จริงของพระเจ้า กับมนุษย์ที่ไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ และระหว่างมนุษย์สองคนที่มีความเชื่อต่อพระเจ้าเหมือนกัน ก็พบว่า มีความแตกต่างกัน เพราะว่ามนุษย์คนหนึ่ง มีความเชื่อที่แตกต่างไปจากอีกคนในเรื่องของการจินตนาการหรือการสร้างมโนภาพเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวความคิดของเขา ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การมีความเชื่อในประเด็นที่เกี่ยวกับพระเจ้าและคุณลักษณะ (ซิฟัต) ของพระองค์ จึงมีผลต่อการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติกิจการงานของมนุษย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การมีความศรัทธาต่อพระเจ้า ทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้นมีคุณค่า และการใช้ชีวิตของเขานั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น
ความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า
การรู้จักพระเจ้า เป็นหนึ่งในความเชื่อของมนุษย์ที่มีมาแต่เดิมด้วยกับสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาเอง ซึ่งความเชื่อนี้อยู่ควบคู่มาพร้อมกับการถือกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้น การรู้จักสัญชาตญาณดั้งเดิม จึงเป็นการรู้จักสภาพเบื้องต้นและเป็นขั้นตอนแรกในการรู้จักพระเจ้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า การรู้จักพระองค์ในลักษณะนี้ ไม่ถือว่าเป็นการรู้จักที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการรู้จักพระองค์
บรรดานักเทววิทยาอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า พวกเขาได้นำเอาเหตุผลต่างๆมากมายมาพิสูจน์ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ ซึ่งจะขอนำบทพิสูจน์ดังกล่าวมาเสนอ เพื่อเป็นตัวอย่าง ดังนี้
1.การสกัดกั้นภยันตรายและผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สามารถสรุปได้ว่า บทพิสูจน์นี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลามได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่ได้ส่งบรรดาศาสดามาในทุกๆประชาชาติเพื่อชี้นำและตักเตือนมวลมนุษยชาติทั้งหลาย และเชิญชวนพวกเขาเหล่านั้นไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์
และถ้าหากว่า พวกเขามิได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย จะพบกับภยันตรายและผลเสียที่จะได้รับ และหากว่าเขาไม่ศรัทธาในคำสั่งสอนของบรรดาศาสดา ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า คำสอนของพวกเขานั้น มีความถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงก็ได้ และในสภาพเช่นนี้ ความคิดที่เกิดขึ้นในสติปัญญาของเขาที่ว่า ถ้าหากว่าการเชิญชวนของบรรดาศาสดานั้นเป็นจริงและถูกต้อง ผลที่จะได้รับจากการไม่เชื่อฟังในคำสอนของพวกเขา คือ การได้รับการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และเขาจะได้รับภยันตรายจากการที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดาเหล่านั้น โดยกล่าวอีกนัยหนึ่ง สติปัญญาของมนุษย์เนั้นย้ำเตือนเสมอว่า ให้เขาหลีกเลี่ยงออกห่างจากภยันตรายและผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
และเมื่อมนุษย์คาดว่า การที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดา พวกเขาจะถูกลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้านั้นเช่นกัน ด้วยกับความจำเป็นนี้ จึงต้องหลีกเลี่ยงจากอันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเจ้า และคุณลักษณะของพระองค์ เพราะถ้าหากว่า พระเจ้ามีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่า การเชิญชวนของบรรดาศาสดานั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงออกห่างจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นนี้ มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดา และยอมรับในการมีอยู่จริงของพระองค์
2.การสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ (ผู้มีบุญคุณ)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกๆคนต่าง ได้รับปัจจัยยังชีพอันมากมายมหาศาล ซึ่งพวกเขานั้นไม่ได้เป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้แก่กันและกัน หรือนำพาปัจจัยยังชีพมาพร้อมกับการถือกำเนิดของพวกเขาเอง แต่ทว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพเหล่านั้นให้แก่พวกเขา ในขณะที่สติปัญญาของมนุษย์กล่าวย้ำเสมอว่า จำเป็นที่จะต้องสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่มีบุญคุณต่อเขา และพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่มีบุญคุณและเป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้เขา ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีบุญคุณ ก็จำเป็นต้องรู้จักผู้มีบุญคุณเสียก่อน ซึ่งผู้นั้น ก็คือ พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง และพระองค์ คือ ผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้กับมนุษย์รวมถึงบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังนั้น การรู้จักพระผู้เป็นเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และสติปัญญาได้กล่าวย้ำว่า มนุษย์จำเป็นที่จะต้องรู้จักผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ นั่นก็คือ การรู้จักพระเจ้า
แสดงความเห็น