อิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์ ตอนที่๒



อิสลามคือศาสนาที่สมบูรณ์ ตอนที่๒


 

อิสลามกับเสรีภาพทางความคิด


อิสลามเป็นศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่บนเหตุผล และหลักฐานและมีความอิสระทางความคิด อิสลามมิใช่ศาสนาที่คลุมถุงชนทางความคิด หรือมีบีบบังคับให้เชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่รับฟังเหตุผลของคนอื่น อัล-กุรอาน กล่าวว่า  “ไม่มีการบังคับใด ในศาสนาอิสลามแน่นอนความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด” (อัล-กรุอาน บทอัล บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 256)


อิสลามถือว่าเป็นความจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน ที่ต้องมีการตรวจสอบความเชื่อศรัทธาก่อนที่เขาจะเชื่อในเรื่องนั้น อิสลามไม่อนุญาตให้เชื่อสิ่งใดโดยปราศจากเหตุผล และหลักฐานหรือเชื่อโดยไม่ใช้สติปัญญา แม้ว่าบทบัญญัติบางอย่างของอิสลามจะเป็นการปฏิบัติตามเพียงอย่างเดียวก็ตาม (ตะอับบุดี) โดยไม่มีคำถามว่าทำไม เพื่ออะไร เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า บทบัญญัติเหล่านั้นได้เริ่มมาจากเทวโองการ ปราศจากความผิดพลาด และผู้ที่ทำการสั่งสอนบทบัญญัติคือ ท่านศาสดาและอิมามผู้บริสุทธิ์


อิสลามได้ห้ามการปฏิบัติตามความเชื่อของบิดามารดาในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่ได้สั่งว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้สูเจ้าต้องใช้สติปัญญาใคร่ครวญเอาเอง ขณะเดียวกันได้กำชับว่าต้องเป็นสติปัญญาที่มีความแข็งแรงพอในการขบคิดหาเหตุผล และปฏิบัติตามความเชื่อมั่นและความรู้ ดังอัล-กุรอาน กล่าวว่า   “และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน” (อัล-กรุอาน บทอัล  อิสรอ โองการที่ 36)

อิสลามได้กล่าวกลุ่มชนที่ปฏิเสธความจริงว่า พวกเจ้าอธิบายเหตุผล และปัญหาต่าง ๆ ที่พวกเจ้าไม่เชื่อมา หลังจากนั้นจงฟังคำตอบ อัล-กุรอาน กล่าวว่า  “และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่านั้นนั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง” (อัล-กรุอาน บทอัล บะเกาะเราะฮฺ  โองการที่ 111)

ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่ามีพวกยะฮูดี และพวกนัศรอนีจำนวนมากได้วิพากษ์กับท่านศาสดา และบรรดาอิมามบนเรื่องราวของศาสนาในศตวรรษต่อมาเช่นกันพวกชนกลุ่มน้อยมักนิยมทำการวิพากษ์กับบรรดา นักปราชญ์และ(ผู้รู้)ของอิสลามบนเรื่องราวของศาสนาเช่นกัน ตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้


เจ้าของหนังสือ ตะมัดดุนอิสลาม ได้บันทึกไว้ว่า ในแบกแดดได้จัดประชุมหลายต่อหลายครั้งซึ่งในแต่ละครั้งได้มีตัวแทนจาก ยะฮูดี นัศรอนี ฮินูด และดะห์รีเข้าประชุมด้วย พวกเขามีอิสระในการพูด และต้องอดทนฟังเหตุผลของฝ่ายอื่น สิ่งหนึ่งที่ผู้จัดได้ขอร้องพวกเขาคือ การวิพากษ์ของพวกเขาต้องตั้งมั่นอยู่บนเหตุผลของสติปัญญา


เจ้าของหนังสือ ตะมัดดุนอิสลาม ได้พูดเสริมว่า ถ้าหากเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าหลังจากเวลาได้ผ่านไปเป็นพันๆปีแล้วสงครามที่โหดร้ายจำนวนหลายครั้งได้เกิดขึ้น การนองเลือด และการเข่นฆ่าตามอารมณ์ต้องการของตัวเองก็ได้ผ่านมาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่จนถึงปัจจุบันนี้พวกยุโรปยังไม่สามารถค้นหาความอิสระให้กับตัวเองได้ (ตะมัดดุนอิสลาม หน้าที่ 713-715)



อิสลามกับการเชิญชวนไปสู่เหตุผลและการศึกษา


อาจกล่าวได้ว่าอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่เรียกร้องให้มนุษยชาติทำการขบคิดในเรื่องต่างๆ จุดประสงค์ต้องการให้มนุษย์ใช้สติปัญญาคิดก่อนที่จะทำ หรือก่อนที่จะเชื่อในสิ่งนั้น อัล-กุรอานมักเชิญชวนให้มนุษย์คิดถึงการสร้าง ท้องฟ้า กาลเวลา กลางวัน กลางคืน มนุษย์ สัตว์ และโลก โดยกล่าวว่า  “แท้จริงในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน การสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน เรือที่วิ่งอยู่ในทะเล พร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮฺได้ทรงหลั่งลงมาจากฟากฟ้า ทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยน้ำนั้นหลังจากที่มันตายไปแล้ว และทรงให้สัตว์แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน และทรงให้ลมพัดเปลี่ยนทิศทาง และทรงให้เมฆกำหนดผันแปรไประหว่างฟากฟ้าและแผ่นดิน แน่นอนสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา” (อัล-กรุอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 164)


อัล-กุรอานได้แนะนำให้คิดถึงวิถีชีวิตของคนในอดีต สาเหตุที่พวกเขาได้พบกับจุดจบ และสาเหตุที่พวกเขาได้เจริญรุ่งเรืองเพื่อเป็นแบบอย่างให้ชีวิตของเราออกห่างจากความตกต่ำเหล่านั้น อัล-กุรอานกล่าวว่า “แน่นอนได้ผ่านมาแล้วก่อนพวกเจ้าแนวทางต่างๆ ดังนั้นพวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดินแล้วจงดูว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธเป็นอย่างไร” (อัล-กรุอาน บทอัล  อาลิอิมรอน  โองการที่ 137)

อิสลามต้องการให้มนุษย์มีการพัฒนาด้านความคิดตลอดเวลา แม้กระทั่งการคิดถึงสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากมนุษย์ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ก็ตามเพื่อให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดกับตัวเอง


ด้วยเหตุนี้อิสลามได้สนับสนุนความก้าวหน้าทางความคิดและการศึกษา ตลอดจนการค้นคว้าและวิจัยต่างๆ ที่รับใช้มนุษย์ จากจุดนี้จึงเห็นได้ว่านักวิชาการของอิสลามที่ได้เกิดขึ้นในศตวรรษหลังอิสลาม ได้พยายามค้นคว้าด้านวิชาการจนประสบความสำเร็จและเป็นที่เชื่อถือของโลกภายนอกอาทิเช่น ท่านญาบีรฺ ฮัยยยาน, ท่านรอซีย์, อิบนิซีนา, และคอญิอฺนัศรุดดีน ฏูซีย์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ประสบความสำเร็จในด้านปรัชญา ตรรกวิทยา ชีวะวิทยา ดาราศาสตร์ เคมีและอื่นๆ ผลงานของท่านเหล่านี้เป็นที่ยอมรับของสังคมทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยเฉพาะตำราด้านการแพทย์ของท่านอบูอะลีซีนาได้ถูกนำไปสอนในมหาวิทยาลัยแถบยุโรปเมื่อปลายศตวรรษที่แล้วนี้เอง (เจ้าของหนังสือตะมัดดุนอิสลาม Dr.Gostavl ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติอารยธรรมอิสลามและอาหรับ หน้าที่ 710 พิมพ์ครั้งแรกว่า ความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัลบิรต์มีเขาได้เรียนรู้มาจากอบูอะลีซีนา ทั้งสิ้น 


ท่านญุรฺญี ซัยดาน เป็นคริสเตียนคนหนึ่งได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ตะมัดดุนอิสลาม ท่านได้เขียนว่า “เมื่ออารยธรรมอิสลามได้วางรากฐานขึ้น ทำให้เกิดนักวิชาการใหม่ขึ้นมากมายในหมู่มุสลิมและผลงานของท่านได้กลายเป็นมูลฐานสำคัญในบางสาขาวิชาการ ประกอบกับนักวิชาการรุ่นใหม่ได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเป็นการเพิ่มสีสันให้กับวิชาการ ซึ่งมีความเหมาะสมกับอารยธรรมอิสลามในสมัยใหม่มาก” (ตารีคตะมัดดุนอิสลาม, ญุรฺญีซัยดาน หน้าที่ 598)

นักปราชญ์ท่านหนึ่งได้เขียนว่า “ถ้าหากอิสลามได้ออกนอกสาระบบ ประวัติศาสตร์ วิชาการสมัยใหม่ของยุโรปต้องล้าหลังไปอีกหลายศตวรรษเลยทีเดียว” ตะมัดดุนอิสลาม, (หน้าที่ 706-715)

แสดงความเห็น